“จิ่นเอ๋อร์ มา ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูนะ!”พูดจบ ฉินอวิ๋นฟานเริ่มบริหารมือ จากนั้นจึงยิ้มเจ้าเล่ห์โยนตัวมาทางมู่หรงจิ่น มู่หรงจิ่นพลันคิดได้ ก็ขณะที่นางกำลังจะหลบก็สายไปแล้ว สองมือชั่วร้ายของฉินอวิ๋นฟานคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้“ไอ้หยา...”มู่หรงจิ่นที่อายสุดขีดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตื่นตระหนกลนลานฉับพลัน ก็ตอนที่กำลังจะหลบ เสื้อผ้าดัง ‘แคว้ก’ ผิวของมู่หรงจิ่นปรากฏอยู่กลางอากาศนางยังคำนึงถึงอะไรได้มากที่ไหน รีบคว้าผ้าห่มที่อยู่ด้านข้างแล้วมุดเข้าไปในนั้นหลู่เซียงหลิงอยู่ในผ้าห่ม ร่างกายไม่คุ้นเคยของสองนางบดเบียดอยู่ด้วยกัน สบตากันทีหนึ่ง ทั้งอาย ทั้งเขิน แต่ยังไม่ทันเตรียมตัวใด ๆ ก็เข้าทางของฉินอวิ๋นฟานแล้วคราวนี้ดีเลย อยากจะหนีก็หนีไม่รอด สองนางมองฉินอวิ๋นฟานตาปริบ ๆ เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานขย้ำมาทางพวกนางพี่นางปานหมาป่าหิวโหย“คนเลว!”“หัวงู!”ในผ้าห่ม สองนางส่งเสียงเคียดแค้น ตามด้วยเสียงตื่นตระหนก จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็โผล่หัวออกมาและพูดว่า “เสี่ยวจวี๋ น้องเซียงหลิงต้องการให้เจ้าชี้แนะทักษะ เจ้ารีบมาสิ!”“หา? มาแล้ว มาแล้วเจ้าค่ะ...!”ครู่เดียว ในห้องกลิ่นหอมรัญจวนคละคลุ้ง เสียงร้อง
เห็นสภาพนี้ ฉินอวิ๋นฟานกลัวได้ใจ ฟ้าสางเขาต้องไปเมืองจัวทำงานใหญ่แล้ว ฉินอวิ๋นฟานกอดพวกนางสามคนอยู่ในอ้อมอก พูดด้วยความรักลึกซึ้ง “จิ่นเอ๋อร์ ไปครั้งนี้คงเดือนกว่า ทุกอย่างในตำหนักรัชทายาทต้องมอบให้กับเจ้าแล้วนะ”“อื้ม พี่อวิ๋นฟานวางใจเถอะ ข้าจะดูแลตำหนักรัชทายาทให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเอง และจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนาเครือต้าเฉียนเหิงไท่ด้วย”มู่หรงจิ่นพยักหน้าพูด“งั้น งั้นข้าล่ะ?”หลู่เซียงหลิงเพิ่งเข้าตำหนักรัชทายาทได้ไม่ถึงสองวัน รู้เรื่องของฉินอวิ๋นฟานแค่นิดเดียว ถ้าให้นางอยู่เฉยๆในตำหนักหนึ่งเดือนนางไม่เป็นบ้าหรือ?“น้องเซียงหลิง ถึงยังไงเจ้าก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ตามข้าไปทำงานที่เครือต้าเฉียนเหิงไท่ทุกวันเถอะ พี่อวิ๋นฟานมีองครักษ์ให้เรา รับรองความปลอดภัยได้”มู่หรงจิ่นเอ่ย “ขอเพียงพวกเราข้างหลังไม่เกิดเรื่อง พี่อวิ๋นฟานจึงจะวางใจฝ่าไปข้างหน้า ติดตามข้า เจ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับงานในเหิงไท่สะดวก ต่อไปจะได้ช่วยพี่อวิ๋นฟานแบ่งเบาภาระ”“พี่จิ่นเอ๋อร์ ข้า ข้าได้หรือ?”หลู่เซียงหลิงมองไปทางมู่หรงจิ่นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ตอนกลางวันนางกำลังวิตกกังวลทั้งวันว่าต่
“ลุกขึ้นได้!”ไท่ซั่งหวงกวาดตามองทั่วลาน ก่อนจะยกมือแล้วพูด“ขอบพระทัยไท่ซั่งหวง!”เล่าขุนนางคำนับแล้วลุกขึ้นยืน ยืนอยู่ในลานฝึกยุทธ์ แบ่งออกเป็นสองแถว“เสด็จปู่ เมื่อสี่เดือนก่อนน้องเจ็ดให้คำมั่นในการประลองบุ๋นบู๊ อีกหนึ่งปีให้หลังจะชิงเมืองอู่โจวของเรากลับมาจากต้าเยียน บัดนี้แค่สี่เดือน น้องเจ็ดก็ทำตามคำมั่นได้แล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นทุกคนกล่าวจบ องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก็ก้าวออกมาทันที กล่าวยินดีกับฉินอวิ๋นฟาน จากนั้นองค์ชายรองก็ก้าวออกมาติด ๆ“เสด็จปู่ น้องเจ็ดกล้าหาญเหนือคน สติปัญญาหลักแหลม ได้เมืองอู่โจวของเรากลับคืนมาแบบไม่เสียทหารสักคนเดียว น้องเจ็ดคือวีรบุรุษของต้าเฉียนเรา ยิ่งเป็นคนสำคัญในวันนี้ เขาสร้างผลงานใหญ่ให้กับต้าเฉียนเรา น้องเจ็ดทำดีมากพ่ะย่ะค่ะ!”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยก็กล่าวแสดงความยินดีด้วย“ยินดีด้วยรัชทายาท ยินดีด้วยรัชทายาท!”......จากนั้น เสียงยินดีดังกึกก้องทั่วลานฝึกยุทธ์ปานเสียงอสนีบาต บรรดาขุนนางแสดงความยินดีในแบบที่ไม่ได้มองไปทางฉินอวิ๋นฟาน เป็นภาพที่กษัตริย์ขุนนางปรองดองรวมใจเป็นหนึ่ง แต่ความจริงทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ นี่เป็นแค่ปรา
“เสด็จปู่ หม่อมฉันรู้สึกว่าน้องเจ็ดไปเมืองอู่โจวคนเดียวจะไม่เหมาะ...”ตอนนี้เอง องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก้าวออกมากะทันหัน เอ่ยเสียงหนัก“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ น้องเจ็ดไม่มีประสบการณ์การทำศึกและการเจรจา หนำซ้ำเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงสัมพันธ์ของสองแคว้น หม่อมฉันคิดว่าต้องระวังให้มากพ่ะย่ะค่ะ”พอองค์ชายใหญ่พูดจบ องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยก็รีบก้าวออกมาด้วยเหมือนกันสภาพการณ์ทั้งลานฝึกยุทธ์เปลี่ยนเป็นล่อแหลม บรรดาขุนนางกระซุบกระซิบ วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้!“หือ? พวกท่านความหมายว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานหน้าตึง หรี่ดวงตาทั้งสองพลางพูดเรื่องที่ไม่มีการคัดค้าน จู่ ๆ พี่ใหญ่กับพี่รองกลับมาขัดขวางเอาตอนนี้? นี่หมายความว่าอย่างไร?องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเปลี่ยนสีหน้าโดยสิ้นเชิง สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม ทำให้ฉินอวิ๋นฟานเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันที“คังเอ๋อร์ ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่นัก พวกเขาอยากพูดอะไร?”ไท่ซั่งหวงสีหน้าขรึมลงทันที มองไปทางฉินอวิ๋นคังและฉินอวิ๋นฮุย พวกเขาสองพี่น้องเก็บตัวสามเดือนเต็ม ๆ หรือจะอดรนทนไม่ไหวในนาทีสำคัญนี้แล้ว?“ทูลเสด็จปู่
ถ้อยคำขององค์ชายรองทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีฉับพลัน นี่คือการหาเรื่องแบบเห็น ๆ เห็ดชัดว่าองค์ชายรองติดใจกับข่าวที่ต้าเยียนประกาศออกมา แม้จะผ่านไปสามเดือนแล้วแต่เขาก็ยังคับแค้นใจเหมือนเดิมถ้าบอกว่าคำพูดขององค์ชายใหญ่แสดงออกว่าสงสัยในคำพูดของฉินอวิ๋นฟานแบบอ้อม ๆ เช่นนั้นการชี้ประเด็นนี้ในยามนี้ขององค์ชายรองแทบจะเป็นการแสดงท่าทีชัดเจน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร พวกเราก็จะไม่เชื่อฉินอวิ๋นฟาน...“น้องเจ็ด ผลงานคือผลงาน ความผิดคือความผิด ที่จู่ ๆ ข้าก็ยกประเด็นเรื่องนี้ไม่ได้มีความหมายอื่น แค่สงสัยเจ้าเหมือนกับทุกคนในที่นี้เท่านั้น ต้าเยียนซึ่งเป็นแคว้นมหาอำนาจเช่นนี้ เหตุใดจึงว่าง่ายกว่าปกติ?”ฉินอวิ๋นฮุยยกมุมปากเล็กน้อยและพูดเสียดสี “แค่เพราะเจ้าหล่อ? แค่เพราะเจ้าลวนลามองค์หญิงสามต้าเยียนต่อหน้าทุกคน? แค่เพราะสัญญาเดิมพันธรรมดาฉบับหนึ่ง? ดังนั้นพวกเขาจึงสมัครใจประเคนสองเมืองให้เจ้า? นี่คงทำให้ทุกคนเชื่อไม่ได้กระมัง?”“ต่อหน้าอิทธิพลเหนือระดับ กำปั้นก็คือเหตุผล ต้าเยียนที่เป็นแคว้นมหาอำนาจเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องกลัวสัญญาเดิมพันของเจ้าด้วย? ยังจำเป็นต้องประกาศต่อใต้หล้า แสดงท่าทีชัดเจน
“ว่ามาเถอะ ท่านต้องการอะไรกันแน่? อยากได้คำอธิบาย หรือว่าอยากตามข้าไปออกศึกเหมือนพี่ใหญ่ แล้วแบ่งผลงาน?”ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจสักที ถ้าเขาแข็งข้อกับพี่ใหญ่พี่รองในเวลานี้ หรือว่าโกรธ เขาจะติดกับจริง ๆ กระทั่งผิดต่อความตั้งใจเดิม เทียบกับการถือสาเอาความกับพวกคนถ่อย มิสู้สงบสติเจรจาเงื่อนไขกับพวกเขาพี่ใหญ่อยากจะร่วมด้วยไม่ใช่หรือ? เจ้าฉินอวิ๋นฮุยก็คงจะคิดเหมือนกันกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้! ข้าเอาพวกเจ้าไปด้วยก็ได้! จะจับตามองก็ดี แบ่งผลประโยชน์ก็ช่าง เอาเมืองอู่โจวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!“น้องเจ็ด ไยเจ้าต้องโมโหเช่นนี้... พวกเจ้าเห็นพวกเราสองคนใจคอคับแคบเกินไปแล้ว...”ฉินอวิ๋นฮุยเห็นฉินอวิ๋นฟานไม่มีอารมณ์แล้ว เดิมคิดจะหาเรื่องอีก แต่ตอนนี้เอง จู่ ๆ ไท่ซั่งหวงก็เปิดปาก เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายอีก”“ไม่ว่าจะด้วยคำนึงถึงส่วนรวม จับตาดูฟานเอ๋อร์ก็ดี แบ่งเบาภาระก็ช่าง มันไม่มีอะไรสำคัญ สำคัญคือการกลับมาของเมืองอู่โจว ถ้าเจ้าวางใจไม่ลงจริงก็ส่งกองกำลังหนึ่งไปเหมือนกับคังเอ๋อร์ก็สิ้นเรื่อง!”ไท่ซั่งหวงรับว่ามองออกแล้ว สองคนนี้ความจริงก
ไท่ซั่งหวงชินกับการทำเรื่องแปลกแหวกแนวของฉินอวิ๋นฟานแล้ว ในทางกลับกัน เขารู้สึกสนใจกับเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะทำต่อไปนี้มาก เขาก็อยากดูสิว่าพวกฉินอวิ๋นฟานสามคนอยู่ด้วยกันแล้ว จะทำเรื่องสะพรึงฟ้าอะไรที่เมืองจัวได้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวของไท่ซั่งหวง เหล่าขุนนางย่อมไม่กล้าพูดมาก องค์ชายใหญ่สบสายตากับองค์ชายรองทีหนึ่ง ในทั้งความกระหยิ่มยิ้มย่องและความยินดีกับชัยชนะ พร้อมกันนั้นยังมีรอยยิ้มซับซ้อนแฝงประสงค์ร้ายอยู่“เสี่ยวฟาน สถานการณ์มันแปลก ๆ นะ เราเอาคนไปน้อยเกินไปหรือเปล่า?”เมื่อครู่อู่จ้านพูดไม่ได้ เขาร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ยามนี้โดยรวมถูกกำหนดแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขากังวลอย่างหนัก การเข้าร่วมกะทันหันขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรองไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัดในฐานะที่เป็นองครักษ์คนสนิทผู้ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่ง สัญชาตญาณบอกกับเขา องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ การเดินทางตั้งนี้ต้องเสริมเกราะป้องกันระวังภัยจึงจะดี“นั่นสิ รัชทายาท พวกเรานำพลไปแค่สามพัน เกรงว่าจะไม่พอ”หลัวเหิงเห็นสภาพการณ์แล้วจึงรีบก้าวออกมาพูดเตือน“วางใจเถอะ สามพันพอแล้ว มีพวกอาจ้านอยู่ด้วย ไม่เป็นปัญหา! ที
แค่ชั่วครู่เดียว ในเมืองและนอกเมืองคนเป็นภูเขาเลากา มีระเบียบเรียบร้อย ทุกคนต่างอยู่ในชุดเกราะ มือถือศาสตรา แววตามุ่งมั่น เห็นความตายประหนึ่งกลับบ้านอาชางามสามตัวกรีดกรายออกมาอย่างเชื่องช้า เหล่าองครักษ์ติดตามอยู่ซ้ายขวา ทหารม้าอยู่เบื้องหลัง สำหรับพลทหารเดินเท้าค่อนข้างช้า พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์จึงจะถึงเมืองอู่โจวได้นอกประตูเมืองทางทิศใต้ สามพี่น้องแลกสายตากันทีหนึ่ง ไม่มีใครยอมใคร แม้จะเดินทางด้วยกัน กลับมีความคิดที่แตกต่างเนื่องจากทุกคนต่างขี่ม้า เทียบกันแล้วจึงค่อนข้างเร็ว และระยะห่างระหว่างเมืองจัวกับเมืองหลวงก็ไม่นับว่าไกลกันนัก หากขี่ม้าชั้นดีและเปลี่ยนม้าตามสถานีพักม้า เช่นนั้นจะสามารถถึงจุดหมายได้ในหกชั่วยามแต่ถ้าไม่เปลี่ยนม้า ด้วยความเร็วของเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน นี่ก็คือสาเหตุที่ฉินอวิ๋นฟานวางแผนว่าจะออกเดินทางล่วงหน้าสามวันจวบจนม่านรัตติกาลแผ่คลุม จันทร์กระจ่างสูงเด่น พวกฉินอวิ๋นฟานขี่ม้าเดินทางหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงจะถึงเมืองปินโจวซึ่งเป็นเมืองรอบนอกในความดูแลของเมืองจัวเมืองปินโจวไม่ใช่เมืองที่อยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงเกิดสงครามค่อนข้างน้อย
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ