“ราชวงศ์ต้าเซี่ยกับแคว้นเหมียวคงไม่เขลาขนาดนั้นกระมัง? ล่วงเกินศัตรูใหญ่เพื่อช่วยต้าเฉียน อย่างไรก็ได้ไม่คุ้มเสียกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”เยียนจ้านเทียนเอ่ยปากเรียบ “เช่นนั้นท่านรู้การเลือกครั้งนี้ของราชวงศ์ต้าเซี่ยกับราชวงศ์ต้าฉู่ตอนที่สมาคมการค้าเรากีดกันต้าเฉียนหรือไม่?”“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”หลัวอิงสงยิ่งรู้สึกแปลก แต่อยู่ต่อหน้าเยียนจ้านเทียน เขาไม่กล้าไม่เคารพ!“พวกเขาอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับต้าเยียนกันหมด!”เยียนจ้านเทียนเอ่ยเรียบ “ฉะนั้น จากท่าทีของผู้รับผิดชอบสมาคมการค้าเหล่านี้ พวกเขาไม่อยากถูกพวกเราต้าเยียนควบคุม และไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของต้าเยียนเราด้วย ทันทีที่เกิดสงคราม สำหรับพวกเขาที่เป็นแคว้นบ้านใกล้เรือนเคียง จะต้องเป็นสถานการณ์ที่ริมฝีปากหายฟันหนาว[1]แน่!”“การชิงบัลลังก์ของต้าเฉียนมาถึงจุดเดือดสุดแล้ว ราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลายต่างเข้าร่วม ถึงตอนนั้นท่านคิดว่าใครต่างหากที่จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด?”ครั้นได้ฟังการวิเคราะห์จากเยียนจ้านเทียน หลัวอิงสงหนังตากระตุกรัว ๆ ยามนี้เขาไม่ได้หัวร้อนโอหังเหมือนเมื่อครู่แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นใบหน้าเศร้าสลดท่าทีของเยียนจ้านเทียนได้อธิบาย
“แม่ทัพผู้เฒ่าหลัว เรื่องนี้ยุติแต่เพียงเท่านี้เถอะ สิ่งที่จะสูญเสียกับเรื่องนี้มากกว่าที่ท่านคิดเอาไว้เยอะ”เยียนจ้านเทียนส่ายหน้าพลางพูด“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ!”หลัวอิงสงใบหน้าสลดหดหู่ เยียนจ้านเทียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้ในใจของเขาจะมีความแค้นและไม่ยินยอมขนาดไหน ก็จำต้องยอมรับเรื่องอันโหดเหี้ยมนี้ แต่ในตอนที่หลัวอิงสงกำลังจะออกไป จู่ ๆ เยียนจ้านเทียนก็เอ่ยปากขึ้นว่า “สามเดือนให้หลังฉินอวิ๋นฟานก็จะมาสู่ขอที่ต้าเยียนแล้ว ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แดนของต้าเยียน เรื่องนี้ท่านต้องดูแลให้มากหน่อยจึงจะดี”“พ่ะย่ะค่ะ!”หลัวอิงสงกำหมัดทั้งสองข้างและถอยออกจากห้องทรงพระอักษร แต่เขาเพิ่งเดินได้สองก้าวก็หยุดกึกอีก รูม่านตาหดเล็ก “ฝ่าบาท! พระดำรัสคำสุดท้ายของพระองค์เมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร?!”“ทุกคนก็รู้เรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะมาสู่ขอที่ต้าเยียนมิใช่หรือ? เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องย้ำเตือนด้วยองค์เองล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“หรือว่าฝ่าบาทประสงค์จะ...”เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลัวอิงสงพลันดีใจอย่างคาดไม่ถึง ติดตามฝ่าบาทมานานอย่างนั้น เขาย่อมสันนิษฐานความคิดของฝ่าบาทได้บ้าง ชัดเจน ฝ่าบาทไม่พอพระทัยกับการกระทำขอ
“น้าสาม ท่านหมายถึงตระกูลเริ่น?”ฉินอวิ๋นฮุยถามพลางขมวดคิ้ว“ไม่ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะจับมือกับตระกูลเริ่นไม่ได้”เหอเหวินเย่าส่ายหน้าพูด “หลายวันมานี้ข้าเคยแอบสืบเรื่องนี้มาแล้ว มีเงาขององค์ชายใหญ่อยู่ หรือก็หมายถึงพวกเขาเริ่นเคลื่อนไหวใต้น้ำแล้ว กระทั่งอาจคิดฆ่าเจ้าด้วย!”“ถ้าร่วมมือกับตระกูลเริ่นในเวลานี้ นั่นเท่ากับการเอาตัวเราไปย่างบนเตาอย่างไม่ต้องสงสัย”“สถานการณ์ของตระกูลเริ่นในตอนนี้แย่กว่าเรามาก ถ้าเป็นไปตามคาด เป็นไปได้มากว่าองค์ชายใหญ่จะเป็นคนแรกที่ต้องออกจากการชิงบัลลังก์”“ฉะนั้น พวกเราควรหาโอกาสเหมาะ ๆ เหยียบตระกูลเริ่นและองค์ชายใหญ่ให้จมดิน เหยียบจนกว่าองค์ชายใหญ่จะหมดโอกาสสนิท”“อ้อ? น้าสาม นี่ท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฮุยถามแบบสับสนมาก “ไม่จับมือกับตระกูลเริ่น แล้วจะจับมือกับใคร? ทั้งเมืองหลวงนอกจากพี่ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูสีกับเรา ขั้วอิทธิพลอื่นน่าจะไม่คู่ควรแก่การจับมือกับเรากระมัง?”“เสี่ยวฮุย คำนี้ของเจ้าผิดถนัดแล้ว!”เหอเหวินเย่ายิ้มพูดอย่างจนปัญญา “ในเมืองหลวงยังมีขั้วอิทธิพลใหญ่อีกหนึ่ง และยังถึงขั้นว่าไม่ด้อยไปกว่าเรา กลับถูกเราละเลย”“อะไรนะ? น้า
เหอเหวินเย่าพูดขึงขัง “ช่องโหว่ใหญ่นี้ก็คือองค์ชายหก...ฉินอวิ๋นกว่าง!”“น้อง น้องหก?!”จังหวะที่ได้ยินชื่อฉินอวิ๋นกว่าง ฉินอวิ๋นฮุยทำหน้าแปลกใจ เขาไม่เห็นคนผู้นี้ในสายตาด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นภัยคุกคามตัวร้ายของเขา? เขาถามด้วยสีหน้าอึมครึม “น้าสาม ท่านวิเคราะห์โดยอิงจากอะไร?”แค่ฉินอวิ๋นฟานกับฉินอวิ๋นคังก็ทำให้ฉินอวิ๋นฮุยปวดหัวมากพออยู่แล้ว ถ้ายังมีองค์ชายหกฉินอวิ๋นกว่างขั้วอิทธิพลยักษ์ใหญ่นี้โผล่ขึ้นมาอีก การชิงบัลลังก์มิต้องลำบากมากขึ้นหรือ“เช่นนั้นข้าจะวิเคราะห์เรื่องที่ข้าพบกับทุกคนแล้วกัน!”เหอเหวินเย่าพูดเป็นการเป็นงาน “ทุกคนสังเกตเห็นหรือไม่ มารดาขององค์ชายหกเป็นคนของตระกูลฉี ถึงตระกูลฉีจะไม่ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงอะไร แต่ยังไงก็เป็นตระกูลวิถียุทธ์อันดับต้น ๆ ของต้าเฉียน สูสีกับตระกูลเซี่ยง จุดประสงค์ที่อดีตฮ่องเต้อภิเษกกับฉีเฟยก็มิใช่เพื่อดึงตระกูลฉีเข้าพวกหรือ?”“แต่ไหนมาตระกูลฉีมักไม่ทำตัวโดดเด่นและไม่เปิดเผย ภายใต้การอบรมของฉีเฟย องค์ชายหกจึงมีนิสัยคล้ายคลึงกับนางมาก และตระกูลฉียังสนิทสนมกับตระกูลถังเสมอมา ดังนั้นแม่ทัพฝ่ายขวาระดับหนึ่งถังเจิ้นไห่จึงยกลูกส
......หลังจากฉินอวิ๋นฟานได้รับชัยชนะขาดลอยที่เมืองอู่โจวก็เกิดคลื่นลมในหมู่ผู้มีอำนาจระดับสูงอีกครั้ง การเดินทางไปเมืองอู่โจวครั้งนี้คือความจงใจของไท่ซั่งหวง เพื่อทดสอบทั้งสามคนเชิงลึก และผลลัพธ์ก็เห็นได้อย่างชัดเจน!ยิ่งฉินอวิ๋นฟานเป็นภัยคุกคามมากขึ้นเท่าไร ตัวตนของเฮ่อชินอ๋องก็ขึ้นสู่ผิวน้ำมากขึ้นทุกที ศึกชิงบัลลังก์เข้าส่วนช่วงดุเดือดตอนท้ายแล้วในตำหนักเหยียนเหนียน ไท่ซั่งหวงละเมียดน้ำชาหลงจิ่งจากซีหู มุมปากฉายรอยยิ้มจาง ๆ “ฟานเอ๋อร์ดวงแข็งจริง ๆ ในสถานการณ์จนตรอกเช่นนั้นยังสร้างปาฏิหาริย์ได้อีก ดี ดีมาก!”หลังจากได้ฟังการรายงานจากเฉาเจิ้งฉุน ไท่ซั่งหวงเปรมปรีดิ์อย่างคาดไม่ถึง ความรู้สึกหนักอึ้งสลายไปกว่าครึ่งเขาเอ่ยปากเนิบนาบ “เวลานี้บรรดาตระกูลใหญ่มีปฏิกิริยายังไงบ้าง?”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มน้อย ๆ พลางตอบ “อาจเป็นเพราะเกรงกลัวต่อบารมีของไท่ซั่งหวง ภายนอกนับว่าคลื่นลมสงบ แต่ด้วยรัชทายาทโดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เกรงว่าพวกเขาจะนิ่งอีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“นิ่งได้อีกไม่นานก็ปกติ ดูสิว่าใครจะอดรนทนไม่ไหวก่อน เรื่องเกี่ยวกับชะตาในอนาคตของต้าเฉียน ทางที่ดีเจ้าก็จับตามองดูให้ดี”ไท่ซั่
“ยินดีที่ได้พบ! เชิญทุกท่านนั่งลงก่อน!”ฉินอวิ๋นฟานทำท่ามือกับทุกคนและกล่าวด้วยความเคารพฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามองทุกคนแล้วนึกแปลกใจ นับจากเกลือละเอียดชุดแรกเข้าสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นการบอกต่อหรือประสบการณ์ล้วนสร้างความฮือฮาได้ในพริบตา ทำให้ราชวงศ์ต่าง ๆ แย่งซื้ออย่างบ้าคลั่ง อุปทานไม่พอทุกวันหลังจากหนานเจียงและแคว้นทั้งหลายถูกฉินอวิ๋นฟานคว่ำบาตร ก็ดูจะนั่งไม่ติดแล้วจริง ๆจังหวะที่ฉินอวิ๋นฟานเห็นผู้รับผิดชอบของแคว้นเหมียวพลันรูม่านตาหดเล็ก เพราะนอกจากเหมียวเยี่ยนผู้รับผิดชอบของแคว้นเหมียวจะมา แต่ยังมีเงาร่างพิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นก็คือเติ้งซูหมิง องครักษ์หญิงคนสนิทของเหมียวชิงอี และองครักษ์หญิงหน้าตาสะสวยเย็นชาผู้นี้ก็เป็นของชั้นเลิศในชั้นเลิศเช่นกัน!“ได้ยินชื่อเสียงมิสู้พบหนึ่งคราโดยแท้ รัชทายาทต้าเฉียนรูปงามสง่าผ่าเผย ท่วงทำนองไม่ธรรมดาดังคาด!”ทุกคนเพิ่งนั่งลงก็มีเสียงเยินยอดังขึ้น ฉินอวิ๋นฟานหันไปดูก็เห็นชายอ้วนตุ๊ต๊ะ ศีรษะใหญ่หูกางดวงตาหรี่จนเหลือขีดเดียวมองมาทางเขาด้วยรอยยิ้มที่อัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้จังหวะที่ฉินอวิ๋นฟานเห็นชายผู้นี้ กระเพาะอาหารปั่นป่วน เกือบอาเจียนเอา
หนานฮ่าวหยางฉีกยิ้มแล้วพูด “ย่อมเป็นเช่นนั้น ในเมื่อราชวงศ์หนานเจียงเรามาเจรจาความร่วมมือกับสหายอวิ๋นฟาน ก็ต้องมาด้วยความจริงใจเต็มสิบจึงจะถูกต้อง จะเก็บคนที่ทำให้สหายอวิ๋นฟานไม่พอใจจะเอาไว้ทำอันใด”เพื่อให้ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกดีและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน หนานฮ่าวหยางจึงเปลี่ยนการเรียกขานฉินอวิ๋นฟานเสียใหม่ ก่อนจะมาเขาได้ทำความเข้าใจกับฉินอวิ๋นฟานแล้ว คนผู้นี้ให้ความสำคัญกับจิตใจและคุณธรรม ไม่ถือตัว มักทำอะไรแตกต่างจากผู้อื่นดังนั้นเขาจึงเลือกการเรียกขานที่กระชับความสัมพันธ์ได้มากกว่า แม้ฉินอวิ๋นฟานจะปฏิเสธเขา แต่มากน้อยยังต้องพิจารณาอยู่บ้าง!“รัชทายาทต้าเฉียน ราชวงศ์ซีเหลียงเราจัดการผู้รับผิดชอบสมาคมการค้าที่เมืองอู่โจวแล้ว หวังว่าท่านจะให้อภัย หวังว่าความร่วมมือระหว่างสองแคว้นเราจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิม มีเพียงการค้ารุ่งเรือง บ้านเมืองจึงจะมั่งคั่ง”เห็นหนานฮ่าวหยางพยายามประจบเอาใจฉินอวิ๋นฟานสุดฤทธิ์สุดเดช องค์ชายใหญ่ราชวงศ์ซีเหลียงนั่งไม่ติดแล้ว เขาลุกขึ้นแสดงท่าทีของราชวงศ์ซีเหลียงทันทีสมาชิกราชวงศ์ต่าง ๆ อยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน ต่างประจบเอาใจฉินอวิ๋นฟานหมายจะเข้าร่วมด
เพื่อให้ได้เกลือละเอียด แคว้นทั้งหลายพากันเสียงอ่อนขอร้องฉินอวิ๋นฟานเปิดประตูความร่วมมือ แม้ต้องซื้อในราคาที่สูงกว่าบ้างก็ต้องสร้างความร่วมมือกับฉินอวิ๋นฟานให้จงได้เหล่าตระกูลสูงศักดิ์และบรรดาราชนิกุลในราชวงศ์ต่าง ๆ ทั้งโลก พวกเขาได้รับทุกสิทธิพิเศษ เพลิดเพลินกับการได้สิ่งที่ดีที่สุดอย่าว่าแต่เกลือละเอียด แม้จะเป็นเกลือก้อนสีขาวก็ยังเป็นผลผลิตที่มีจำนวนน้อยและหายากที่สุดของโลก มีเพียงราชนิกุล ตระกูลสูงศักดิ์และคหบดีจึงสามารถบริโภค เกลือบริโภคบริสุทธิ์เช่นนี้มิใช่มีเงินก็ได้มา แต่ต้องมีเส้นสายด้วยการแจ้งเกิดของเกลือละเอียดทำให้พวกเขาร้อนรนดั่งไฟ พวกเขามีอุปสงค์ต่อปากท้องสูงสุด และอุปทานด้านจิตวิญญาณก็เช่นกัน“ในเมื่อทุกท่านก็แสดงจุดยืนชัดเจน เช่นนั้นข้าฉินอวิ๋นฟานจะขอพูดตามตรงเลยนะ!”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จะร่วมมือ ได้! แต่ข้าฉินอวิ๋นฟานมีเงื่อนไข แน่นอน ข้าไม่ได้ต้องการเพียงผลประโยชน์ของต้าเฉียนแต่ไม่ให้ในสิ่งที่เท่าเทียม มิเช่นนั้นก็คือการหลอกลวง”“วันนี้ ข้าไม่เพียงแต่ตั้งเงื่อนไขต่อพวกท่าน แต่จะให้ผลประโยชน์พวกท่านมากขึ้นด้วย!”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวจบ ทุกคนต่างมีสีหน
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ