เห็นสภาพนี้ ฉินอวิ๋นฟานกลัวได้ใจ ฟ้าสางเขาต้องไปเมืองจัวทำงานใหญ่แล้ว ฉินอวิ๋นฟานกอดพวกนางสามคนอยู่ในอ้อมอก พูดด้วยความรักลึกซึ้ง “จิ่นเอ๋อร์ ไปครั้งนี้คงเดือนกว่า ทุกอย่างในตำหนักรัชทายาทต้องมอบให้กับเจ้าแล้วนะ”“อื้ม พี่อวิ๋นฟานวางใจเถอะ ข้าจะดูแลตำหนักรัชทายาทให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเอง และจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนาเครือต้าเฉียนเหิงไท่ด้วย”มู่หรงจิ่นพยักหน้าพูด“งั้น งั้นข้าล่ะ?”หลู่เซียงหลิงเพิ่งเข้าตำหนักรัชทายาทได้ไม่ถึงสองวัน รู้เรื่องของฉินอวิ๋นฟานแค่นิดเดียว ถ้าให้นางอยู่เฉยๆในตำหนักหนึ่งเดือนนางไม่เป็นบ้าหรือ?“น้องเซียงหลิง ถึงยังไงเจ้าก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ตามข้าไปทำงานที่เครือต้าเฉียนเหิงไท่ทุกวันเถอะ พี่อวิ๋นฟานมีองครักษ์ให้เรา รับรองความปลอดภัยได้”มู่หรงจิ่นเอ่ย “ขอเพียงพวกเราข้างหลังไม่เกิดเรื่อง พี่อวิ๋นฟานจึงจะวางใจฝ่าไปข้างหน้า ติดตามข้า เจ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับงานในเหิงไท่สะดวก ต่อไปจะได้ช่วยพี่อวิ๋นฟานแบ่งเบาภาระ”“พี่จิ่นเอ๋อร์ ข้า ข้าได้หรือ?”หลู่เซียงหลิงมองไปทางมู่หรงจิ่นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ตอนกลางวันนางกำลังวิตกกังวลทั้งวันว่าต่
“ลุกขึ้นได้!”ไท่ซั่งหวงกวาดตามองทั่วลาน ก่อนจะยกมือแล้วพูด“ขอบพระทัยไท่ซั่งหวง!”เล่าขุนนางคำนับแล้วลุกขึ้นยืน ยืนอยู่ในลานฝึกยุทธ์ แบ่งออกเป็นสองแถว“เสด็จปู่ เมื่อสี่เดือนก่อนน้องเจ็ดให้คำมั่นในการประลองบุ๋นบู๊ อีกหนึ่งปีให้หลังจะชิงเมืองอู่โจวของเรากลับมาจากต้าเยียน บัดนี้แค่สี่เดือน น้องเจ็ดก็ทำตามคำมั่นได้แล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นทุกคนกล่าวจบ องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก็ก้าวออกมาทันที กล่าวยินดีกับฉินอวิ๋นฟาน จากนั้นองค์ชายรองก็ก้าวออกมาติด ๆ“เสด็จปู่ น้องเจ็ดกล้าหาญเหนือคน สติปัญญาหลักแหลม ได้เมืองอู่โจวของเรากลับคืนมาแบบไม่เสียทหารสักคนเดียว น้องเจ็ดคือวีรบุรุษของต้าเฉียนเรา ยิ่งเป็นคนสำคัญในวันนี้ เขาสร้างผลงานใหญ่ให้กับต้าเฉียนเรา น้องเจ็ดทำดีมากพ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยก็กล่าวแสดงความยินดีด้วย“ยินดีด้วยรัชทายาท ยินดีด้วยรัชทายาท!”......จากนั้น เสียงยินดีดังกึกก้องทั่วลานฝึกยุทธ์ปานเสียงอสนีบาต บรรดาขุนนางแสดงความยินดีในแบบที่ไม่ได้มองไปทางฉินอวิ๋นฟาน เป็นภาพที่กษัตริย์ขุนนางปรองดองรวมใจเป็นหนึ่ง แต่ความจริงทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ นี่เป็นแค่ปรา
“เสด็จปู่ หม่อมฉันรู้สึกว่าน้องเจ็ดไปเมืองอู่โจวคนเดียวจะไม่เหมาะ...”ตอนนี้เอง องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก้าวออกมากะทันหัน เอ่ยเสียงหนัก“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ น้องเจ็ดไม่มีประสบการณ์การทำศึกและการเจรจา หนำซ้ำเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงสัมพันธ์ของสองแคว้น หม่อมฉันคิดว่าต้องระวังให้มากพ่ะย่ะค่ะ”พอองค์ชายใหญ่พูดจบ องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยก็รีบก้าวออกมาด้วยเหมือนกันสภาพการณ์ทั้งลานฝึกยุทธ์เปลี่ยนเป็นล่อแหลม บรรดาขุนนางกระซุบกระซิบ วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้!“หือ? พวกท่านความหมายว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานหน้าตึง หรี่ดวงตาทั้งสองพลางพูดเรื่องที่ไม่มีการคัดค้าน จู่ ๆ พี่ใหญ่กับพี่รองกลับมาขัดขวางเอาตอนนี้? นี่หมายความว่าอย่างไร?องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเปลี่ยนสีหน้าโดยสิ้นเชิง สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม ทำให้ฉินอวิ๋นฟานเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันที“คังเอ๋อร์ ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่นัก พวกเขาอยากพูดอะไร?”ไท่ซั่งหวงสีหน้าขรึมลงทันที มองไปทางฉินอวิ๋นคังและฉินอวิ๋นฮุย พวกเขาสองพี่น้องเก็บตัวสามเดือนเต็ม ๆ หรือจะอดรนทนไม่ไหวในนาทีสำคัญนี้แล้ว?“ทูลเสด็จปู่
ถ้อยคำขององค์ชายรองทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีฉับพลัน นี่คือการหาเรื่องแบบเห็น ๆ เห็ดชัดว่าองค์ชายรองติดใจกับข่าวที่ต้าเยียนประกาศออกมา แม้จะผ่านไปสามเดือนแล้วแต่เขาก็ยังคับแค้นใจเหมือนเดิมถ้าบอกว่าคำพูดขององค์ชายใหญ่แสดงออกว่าสงสัยในคำพูดของฉินอวิ๋นฟานแบบอ้อม ๆ เช่นนั้นการชี้ประเด็นนี้ในยามนี้ขององค์ชายรองแทบจะเป็นการแสดงท่าทีชัดเจน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร พวกเราก็จะไม่เชื่อฉินอวิ๋นฟาน...“น้องเจ็ด ผลงานคือผลงาน ความผิดคือความผิด ที่จู่ ๆ ข้าก็ยกประเด็นเรื่องนี้ไม่ได้มีความหมายอื่น แค่สงสัยเจ้าเหมือนกับทุกคนในที่นี้เท่านั้น ต้าเยียนซึ่งเป็นแคว้นมหาอำนาจเช่นนี้ เหตุใดจึงว่าง่ายกว่าปกติ?”ฉินอวิ๋นฮุยยกมุมปากเล็กน้อยและพูดเสียดสี “แค่เพราะเจ้าหล่อ? แค่เพราะเจ้าลวนลามองค์หญิงสามต้าเยียนต่อหน้าทุกคน? แค่เพราะสัญญาเดิมพันธรรมดาฉบับหนึ่ง? ดังนั้นพวกเขาจึงสมัครใจประเคนสองเมืองให้เจ้า? นี่คงทำให้ทุกคนเชื่อไม่ได้กระมัง?”“ต่อหน้าอิทธิพลเหนือระดับ กำปั้นก็คือเหตุผล ต้าเยียนที่เป็นแคว้นมหาอำนาจเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องกลัวสัญญาเดิมพันของเจ้าด้วย? ยังจำเป็นต้องประกาศต่อใต้หล้า แสดงท่าทีชัดเจน
“ว่ามาเถอะ ท่านต้องการอะไรกันแน่? อยากได้คำอธิบาย หรือว่าอยากตามข้าไปออกศึกเหมือนพี่ใหญ่ แล้วแบ่งผลงาน?”ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจสักที ถ้าเขาแข็งข้อกับพี่ใหญ่พี่รองในเวลานี้ หรือว่าโกรธ เขาจะติดกับจริง ๆ กระทั่งผิดต่อความตั้งใจเดิม เทียบกับการถือสาเอาความกับพวกคนถ่อย มิสู้สงบสติเจรจาเงื่อนไขกับพวกเขาพี่ใหญ่อยากจะร่วมด้วยไม่ใช่หรือ? เจ้าฉินอวิ๋นฮุยก็คงจะคิดเหมือนกันกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้! ข้าเอาพวกเจ้าไปด้วยก็ได้! จะจับตามองก็ดี แบ่งผลประโยชน์ก็ช่าง เอาเมืองอู่โจวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!“น้องเจ็ด ไยเจ้าต้องโมโหเช่นนี้... พวกเจ้าเห็นพวกเราสองคนใจคอคับแคบเกินไปแล้ว...”ฉินอวิ๋นฮุยเห็นฉินอวิ๋นฟานไม่มีอารมณ์แล้ว เดิมคิดจะหาเรื่องอีก แต่ตอนนี้เอง จู่ ๆ ไท่ซั่งหวงก็เปิดปาก เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายอีก”“ไม่ว่าจะด้วยคำนึงถึงส่วนรวม จับตาดูฟานเอ๋อร์ก็ดี แบ่งเบาภาระก็ช่าง มันไม่มีอะไรสำคัญ สำคัญคือการกลับมาของเมืองอู่โจว ถ้าเจ้าวางใจไม่ลงจริงก็ส่งกองกำลังหนึ่งไปเหมือนกับคังเอ๋อร์ก็สิ้นเรื่อง!”ไท่ซั่งหวงรับว่ามองออกแล้ว สองคนนี้ความจริงก
ไท่ซั่งหวงชินกับการทำเรื่องแปลกแหวกแนวของฉินอวิ๋นฟานแล้ว ในทางกลับกัน เขารู้สึกสนใจกับเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะทำต่อไปนี้มาก เขาก็อยากดูสิว่าพวกฉินอวิ๋นฟานสามคนอยู่ด้วยกันแล้ว จะทำเรื่องสะพรึงฟ้าอะไรที่เมืองจัวได้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวของไท่ซั่งหวง เหล่าขุนนางย่อมไม่กล้าพูดมาก องค์ชายใหญ่สบสายตากับองค์ชายรองทีหนึ่ง ในทั้งความกระหยิ่มยิ้มย่องและความยินดีกับชัยชนะ พร้อมกันนั้นยังมีรอยยิ้มซับซ้อนแฝงประสงค์ร้ายอยู่“เสี่ยวฟาน สถานการณ์มันแปลก ๆ นะ เราเอาคนไปน้อยเกินไปหรือเปล่า?”เมื่อครู่อู่จ้านพูดไม่ได้ เขาร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ยามนี้โดยรวมถูกกำหนดแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขากังวลอย่างหนัก การเข้าร่วมกะทันหันขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรองไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัดในฐานะที่เป็นองครักษ์คนสนิทผู้ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่ง สัญชาตญาณบอกกับเขา องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ การเดินทางตั้งนี้ต้องเสริมเกราะป้องกันระวังภัยจึงจะดี“นั่นสิ รัชทายาท พวกเรานำพลไปแค่สามพัน เกรงว่าจะไม่พอ”หลัวเหิงเห็นสภาพการณ์แล้วจึงรีบก้าวออกมาพูดเตือน“วางใจเถอะ สามพันพอแล้ว มีพวกอาจ้านอยู่ด้วย ไม่เป็นปัญหา! ที
แค่ชั่วครู่เดียว ในเมืองและนอกเมืองคนเป็นภูเขาเลากา มีระเบียบเรียบร้อย ทุกคนต่างอยู่ในชุดเกราะ มือถือศาสตรา แววตามุ่งมั่น เห็นความตายประหนึ่งกลับบ้านอาชางามสามตัวกรีดกรายออกมาอย่างเชื่องช้า เหล่าองครักษ์ติดตามอยู่ซ้ายขวา ทหารม้าอยู่เบื้องหลัง สำหรับพลทหารเดินเท้าค่อนข้างช้า พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์จึงจะถึงเมืองอู่โจวได้นอกประตูเมืองทางทิศใต้ สามพี่น้องแลกสายตากันทีหนึ่ง ไม่มีใครยอมใคร แม้จะเดินทางด้วยกัน กลับมีความคิดที่แตกต่างเนื่องจากทุกคนต่างขี่ม้า เทียบกันแล้วจึงค่อนข้างเร็ว และระยะห่างระหว่างเมืองจัวกับเมืองหลวงก็ไม่นับว่าไกลกันนัก หากขี่ม้าชั้นดีและเปลี่ยนม้าตามสถานีพักม้า เช่นนั้นจะสามารถถึงจุดหมายได้ในหกชั่วยามแต่ถ้าไม่เปลี่ยนม้า ด้วยความเร็วของเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน นี่ก็คือสาเหตุที่ฉินอวิ๋นฟานวางแผนว่าจะออกเดินทางล่วงหน้าสามวันจวบจนม่านรัตติกาลแผ่คลุม จันทร์กระจ่างสูงเด่น พวกฉินอวิ๋นฟานขี่ม้าเดินทางหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงจะถึงเมืองปินโจวซึ่งเป็นเมืองรอบนอกในความดูแลของเมืองจัวเมืองปินโจวไม่ใช่เมืองที่อยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงเกิดสงครามค่อนข้างน้อย
กับสายตาที่เต็มไปด้วยการบุกรุกขององค์ชายใหญ่ หยางมี่รักษากิริยานอบน้อมเสมอต้นเสมอปลาย นี่ก็คือลักษณะที่เหนือคนทั่วไปของนาง ภายใต้การนำของหยางมี่ ไม่นานทั้งสามก็มาถึงห้องส่วนตัวกว้างขวางและเต็มไปด้วยการตกแต่งแบบโบราณบนโต๊ะในห้องส่วนตัวโอ่อ่ามีเพียงฉินอวิ๋นฟาน ฉินอวิ๋นฮุยและฉินอวิ๋นคังสามพี่น้อง นี่คือการชุมนุมด้วยรูปแบบนี้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ หนำซ้ำพวกเขายังเป็นคู่ต่อสู้ชิงบัลลังก์รายใหญ่ที่สุดด้วย ส่วนองครักษ์คนสนิทอื่นรออยู่หน้าห้องครั้นรู้ว่าพวกฉินอวิ๋นฟานจะมาถึงในหนึ่งก้านธูป หยางมี่ก็เตรียมอาหารเต็มโต๊ะล่วงหน้าแล้ว ครั้งพวกฉินอวิ๋นฟานนั่งลงก็เริ่มยกอาหารขึ้นโต๊ะ“ดี ดีมาก หยางมี่ เจ้าเก่งจริง ๆ ข้าชอบเจ้านัก หรือไม่ต่อไปเจ้าก็ติดตามข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าอยู่อย่างสุขสบายกินดีอยู่ดี”ฉินอวิ๋นคังมองไปทางหยางมี่อีกครั้ง พูดอย่างทะยานอยากที่สุด“ไอ้หยา องค์ชายใหญ่ ท่านล้อเล่นอีกแล้ว หยางมี่เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ชาติกำเนิดต่ำต้อย สามารถถูกองค์ชายใหญ่ชมได้คือเกียรติของข้าน้อยในชาตินี้แล้ว ไหนเลยยังกล้าหวังอะไรอีก?”ถูกองค์ชายใหญ่ดึงเข้าพวกต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน หยางมี่ก็ต