“ลุกขึ้นได้!”ไท่ซั่งหวงกวาดตามองทั่วลาน ก่อนจะยกมือแล้วพูด“ขอบพระทัยไท่ซั่งหวง!”เล่าขุนนางคำนับแล้วลุกขึ้นยืน ยืนอยู่ในลานฝึกยุทธ์ แบ่งออกเป็นสองแถว“เสด็จปู่ เมื่อสี่เดือนก่อนน้องเจ็ดให้คำมั่นในการประลองบุ๋นบู๊ อีกหนึ่งปีให้หลังจะชิงเมืองอู่โจวของเรากลับมาจากต้าเยียน บัดนี้แค่สี่เดือน น้องเจ็ดก็ทำตามคำมั่นได้แล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นทุกคนกล่าวจบ องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก็ก้าวออกมาทันที กล่าวยินดีกับฉินอวิ๋นฟาน จากนั้นองค์ชายรองก็ก้าวออกมาติด ๆ“เสด็จปู่ น้องเจ็ดกล้าหาญเหนือคน สติปัญญาหลักแหลม ได้เมืองอู่โจวของเรากลับคืนมาแบบไม่เสียทหารสักคนเดียว น้องเจ็ดคือวีรบุรุษของต้าเฉียนเรา ยิ่งเป็นคนสำคัญในวันนี้ เขาสร้างผลงานใหญ่ให้กับต้าเฉียนเรา น้องเจ็ดทำดีมากพ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยก็กล่าวแสดงความยินดีด้วย“ยินดีด้วยรัชทายาท ยินดีด้วยรัชทายาท!”......จากนั้น เสียงยินดีดังกึกก้องทั่วลานฝึกยุทธ์ปานเสียงอสนีบาต บรรดาขุนนางแสดงความยินดีในแบบที่ไม่ได้มองไปทางฉินอวิ๋นฟาน เป็นภาพที่กษัตริย์ขุนนางปรองดองรวมใจเป็นหนึ่ง แต่ความจริงทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ นี่เป็นแค่ปรา
“เสด็จปู่ หม่อมฉันรู้สึกว่าน้องเจ็ดไปเมืองอู่โจวคนเดียวจะไม่เหมาะ...”ตอนนี้เอง องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก้าวออกมากะทันหัน เอ่ยเสียงหนัก“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ น้องเจ็ดไม่มีประสบการณ์การทำศึกและการเจรจา หนำซ้ำเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงสัมพันธ์ของสองแคว้น หม่อมฉันคิดว่าต้องระวังให้มากพ่ะย่ะค่ะ”พอองค์ชายใหญ่พูดจบ องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยก็รีบก้าวออกมาด้วยเหมือนกันสภาพการณ์ทั้งลานฝึกยุทธ์เปลี่ยนเป็นล่อแหลม บรรดาขุนนางกระซุบกระซิบ วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้!“หือ? พวกท่านความหมายว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานหน้าตึง หรี่ดวงตาทั้งสองพลางพูดเรื่องที่ไม่มีการคัดค้าน จู่ ๆ พี่ใหญ่กับพี่รองกลับมาขัดขวางเอาตอนนี้? นี่หมายความว่าอย่างไร?องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเปลี่ยนสีหน้าโดยสิ้นเชิง สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม ทำให้ฉินอวิ๋นฟานเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันที“คังเอ๋อร์ ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่นัก พวกเขาอยากพูดอะไร?”ไท่ซั่งหวงสีหน้าขรึมลงทันที มองไปทางฉินอวิ๋นคังและฉินอวิ๋นฮุย พวกเขาสองพี่น้องเก็บตัวสามเดือนเต็ม ๆ หรือจะอดรนทนไม่ไหวในนาทีสำคัญนี้แล้ว?“ทูลเสด็จปู่
ถ้อยคำขององค์ชายรองทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีฉับพลัน นี่คือการหาเรื่องแบบเห็น ๆ เห็ดชัดว่าองค์ชายรองติดใจกับข่าวที่ต้าเยียนประกาศออกมา แม้จะผ่านไปสามเดือนแล้วแต่เขาก็ยังคับแค้นใจเหมือนเดิมถ้าบอกว่าคำพูดขององค์ชายใหญ่แสดงออกว่าสงสัยในคำพูดของฉินอวิ๋นฟานแบบอ้อม ๆ เช่นนั้นการชี้ประเด็นนี้ในยามนี้ขององค์ชายรองแทบจะเป็นการแสดงท่าทีชัดเจน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร พวกเราก็จะไม่เชื่อฉินอวิ๋นฟาน...“น้องเจ็ด ผลงานคือผลงาน ความผิดคือความผิด ที่จู่ ๆ ข้าก็ยกประเด็นเรื่องนี้ไม่ได้มีความหมายอื่น แค่สงสัยเจ้าเหมือนกับทุกคนในที่นี้เท่านั้น ต้าเยียนซึ่งเป็นแคว้นมหาอำนาจเช่นนี้ เหตุใดจึงว่าง่ายกว่าปกติ?”ฉินอวิ๋นฮุยยกมุมปากเล็กน้อยและพูดเสียดสี “แค่เพราะเจ้าหล่อ? แค่เพราะเจ้าลวนลามองค์หญิงสามต้าเยียนต่อหน้าทุกคน? แค่เพราะสัญญาเดิมพันธรรมดาฉบับหนึ่ง? ดังนั้นพวกเขาจึงสมัครใจประเคนสองเมืองให้เจ้า? นี่คงทำให้ทุกคนเชื่อไม่ได้กระมัง?”“ต่อหน้าอิทธิพลเหนือระดับ กำปั้นก็คือเหตุผล ต้าเยียนที่เป็นแคว้นมหาอำนาจเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องกลัวสัญญาเดิมพันของเจ้าด้วย? ยังจำเป็นต้องประกาศต่อใต้หล้า แสดงท่าทีชัดเจน
“ว่ามาเถอะ ท่านต้องการอะไรกันแน่? อยากได้คำอธิบาย หรือว่าอยากตามข้าไปออกศึกเหมือนพี่ใหญ่ แล้วแบ่งผลงาน?”ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจสักที ถ้าเขาแข็งข้อกับพี่ใหญ่พี่รองในเวลานี้ หรือว่าโกรธ เขาจะติดกับจริง ๆ กระทั่งผิดต่อความตั้งใจเดิม เทียบกับการถือสาเอาความกับพวกคนถ่อย มิสู้สงบสติเจรจาเงื่อนไขกับพวกเขาพี่ใหญ่อยากจะร่วมด้วยไม่ใช่หรือ? เจ้าฉินอวิ๋นฮุยก็คงจะคิดเหมือนกันกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้! ข้าเอาพวกเจ้าไปด้วยก็ได้! จะจับตามองก็ดี แบ่งผลประโยชน์ก็ช่าง เอาเมืองอู่โจวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!“น้องเจ็ด ไยเจ้าต้องโมโหเช่นนี้... พวกเจ้าเห็นพวกเราสองคนใจคอคับแคบเกินไปแล้ว...”ฉินอวิ๋นฮุยเห็นฉินอวิ๋นฟานไม่มีอารมณ์แล้ว เดิมคิดจะหาเรื่องอีก แต่ตอนนี้เอง จู่ ๆ ไท่ซั่งหวงก็เปิดปาก เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายอีก”“ไม่ว่าจะด้วยคำนึงถึงส่วนรวม จับตาดูฟานเอ๋อร์ก็ดี แบ่งเบาภาระก็ช่าง มันไม่มีอะไรสำคัญ สำคัญคือการกลับมาของเมืองอู่โจว ถ้าเจ้าวางใจไม่ลงจริงก็ส่งกองกำลังหนึ่งไปเหมือนกับคังเอ๋อร์ก็สิ้นเรื่อง!”ไท่ซั่งหวงรับว่ามองออกแล้ว สองคนนี้ความจริงก
ไท่ซั่งหวงชินกับการทำเรื่องแปลกแหวกแนวของฉินอวิ๋นฟานแล้ว ในทางกลับกัน เขารู้สึกสนใจกับเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะทำต่อไปนี้มาก เขาก็อยากดูสิว่าพวกฉินอวิ๋นฟานสามคนอยู่ด้วยกันแล้ว จะทำเรื่องสะพรึงฟ้าอะไรที่เมืองจัวได้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวของไท่ซั่งหวง เหล่าขุนนางย่อมไม่กล้าพูดมาก องค์ชายใหญ่สบสายตากับองค์ชายรองทีหนึ่ง ในทั้งความกระหยิ่มยิ้มย่องและความยินดีกับชัยชนะ พร้อมกันนั้นยังมีรอยยิ้มซับซ้อนแฝงประสงค์ร้ายอยู่“เสี่ยวฟาน สถานการณ์มันแปลก ๆ นะ เราเอาคนไปน้อยเกินไปหรือเปล่า?”เมื่อครู่อู่จ้านพูดไม่ได้ เขาร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ยามนี้โดยรวมถูกกำหนดแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขากังวลอย่างหนัก การเข้าร่วมกะทันหันขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรองไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัดในฐานะที่เป็นองครักษ์คนสนิทผู้ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่ง สัญชาตญาณบอกกับเขา องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ การเดินทางตั้งนี้ต้องเสริมเกราะป้องกันระวังภัยจึงจะดี“นั่นสิ รัชทายาท พวกเรานำพลไปแค่สามพัน เกรงว่าจะไม่พอ”หลัวเหิงเห็นสภาพการณ์แล้วจึงรีบก้าวออกมาพูดเตือน“วางใจเถอะ สามพันพอแล้ว มีพวกอาจ้านอยู่ด้วย ไม่เป็นปัญหา! ที
แค่ชั่วครู่เดียว ในเมืองและนอกเมืองคนเป็นภูเขาเลากา มีระเบียบเรียบร้อย ทุกคนต่างอยู่ในชุดเกราะ มือถือศาสตรา แววตามุ่งมั่น เห็นความตายประหนึ่งกลับบ้านอาชางามสามตัวกรีดกรายออกมาอย่างเชื่องช้า เหล่าองครักษ์ติดตามอยู่ซ้ายขวา ทหารม้าอยู่เบื้องหลัง สำหรับพลทหารเดินเท้าค่อนข้างช้า พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์จึงจะถึงเมืองอู่โจวได้นอกประตูเมืองทางทิศใต้ สามพี่น้องแลกสายตากันทีหนึ่ง ไม่มีใครยอมใคร แม้จะเดินทางด้วยกัน กลับมีความคิดที่แตกต่างเนื่องจากทุกคนต่างขี่ม้า เทียบกันแล้วจึงค่อนข้างเร็ว และระยะห่างระหว่างเมืองจัวกับเมืองหลวงก็ไม่นับว่าไกลกันนัก หากขี่ม้าชั้นดีและเปลี่ยนม้าตามสถานีพักม้า เช่นนั้นจะสามารถถึงจุดหมายได้ในหกชั่วยามแต่ถ้าไม่เปลี่ยนม้า ด้วยความเร็วของเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน นี่ก็คือสาเหตุที่ฉินอวิ๋นฟานวางแผนว่าจะออกเดินทางล่วงหน้าสามวันจวบจนม่านรัตติกาลแผ่คลุม จันทร์กระจ่างสูงเด่น พวกฉินอวิ๋นฟานขี่ม้าเดินทางหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงจะถึงเมืองปินโจวซึ่งเป็นเมืองรอบนอกในความดูแลของเมืองจัวเมืองปินโจวไม่ใช่เมืองที่อยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงเกิดสงครามค่อนข้างน้อย
กับสายตาที่เต็มไปด้วยการบุกรุกขององค์ชายใหญ่ หยางมี่รักษากิริยานอบน้อมเสมอต้นเสมอปลาย นี่ก็คือลักษณะที่เหนือคนทั่วไปของนาง ภายใต้การนำของหยางมี่ ไม่นานทั้งสามก็มาถึงห้องส่วนตัวกว้างขวางและเต็มไปด้วยการตกแต่งแบบโบราณบนโต๊ะในห้องส่วนตัวโอ่อ่ามีเพียงฉินอวิ๋นฟาน ฉินอวิ๋นฮุยและฉินอวิ๋นคังสามพี่น้อง นี่คือการชุมนุมด้วยรูปแบบนี้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ หนำซ้ำพวกเขายังเป็นคู่ต่อสู้ชิงบัลลังก์รายใหญ่ที่สุดด้วย ส่วนองครักษ์คนสนิทอื่นรออยู่หน้าห้องครั้นรู้ว่าพวกฉินอวิ๋นฟานจะมาถึงในหนึ่งก้านธูป หยางมี่ก็เตรียมอาหารเต็มโต๊ะล่วงหน้าแล้ว ครั้งพวกฉินอวิ๋นฟานนั่งลงก็เริ่มยกอาหารขึ้นโต๊ะ“ดี ดีมาก หยางมี่ เจ้าเก่งจริง ๆ ข้าชอบเจ้านัก หรือไม่ต่อไปเจ้าก็ติดตามข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าอยู่อย่างสุขสบายกินดีอยู่ดี”ฉินอวิ๋นคังมองไปทางหยางมี่อีกครั้ง พูดอย่างทะยานอยากที่สุด“ไอ้หยา องค์ชายใหญ่ ท่านล้อเล่นอีกแล้ว หยางมี่เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ชาติกำเนิดต่ำต้อย สามารถถูกองค์ชายใหญ่ชมได้คือเกียรติของข้าน้อยในชาตินี้แล้ว ไหนเลยยังกล้าหวังอะไรอีก?”ถูกองค์ชายใหญ่ดึงเข้าพวกต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน หยางมี่ก็ต
ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง “เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเราพี่น้อง ข้าคิดแล้วรู้สึกว่าจะใจแคบไม่ได้ ข้าจะไปเอาอู่เหลียงเย่ระดับพิเศษที่เก็บเอาไว้มาร่วมดื่มด่ำกับพี่ชายทั้งสองแล้วกัน”“อู่เหลียงเย่ระดับพิเศษ?”พอองค์ชายใหญ่ได้ยินก็หูผึ่ง ในฐานะที่เป็นขุนศึกเลือดเหล็กคนหนึ่ง สุราคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ยิ่งหลงใหลสุราดีที่สุด ถ้ามีอู่เหลียงเย่ชั้นยอดจริง เขาย่อมคาดหวัง“ข้าจะไปเอาเดี๋ยวนี้แหละ”ว่าแล้วฉินอวิ๋นฟานก็เดินออกห้องส่วนตัวไปและกลับมาพร้อมกับไหสุราลายครามงามวิจิตรใบเล็กในมือในช่วงเวลาหนึ่งครู่ ดูแล้วมีระดับมาก“โอ๊ะ น้องเจ็ด เจ้านี่ไม่ไหวเลยนะ เหล้าดีอย่างนี้กลับมุบมิบ?”องค์ชายใหญ่เห็นดังนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันพูดทันทีหากองค์ชายรองที่อยู่ด้านข้างกลับระแวง ไม่มีทีท่าว่าอยากดื่มสักนิด เพราะตัวอยู่นอกบ้าน ความปลอดภัยคืออันดับหนึ่ง เขากับฉินอวิ๋นฟานมีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่งกัน เขาไม่เชื่อถือสุราใด ๆ ที่ฉินอวิ๋นฟานเอามาทั้งนั้น“น้องเจ็ด เหล้านี่... ไม่มีปัญหานะ?”ฉินอวิ๋นฮุยถามเสียงชืด“หือ?”ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฮุย รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอวิ๋
ฉินอวิ๋นฮุยจ้องฉินอวิ๋นฟาน สายตามืดสว่างไม่แน่นอน เขาเลื่องชื่อเรื่องชำนาญการวางแผนกลอุบายในต้าเฉียน มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายโดยนัยที่อีกฝ่ายพูดเฮ่อชินอ๋องฉินอ้าวอันตรายเพียงใด วิธีการน่ากลัวเพียงใด เขารู้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้อีก นั่นคือราชสีห์เฒ่าที่ซ่อนเร้นมานานหลายสิบปีตัวหนึ่ง บัดนี้ตื่นขึ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว“องค์ชายรอง ฉินอวิ๋นฟานคารมคมคายที่สุด ท่านอย่าได้หลงกลเขานะ”ยามนี้ถังเจิ้นไห่ใจร้อนดั่งไฟเผา หากฉินอวิ๋นฮุยหันหลังทิ้งเขา นั่นจะได้เปิดหูเปิดตาจริงแล้ว ความสัมพันธ์พันธมิตรที่เพิ่งก่อตั้ง พลังทลายลงด้วยผลประโยชน์อันยั่วยวนและการพูดไม่กี่คำของฉินอวิ๋นฟาน“ข้า...”ฉินอวิ๋นฮุยอยากจะพูดแต่ก็หยุดอีก ในใจสับสนนักยามที่เขาได้ประโยชน์จากฉินอวิ๋นฟานและร่วมมือกับอีกฝ่าย ในใจก็มีคำตอบแล้ว ติดที่ร่วมมือกับเฮ่อชินอ๋องเป็นครั้งแรกก็ต้องจบด้วยรูปแบบไม่รื่นรมย์เช่นนี้ มากน้อยยังลำบากใจอยู่บ้างนาทีนี้ ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วน้อย ๆ ที่แล้วมาพี่รองเป็นคนคำนวณแม่นยำ ความคิดชัดเจน สถานการณ์ในวันนี้เรียกว่าแค่มองก็รู้ คุณโทษเขาก็วิเคราะห์ได้ชัด ไม่นึกว่าพี่รองจะคิดหนักถึงขั้นนี้ทันใดนั้น
ถังเจิ้นไห่สีหน้าแย่ที่สุด นี่คือการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก เข้าร่วมการชิงบัลลังก์อย่างโจ่งแจ้งและเป็นทางการของพวกเขา กลับต้องพ่ายแพ้ย่อยยับ เขาแค้นใจนัก ดังนั้นก็ต้องไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อยู่แล้ว“เหอะ...รัชทายาท ข้าจำต้องยอมรับความต้องการก้าวสู้ความยิ่งใหญ่ของท่าน ทุกคนในที่นี้ถูกหลอกกันหมด ท่านคิดว่าตัวเองอาภรณ์ไร้ตะเข็บจริงหรือ?”ถังเจิ้นไห่เห็นฉินอวิ๋นฮุยหวั่นไหวจึงก้าวออกมาอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกวนน้ำให้ขุ่น จะให้ฉินอวิ๋นฟานสมหวังไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นขั้วอิทธิพลของพวกเขาจะกลายเป็นชุดวิวาห์ของฉินอวิ๋นฟานการทุ่มเทกายใจเพื่อให้คนอื่นประสบความสำเร็จ เขาไม่มีทางทำเด็ดขาด แม้ต้องเสี่ยงล่วงเกินไท่ซั่งหวง เขายังต้องก้าวออกมา ถึงอย่างไรผู้ที่อยู่ข้างหลังเขาก็คือเฮ่อชินอ๋อง โอรสสายพระโลหิตของไท่ซั่งหวงเขาไม่เชื่อว่าไท่ซั่งหวงจะกล้าฆ่ากระทั่งโอรสที่เหลืออยู่เพียงองค์เดียว“อ้อ? แม่ทัพผู้เฒ่าถัง ท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง ยามนี้ทุกย่างก้าวสำคัญต่อเขามาก เขาต้องระมัดระวังรอบคอบ นอกเสียจากเป็นเรื่องที่มีคุณไร้โทษต่อเขา เขาจึงจะออกมาแสดงจ
“เลอะเลือน?”ฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูด “น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่ายังไง?”ชิงอำนาจผลประโยชน์มานานเช่นนี้ พวกเขาย่อมแบ่งแยกคุณโทษได้ชัดเจน ชนชั้นเจ้าของที่ดินคือรายได้และผลประโยชน์ส่วนสำคัญและเป็นความมั่นคงของบรรดาผู้มีอำนาจ คือวิธีการสำคัญในการบีบบังคับอำนาจราชวงศ์มาถึงฉินอวิ๋นฟานก็จะลงมือกับพวกเจ้าของที่ดิน ย่อมแตะจุดอ่อนไหวของพวกเขาเป็นธรรมดา พวกเขามิใช่คนเขลา ไม่มีทางให้ฉินอวิ๋นฟานสมปรารถนาง่าย ๆ หรอก ต่อให้ไม่ได้เมล็ดพันธุ์ผลผลิตสูง พวกเขาก็จะไม่เปิดโอกาสให้ฉินอวิ๋นฟานง่าย ๆ อย่างแน่นอน!“พี่ใหญ่ พี่รอง หรือพวกท่านยังไม่เห็นอีก? ฮ่องเต้ต้าเฉียนแต่ละพระองค์ปวดหัวกับพวกเจ้าของที่ดินพวกนี้มากที่สุดใช่หรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานกล่าววาจาโน้มน้าวทีละขั้น“หือ?”ฉินอวิ๋นฮุยเลิกคิ้ว ไม่ได้ตอบคำถามของฉินอวิ๋นฟานโดยตรง เขากำลังใคร่ครวญอยู่ในใจ ก่อนขึ้นครองราชย์เขาจะต้องเป็นพวกเดียวกับเจ้าของที่ดินเหล่านี้ หากเขารู้ดีว่าในอดีตเสด็จพ่อทรงปวดศีรษะมากเพียงไร ถ้าเขาสามารถขึ้นตำแหน่งนั้น...จะต่างกันโดยสิ้นเชิง!“ท่านดูสิ ข้าแค่ใช้ที่ดินของพวกเจ้าของที่ดินเหล่านี้ผลิตธัญพืชมากขึ้น ภายใต้
“แน่นอน”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มอย่างมั่นใจ “ในเมื่อชาวบ้านเมืองจัวต่างเพาะปลูกข้าวผลผลิตสูงจนชีวิตความเป็นอยู่เริ่มดีแล้ว แล้วหม่อมฉันยังจะทำใจเห็นชาวบ้านเมืองอื่น ๆ หิวโหยได้อย่างไร?”“อ้อ? ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ฟานเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำยังไง?”สายตาที่ไท่ซั่งหวงมองฉินอวิ๋นฟานเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ทบทวนทุกเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานทำในวันนี้ นั่นล้วนแล้วแต่ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจและตกตะลึงยิ่งนัก เรื่องแรกที่เขาทำก็คือเรื่องสำนักศึกษาหลวง บ่มเพาะผู้มีความสามารถเพื่ออนาคตของต้าเฉียนเรื่องที่สองคือก่อตั้งเมืองการค้าขนาดใหญ่ ให้คนจากทุกแคว้นมาค้าขายกับต้าเฉียน เช่นนี้จะทำให้ต้าเฉียนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าโลก เศรษฐกิจของต้าเฉียนจะรุดหน้าแบบที่มิอาจหยุดยั้งเรื่องที่สามคือเรื่องที่ไท่ซั่งหวงปลาบปลื้มมากที่สุด โลกในปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาปากท้องคือปัญหาใหญ่หลวงในศตวรรษนี้ ทว่าฟานเอ๋อร์ใส่ใจกับเรื่องนี้ตามที่เขาคาดคิดเอาไว้“เสด็จปู่ เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ปริมาณการผลิตของข้าวข้ามสายพันธุ์สูงกว่าข้าวทั่วไปถึงเจ็ดเท่า ดังนั้นการกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวผลผลิตสูงนี้จะรอช้าไม่ได้”ฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นง
“เอ่อ... แต่เพียงแต่ข้าที่กังวลเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนก็คงมีความกังวลนี้เหมือนกันกระมัง? อย่างไรเสีย ของอย่างบัญชีก็สามารถปลอมแปลงได้”เห็นฉินอวิ๋นฟานพูดตามตรง ฉินอวิ๋นฮุยจึงไม่อ้ำอึ้งอีก การยกเรื่องไม่ดีมาพูดแต่แรกมิใช่เรื่องน่าอายอันใด เพราะมันเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของพวกเขา เขาไม่อยากถูกฉินอวิ๋นฟานหลอก!“ฮ่า ๆ ๆ...”ฉินอวิ๋นฟานลั่นเสียงหัวเราะทันที “พี่รองทำงานรอบคอบดังคาด น้องเจ็ดเลื่อมใส แต่ท่านคิดมากไปแล้ว ถ้าต้องดูแลเมืองการค้าสามเมือง คนของข้าไม่มีทางพอ ถ้าพวกท่านไม่ส่งคนมาช่วยงาน ข้าคงทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ”“อ้อ? น้องเจ็ดพูดจริงรึ?!”เมื่อนั้นหัวใจที่ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ของฉินอวิ๋นฮุยจึงสงบลง หากเขาสามารถให้คนเข้าร่วมอยู่ในเมืองการค้าทั้งสามเมืองได้ เช่นนั้นเขาจะวางใจได้แล้ว เพราะจะรับประกันผลประโยชน์ของเขาได้ทั้งหมด!“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านวางใจได้เลย ระหว่างพวกเราพี่น้องแม้เป็นคู่ต่อสู้กัน แต่ต่อหน้าผลประโยชน์ของบ้านเมือง พวกเราต้องรวมใจเป็นหนึ่ง มีเพียงเช่นนี้ต้าเฉียนเราจึงจะเฟื่องฟูได้นิรันดร์”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ดังนั้นในเรื่องการค้า เครือเหิงไท่จะรับผิดชอบกิจการหลักท
ฉินอวิ๋นฟานกล่าวอย่างจริงจัง “ต่อให้ใครกล้ามีความคิดส่วนตัวก็เปล่าประโยชน์ เพราะพวกเราต้องร่วมกันทำงาน หากไม่อยากเสียเมืองไป ไม่อยากตาย ทหารทุกคนจะต้องให้ความร่วมมือ เป็นหนึ่งเดียวสู้กับภายนอก”“ดี ดีมาก ความคิดนี้ไม่เลว!”เมื่อฉินอวิ๋นฟานกล่าวออกมา ไท่ซั่งหวงรู้อยู่แล้วว่าฉินอวิ๋นฟานต้องทุ่มเทเพื่อแผนการนี้ มิเช่นนั้นจะไม่มีทางคิดแผนการสมบูรณ์แบบเช่นนี้ออกมาได้“อื่ม ไม่เลว!”ฉินอวิ๋นฮุยไม่ได้ดีใจกับแผนการสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของฉินอวิ๋นฟาน เพราะแม้เช่นนี้จะเป็นเรื่องดีต่อบ้านเมืองจริง หากไร้ประโยชน์อันใดต่อพวกเขา ในทางกลับกัน พวกเขายังจะกลายเป็นคนที่ถูกฉินอวิ๋นฟานใช้งานอีกด้วยพวกเขาส่งทหารรักษาเมือง ฉินอวิ๋นฟานกอบโกยกำไรอย่างบ้าคลั่ง คิดแล้วฉินอวิ๋นฮุยก็อยากตบหน้าตัวเองสักฉาด ลักไก่ไม่สำเร็จเสียข้าวอีกหนึ่งกำมือโดยแท้!ทว่าไท่ซั่งหวงแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีก?ฉินอวิ๋นฟานรู้ความคิดของพวกเขาดี อีกอย่าง ถ้าครองผลงานเองในเวลานี้จะเป็นการเลือกที่ไม่ฉลาดเอามาก ๆ ฉินอวิ๋นฟานไม่ทำเรื่องเบาปัญญาเช่นนี้หรอก!โบราณกล่าว ตบหน้าฉาดหนึ่งต้องให้พุทราหวานหนึ่งลูก อีกฝ่ายส่งทหารม
ขณะนี้ ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ ถ้อยคำชวนให้คนมีจิตใจฮึกเหิมของฉินอวิ๋นฟานวนเวียนอยู่ในหัวของ แม้ไท่ซั่งหวงเองก็ยังตกตะลึงพรึงเพริดกับคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฟาน!รัชทายาทวัยสิบแปดสิบเก้าคนหนึ่ง ช่างเป็นชายชาตินักรบเลือดร้อนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน หากคนเช่นนี้เป็นจักรพรรดิ ไยต้องกลัวอนาคตต้าเฉียนจะไม่ศิวิไลซ์?“เกี่ยวกับการสร้างเมืองการค้าสี่แห่งในสี่ทิศของต้าเฉียน ทุกคนคัดค้านอย่างหนัก ข้าเข้าใจความรู้สึกของทุกคนมาก แต่ในเมื่อจะทำเรื่องนี้ ข้าก็ต้องยอมรับเสียงและความเห็นที่แตกต่าง ทุกคนว่ามาเถอะ”ฉินอวิ๋นฟานไม่รีบร้อน มีแต่ต้องทำให้ทำคนยอมรับเรื่องนี้จากใจจริง เขาจึงจะยึดสิทธิ์ความเป็นผู้นำได้ มิเช่นนั้นต่อให้ใช้กำลังผลักดันเรื่องนี้ คนเหล่านี้ต้องเล่นตุกติกลับหลังเขาแน่ เช่นนี้มีแต่จะทำให้รำคาญดังนั้นฉินอวิ๋นฟานเตรียมตัวกับการคัดค้านและความคิดของทุกคนแต่แรกแล้ว ต้องการแค่โอกาสประจวบเหมาะหนึ่ง เพราะคนที่ป่วยเป็นโรคอิจฉาตาร้อนมีมากเหลือเกิน มีแต่ต้องคิดหาทางหยดยาดวงตาให้พวกเขาสักหน่อย จึงจะขจัดต้นตอของปัญหาได้ “นี่...”ผู้คนมากมายแน่นขนัดพูดไม่ออกสักคำ เพราะต่างมีความกังวลอยู่ในใจ ฉ
นาทีนี้ถังเจิ้นไห่ถูกโจมตีทำร้ายทางจิตใจอย่างหนัก ฉินอวิ๋นฟานปากคอเราะรายน่ากลัวจริง ๆ การโจมตีของเขารวดเร็วนัก เขาต้านทานไม่ไหวเลยเขาจนปัญญากับการโจมตีของฉินอวิ๋นฟานแล้ว ได้แต่ใช้สถานะข่มขู่ฉินอวิ๋นฟาน หวังว่าฉินอวิ๋นฟานจะหยุดโจมตีเขาน่าเสียดาย แต่ไหนมาฉินอวิ๋นฟานก็ไม่ใช่คนใจบุญสุนทานอะไร และไม่เคยเป็นพวกยอมเสียเปรียบ หากมีคนโจมตีเขา ฉินอวิ๋นฟานจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด!ต้องถล่มอีกฝ่ายจนแพ้ราบคาบ นี่สิจึงจะเป็นเป้าหมายความเป็นคนของเขา และถังเจิ้นไห่ก็แตะเขตต้องห้ามของเขาพอดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานย่อมไม่ไว้หน้าเขา!ครั้นพวกฉินอวิ๋นฮุยเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ก็พากันมอบสายตาเห็นใจให้ถังเจิ้นไห่ พวกเขาเคยได้รับการสั่งสอนด้วยหมัดหนักจากฉินอวิ๋นฟานมานานแล้ว ในสถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย หากหาเรื่องฉินอวิ๋นฟานก็เท่ากับรนหาที่ตาย!ไท่ซั่งหวงและจางเต้าหลินฉายรอยยิ้มพึงพอใจ แม้ถ้อยคำของฉินอวิ๋นฟานจะหยาบคายไม่รื่นหูไปบ้าง แต่สะใจยิ่งนัก! นักวางแผนร้ายเฒ่าเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ถูกฉินอวิ๋นฟานฟาดกลับจนต้องสงสัยในชีวิต เด็ดสะระตี่แท้!“เกินไป? ตอนนี้ท่านรู้ว่าเกินไป? ตอนที่ท่านสาดน้ำคลำใส่
“ท่าน...”ถูกฉินอวิ๋นฟานด่าว่าหน้าด้าน ถังเจิ้นไห่โกรธจนหน้าเขียว แทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้น เขาจำต้องยอมรับว่าฉินอวิ๋นฟานร้ายจริง ๆ! ในสภาวการณ์เช่นนี้ เขากลับไม่กลัวแม้แต่น้อย?“ท่านเทิ่นอะไร ท่านมันหน้าด้านเหม็นโฉ่ อายุอานามห้าสิบกว่าแล้ว มีแต่ความชั่วร้ายอยู่เต็มอก น่ารังเกียจโดยแท้!”ฉินอวิ๋นฟานไม่ไว้หน้าถังเจิ้นไห่สักนิด เอ่ยต่อ “เมื่อวานข้าเพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองอู่โจว ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าไม่คิดกระจายการเพาะปลูกทั่วแคว้น? ท่านให้โอกาสข้าพูดแล้วหรือยัง?!”“อีกอย่าง ปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่ข้ามอบให้ทุกแคว้นมีจำกัด ใครกล้าไม่เคารพต้าเฉียน? ข้าคือบิดรมารดาปากท้องของพวกเขา ใครกล้าหือ?!”“แม้นมีแคว้นใดไม่เป็นเด็กดี ข้าจะระงับการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ให้พวกเขาทันที ข้าจะดูสิว่าไอ้ไม่ดูตาม้าตาเรือหน้าไหนกล้าท้าทายขอบเขตต่ำสุดของข้า?!”ครั้นกล่าวออกมา ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าพูด หากเทียบกับการเคลือบแคลงสงสัยเมื่อครู่ การพูดเช่นนี้ของฉินอวิ๋นฟานยิ่งสามารถทำให้เขายืนอย่างมั่นคงมากขึ้นฉินอวิ๋นฟานคลี่คลายประการแรกของความผิดร้ายแรงสามประการได้แล้ว ถังเจิ้นไห่หน้าตึงจนน