มู่หรงฟู่สุ่ยนั่งลงไปกับพื้น สิ้นหมดทั้งคน ตอนนี้เองเขาถึงตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่อง ตั้งแต่นาทีที่เขาย่างเข้าจวนนี้ก็คงเดินกลับออกไปไม่ได้แล้ว“มู่หรงฟู่สุ่ย เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?!”ฮั่วเจิ้นหลงตวาดถาม“แม่ทัพฮั่ว จะให้เวลาข้าน้อยหน่อยได้ไหมขอรับ? ให้ข้าน้อยได้กลับไปทำความเข้าใจ รายละเอียดเป็นยังไงข้าน้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน”มู่หรงฟู่สุ่ยรีบอธิบาย“กลับไป? กลับไปเตรียมตัวหนีรึ! เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีโอกาสกลับไป?! ถ้าไม่สารภาพมาเสียดี ๆ วันนี้เจ้าอย่าคิดจะออกจากจวนนี้ไปได้เลย!”ฮั่วเจิ้นหลงเอ่ยเสียงหนาวมู่หรงฟู่สุ่ยความหวังสูญสิ้น เขากวาดสายตามององค์ชายใหญ่และคนอื่น ๆ รอบหนึ่งแล้วยิ้มแห้ง เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรอธิบายอย่างไรดี ทั้งที่เขาพูดความจริง กลับไม่มีใครเชื่อสักคนต่อให้เขาแต่งเรื่องไปเรื่อย เขาก็ไม่รู้จะเล่าจากตรงไหน ถึงเขาจะเสียใจกับการกระทำโง่ ๆ ของตัวเอง แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ลูกเมียพลอยเดือดร้อนไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องตายแน่แล้ว ข่าวดีสุดท้ายนี้นับว่าทำให้เขาโล่งอกถ้าเทียบกับการดิ้นรนเพื่อหวังเอาตัวรอด มิสู้มุ่งหน้าสู่ความตาย!“เหอะ นี่ยังมีอะไรต้อง
เรื่องที่อุจจาระราดครานี้ ฉินอวิ๋นคังคือผู้รับเคราะห์หนักที่สุด สะเทือนใจเป็นอย่างมาก และฉินอวิ๋นคังก็คือผู้วางแผนเรื่องนี้ทั้งหมด ฉินอวิ๋นคังไม่เชื่อเด็ดขาดว่าฉินอวิ๋นฮุยคือผู้บริสุทธิ์ครั้นเขายืนยันความคิดของตัวเองแล้วก็ตัดสินใจที่จะแตกหักกับฉินอวิ๋นฮุย ขีดเส้นแบ่งชัดเจน ไม่อยากข้องแวะใด ๆ กับสุภาพบุรุษจอมปลอมที่มากเล่ห์เพทุบายเช่นนี้อีกแล้วฮั่วเจิ้นหลงที่อยู่ด้านข้างมองฉินอวิ๋นคังผู้เป็นลูกเขยด้วยความประหลาดใจอย่างหนัก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจัดการเรื่องนี้ถูกหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าฉินอวิ๋นคังจะรู้จักใช้สมองแล้ว รู้จักพิจารณาปัญหาเชิงลึกแล้ว?นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือเพราะเกิดปัญญาท่ามกลางวิกฤต? ฮั่วเจิ้นหลงเริ่มแอบดีใจ“ฉินอวิ๋นคัง พูดมาครึ่งค่อนวัน ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไม่มีทางเชื่อข้าใช่ไหม? ต้องคิดว่าข้าคือตัวการเบื้องหลังที่ก่อเรื่องนี้ให้ได้ใช่ไหม?”ฉินอวิ๋นฮุยหรี่ดวงตาทั้งสอง ในนั้นเต็มไปด้วยความมืดมน เดิมนี่คือเรื่องที่ง่ายจนไม่รู้จะง่ายอย่างไรได้อีก แค่หยั่งเชิงฉินอวิ๋นฟานครั้งเดียว แต่ผลลัพธ์กลับดีเลย พวกเขาจบงานอย่างยับเยินไม่ว่าเขาจะงัดหลักฐานอะไร ฉินอวิ๋นคังก็สามารถวิเคร
“อื่ม ดีมาก เจ้าคิดได้เช่นนี้ ข้าปลื้มใจจริง ๆ” ฮั่วเจิ้นหลงเห็นลูกเขยก้าวหน้าขึ้นมากกะทันหัน พลันเผยรอยยิ้มปานบิดาเมตตา จากนั้นจึงถามต่อ “เช่นนั้นต่อจากนี้เจ้าคิดจะทำยังไง?”ฉินอวิ๋นคังไตร่ตรองเล็กน้อยครู่หนึ่ง “ตอนนี้น้องเจ็ดไม่มีอิทธิพลอะไร และไม่มีจุดอ่อนอะไรด้วย พวกเราไม่มีช่องลงมือกับเขา ยิ่งหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลไม่ได้ น้องเจ็ดมากเล่ห์เพทุบาย จะเสียเปรียบได้ง่าย ๆ เอา”“ถ้าเรายังทำตามแผนของเจ้ารองต่อ ลงมือกับธุรกิจของเจ้าเจ็ด ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เมื่อเทียบกับใช้แผนร้ายทางลับ ไม่สู้แข่งการค้ากับเขาไปเลย ถึงยังไงเราก็มีเงินถุงเงินถัง เบียดการค้าของเขาอย่างเปิดเผยยุติธรรมไม่ดีหรือ?”ฉินอวิ๋นคังเอ่ย “เช่นนี้ไม่เพียงแต่โจมตีการค้าของน้องเจ็ดได้ ยังสามารถพัฒนาให้ตัวเองแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ เทียบกับเจ้ารองที่เล่นลูกไม้สกปรกอยู่ข้างหลัง พวกเราทำแบบนี้จึงจะถูก”ได้ฟังการวิเคราะห์จากฉินอวิ๋นคัง บนหน้าของฮั่วเจิ้นหลงเขียนคำว่า ‘เหลือเชื่อ’ ตัวโต ๆ นี่ลูกเขยเป็นอะไรไป ทำไมหัวใสอย่างนี้ได้นะ!เมื่อวานพวกเขายังหารือกันว่าจะโค่นระบบธุรกิจของฉินอวิ๋นฟานอย่างไร ผลคือพอลูกเขย
ความร่วมมือระยะสั้นและเปราะบางขององค์ชายใหญ่กับองค์ชายรอง แค่ช่วงเวลาหนึ่งวันก็พังทลายย่อยยับเพราะเรื่องเล็ก ๆ เพียงเรื่องเดียวฉินอวิ๋นฟานกลับไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย เขายังป้องกันองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองจะเล่นงานเขาอย่างลับ ๆ เหมือนเดิม จึงรีบคัดกรองพนักงานทั้งหมดในเครือเหิงไท่ทุกภาคส่วน กลัวจะมีคนทรยศอย่างมู่หรงฟู่สุ่ยอีกเช้าวันต่อมา ฉินอวิ๋นฟานมาถึงชั้นสองของภัตตาคารต้าเฉียนแต่เช้าเพื่อเตรียมการและแบ่งหน้าที่เรื่องการดึงพันธมิตรร่วมลงทุนกับเครือเหิงไท่กระทั่งกลางวันเขาจึงสะสางงานเสร็จ บิดขี้เกียจเป็นวงกว้าง ยืดเส้นยืดสายสักหน่อย และตอนนี้เอง จู่ ๆ เสิ่นวั่นซานก็มาถึงห้องโถงรับแขกอย่างอนาทรร้อนใจ“แย่ แย่แล้ว รัชทายาท เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสิ่นวั่นซานเหงื่อไหลไคลย้อย เปิดปากพูดด้วยความร้อนรน“มีอะไรหรือ? มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดมาเถอะ”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้ว เมื่อคืนเพิ่งคัดกรองพนักงานทั้งหมดเสร็จ นี่เพิ่งจะผ่านไปครึ่งวันก็เกิดปัญหาใหม่อีกแล้ว?เสิ่นวั่นซานปาดเหงื่อที่หน้าผาก “เรื่องมันเป็นเช่นนี้ขอรับ เมื่อกี้นี้หยางกั๋วฝูเถ้าแก่โรงงานไม้แปรรูปที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงเรียกเถ้าแ
ฉินอวิ๋นฟานโบกมือออกคำสั่งไล่แขกโดยตรงในประวัติศาสตร์อันยาวนาน เสิ่นวั่นซานคืออัจฉริยะทางการค้าคนหนึ่ง มั่งคั่งเทียบเท่าบ้านเมือง ที่ฉินอวิ๋นฟานให้ความสำคัญกับเขา ประการแรกคือเล็งเห็นอุปนิสัยและความสามารถในการคว้าโอกาสของเขา ประการต่อมาคือเห็นหัวการค้าเหนือคนของเขา“ขอบคุณรัชทายาทที่ชี้แนะ ข้ารู้แล้วว่าควรทำยังไง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังกับข้าเสิ่นวั่นซานแน่นอน!”เสิ่นวั่นซานกรอบตาแดง ถอยออกจากห้องไปแบบรู้ตัว รู้ว่านี่คือโอกาสที่ฉินอวิ๋นฟานมอบให้เขา กำลังฝึกเขา ถ้าไม่ไขว่คว้าเอาไว้ให้ดี ต่อไปเกรงว่าจะหมดโอกาสแล้วจริง ๆพริบตาเดียวผ่านไปแล้วห้าวัน เครือเหิงไท่ของฉินอวิ๋นฟานดำเนินการอย่างคึกคักร้อนแรง โครงการแรกก็คือการร่วมพันธมิตรของโรงแรมห้าดาวต้าเฉียน คนที่เคยมีประสบการณ์กับโรงแรมห้าดาวต้าเฉียนต่างชื่นชมโรงแรมรูปแบบใหม่นี้ไม่หยุดปาก คนที่มาร่วมเป็นพันธมิตรยิ่งมีมาไม่ขาดสายเพิ่งจะเริ่มได้สามวัน คนที่มาเป็นพันธมิตรต่อแถวยาวเป็นมังกรอยู่หน้าปากประตูศูนย์เครือข่ายเหิงไท่นานแล้ว เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วม หลาย ๆ คนถึงกับเฝ้าอยู่หน้าประตูสามวันสามคืนภาพนี้องค์ชายใหญ่ องค์ชาย
“สวรรค์ กะอีแค่โรงแรมเล็ก ๆ ทำเงินขนาดนี้เลยหรือ?!”ไม่คำนวณไม่รู้ พอคำนวณเป็นอันต้องสะดุ้ง ฉินอวิ๋นคังทำตาโตเท่าลูกกระพรวนทองแดง เขาเห็นนานแล้วว่ากิจการโรงแรมห้าดาวต้าเฉียนของฉินอวิ๋นฟานดังพลุแตกมาก แต่ด้วยเกียรติที่ค้ำคอจึงไม่ได้ไปสัมผัสสักครั้งพอกุนซือคำนวณอย่างนี้ ทำเอาเขาตกตะลึงพรึงเพริด ไม่นึกว่าโรงแรมเล็ก ๆ และกำไรแค่สามส่วนจะทำเงินได้ขนาดนี้ เช่นนี้ฉินอวิ๋นฟานเจ็ดส่วนมิต้องได้เป็นกระบุงหรือ?“ถูกต้อง ข้าศึกษาอย่างละเอียดมาแล้ว ทั้งยังไปเปิดประสบการณ์ที่โรงแรมห้าดาวต้าเฉียนด้วยตัวเองหนหนึ่ง หลังจากได้สัมผัสแล้วก็ไม่อยากออก สิ่งของแปลกใหม่ต่าง ๆ นานาทำให้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสช่างวิเศษนัก”กุนซือยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น สีหน้าแดงระเรื่อ “พวกเขายังมีเอกลักษณ์สุดพิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือห้องเร้าอารมณ์ อุปกรณ์ทันสมัยต่าง ๆ รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือเสริมอะไรล้วนครบครัน ตระการตาอย่างยิ่ง หากพาสาวสวยไปด้วยสักคน... มันจะเหนือความรู้ความเข้าใจของท่านทั้งปวง เยี่ยมยอดสุด ๆ ไปเลย!”หลังจากกุนซือสาธยายอย่างออกรสออกชาติ ใบหน้าของฉินอวิ๋นคังและฮั่วเจิ้นหลงมีแต่สีสั
เช่นเดียวกับที่กุนซือหวังจื้อกล่าว หากองค์ชายรองเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับโรงแรมห้าดาวของฉินอวิ๋นฟาน เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเร่งมือด้วยเหมือนกันฮั่วเจิ้นหลงตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวจื้อ ถึงเราจะเข้าร่วมด้วยแต่ก็ไม่แน่ว่าฉินอวิ๋นฟานจะตกลง แล้วเราควรทำยังไงถึงจะเข้าร่วมได้เล่า?”“เรื่องนี้ง่ายมาก พวกเราแค่ซื้อตัวคนที่มีสิทธิ์ร่วมเป็นพันธมิตรพวกนั้นก็พอ พวกเราจะออกเงินทั้งหมด และจะแบ่งผลกำไรให้พวกเราส่วนหนึ่งทุกเดือนก็เรียบร้อยแล้ว!”หวังจื้อยิ้มย่ามใจ “ข้อดีในการทำอย่างนี้ก็คือกันการปกปิดตัวตน ทั่วไปแล้วจะไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่ควบคุมเบื้องหลังที่แท้จริงคือพวกเราต่างหาก”“แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมล่ะ จะทำยังไง? มันโกยเงินได้มากขนาดนั้น ใครจะได้อยากประเคนให้พวกเรากันล่ะ?”ฉินอวิ๋นคังขมวดคิ้วถามหวังจื้อยิ้มพูดอย่างประหลาดใจ “องค์ชายใหญ่ เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ข้าบอกท่านว่าต้องทำอย่างไรกระมัง?”“หือ?”ครั้นหวังจื้อชี้ทาง ฉินอวิ๋นคังก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน พลันมุมปากยกยิ้ม “อำนาจ บีบคั้น ผลประโยชน์ หลอกล่อ? แล้วลวดดึงคนเข้าร่วมกับพวกเรา?”“ฮ่า ๆ ๆ...”ครั้นกล่าวออกมาทั
“อาจ้าน ช่วงนี้ท่านรู้สึกแปลก ๆ ไหม!”ในห้องหนังสือจวนรัชทายาท ฉินอวิ๋นฟานนั่งสง่าอยู่หน้าโต๊ะ ใบหน้าล้วนเป็นความฉงน“แปลก? แปลกตรงไหน? ข้าไม่ยักรู้สึกมีอะไรผิดปกตินี่ ช่วงนี้เครือธุรกิจก็ดังระเบิดดี ทุกอย่างราบรื่น ไม่เห็นว่าจะเกิดเรื่องอะไรเลย”อยู่ดี ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็ถามมาอย่างนี้ ทำเอาอู่จ้านหน้ามึนไปเลย“ก็เพราะว่ามันไม่เกิดเรื่องอะไรนะสิ ข้าถึงรู้สึกแปลกสุด ๆ”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วพูด “ท่านคิดดูนะ จากวันที่พี่ใหญ่ข้าถูกข้าหยามหน้าผ่านไปห้าวันแล้ว เขากลับนิ่งเฉย? ด้วยนิสัยฉุนเฉียวหัวร้อนของเขา มันไม่ควรนี่นา!”“เอ๋ มันก็เหมือนที่เจ้าว่านะ องค์ชายใหญ่ถูกเจ้าแกล้งเสียหมดท่าอย่างนั้น แต่ช่วงนี้เหมือนเขาจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย ไม่เหมือนลักษณะของเขาจริง ๆ นั่นแหละ”เมื่อฉินอวิ๋นฟานเตือนสติเช่นนี้ อู่จ้านจึงนึกถึงเรื่องน่าอนาถที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนแม้เรื่องนี้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องร้อนแรงทุกตรอกซอกซอยต้าเฉียน ยังคงเป็นเรื่องที่ทุกคนคุยกันในวงน้ำชาหลังอาหารองค์ชายใหญ่มีนิสัยมุทะลุเสมอมา เรื่องอุจจาระราดในครั้งนี้เรียกได้ว่าขายหน้าจนสิ้น ตามหลักแล้วเขาน่าจ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ