“อ้อ? กำลังง่วงเหงาหาวนอน องค์ชายรองก็มอบหมอนมา!”พอฮั่วเจิ้นหลงได้ยินดังนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย หลังจากผ่านเรื่องราวในระยะนี้ เขาตระหนักถึงภัยคุกคามใหญ่หลวงจากฉินอวิ๋นฟาน กอปรกับการแสดงความสามารถในราชสำนัก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฉุดฝีเท้าที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของฉินอวิ๋นฟานให้จงได้“แม่ทัพผู้เฒ่าฮั่ว คาดว่าท่านน่าจะเคยเห็นฝีมือของฉินอวิ๋นฟานมาแล้ว แถมเสด็จปู่ยังเอนเอียงไปทางเขาชัดเจนอีก ดังนั้นข้าคิดว่าพวกเราระวังหน่อยเป็นดี จะบุ่มบ่ามไม่ได้อีก”ฉินอวิ๋นฮุยเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงคิดเช่นนี้ ให้มู่หรงฟู่สุ่ยหยั่งเชิงสถานการณ์ก่อน ถ้าฉินอวิ๋นฟานไม่ได้ป้องกันอะไรมากจริง พวกเราค่อยวางแผนขั้นต่อไปอีกที ล้มเขาในคราวเดียว ท่านคิดว่าอย่างไร?”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยผู้เสียทีให้กับฉินอวิ๋นฟานมาหลายต่อหลายครั้ง ระมัดระวังรอบคอบมากขึ้น แม้เขาจะมีไพ่ตายอยู่ในมือ แต่ก็ไม่กล้าไปหาเรื่องฉินอวิ๋นฟานผู้เป็นดาวพิฆาตคนนี้ ทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เขาจะรับแรงสะเทือนถึงชีวิตชนิดนั้นไม่ไหว“ข้าว่าดียิ่ง!”ฮั่วเจิ้นหลงผงกศีรษะเห็นด้วยเนือง ๆ โบราณกล่าว ขับขี่ระวังได้เรือหมื่นปี[1] เขาเห็นดีเห็นงามแผนกา
......หลังจากออกจากตำหนักเหยียนเหนียน ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่ได้ว่าง เขามาถึงเรือนตระกูลมู่หรงทันที ยามนี้พ่อตาเฒ่ามู่หรงซื่อควานกำลังรออยู่แล้ว“พ่อลูกเขย เจ้ามาได้สักที!”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งเข้ามาถึงห้องโถง สุราดีอาหารรสเลิศเตรียมพร้อมสรรพบนโต๊ะอาหารแล้ว รอแต่คนสำคัญของานปรากฏตัว แม้มู่หรงซื่อควานจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงพ่อตาของรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียน แต่ก็ไม่กล้าจัดงานเลี้ยงพอฉินอวิ๋นฟานโผล่มา มู่หรงซื่อควานก็ฉีกยิ้มปรี่ไปหาทันที อย่างไรเสีย ลูกเขยคนนี้คือความภูมิใจสูงสุดของเขา ถ้าไม่มีลูกเขยคนนี้ ตระกูลมู่หรงจะทะยานรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งเดือนได้อย่างไร?“ท่านพ่อตาเกรงใจแล้ว ข้าเพิ่งเสร็จธุระม้าไม่หยุดเท้ามาทันที แต่ก็ยังทำให้พวกท่านรอเสียนาน”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มแย้มเข้าไปหา“รอไม่นาน รอไม่นาน มาได้เวลาพอดี!”มู่หรงซื่อควานรีบนำทางให้ฉินอวิ๋นฟานนั่งตำแหน่งหลัก ในยุคสมัยนี้ สูงต่ำมีลำดับ แม้ว่าฉินอวิ๋นฟานจะเป็นลูกเขย แต่อย่างไรเขาก็คือรัชทายาทของแว่นแคว้น ฐานะสูงศักดิ์เพียงไร ดังนั้นต้องให้เขาเป็นใหญ่บนโต๊ะอาหารฉินอวิ๋นฟานไม่เกรงใจนั่งลงเลย อู่จ้าน เซี่ยง
ฉินอวิ๋นฟานควบคุมวัฒนธรรมโต๊ะสุราได้แม่นยำนานแล้ว แม้เขาจะเกลียดรูปแบบประเภทนี้มาก แต่ก็ได้ประโยชน์จริง ๆ คนทั่วไปยากจะต่อต้านอีกอย่าง เวลานี้เป็นช่วงที่เขากำลังต้องการบุคลากร ทั้งตระกูลเจียงยังเป็นขั้วอิทธิพลยุทธภพ สามารถประกันกำลังให้เขาได้มากขึ้นมากฉินอวิ๋นฟานรีบพูด “อาเจียง นี่ล้วนสมควร ท่านคือผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นสหายร่วมตายของท่านพ่อตาข้า ข้าได้ยินท่านพ่อตาชื่นชมท่านอยู่บ่อย ๆ”“บอกว่าท่านเป็นคนซื่อตรง รักษาสัจจะ ตระกูลเจียงยิ่งมีผู้มากความสามารถนัก จิตใจผดุงความเป็นธรรม ข้าก็รู้สึกภูมิใจกับท่านพ่อตาที่มีสหายเช่นท่านเหมือนกัน!”ฉินอวิ๋นฟานสรรเสริญเยินยอไปชุดใหญ่ ชมจนเจียงเฟิงทำอะไรไม่ถูก หัวใจชุ่มฉ่ำ“ตระกูลเจียงเราเป็นแค่ขั้วอิทธิพลยุทธภพเล็ก ๆ กลับได้รับการวิจารณ์จากรัชทายาทสูงเช่นนี้ เป็นวาสนาของตระกูลเจียงแล้ว”เจียงเฟิงส่ายหน้าพลางพูด“แม้ตระกูลเจียงจะไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว คู่ควรต่อคำวิจารณ์สูงเช่นนี้โดยแท้ ดังนั้นข้าจึงขอร้องท่านพ่อตาหลายครั้ง หวังว่าจะได้พบกับผู้นำตระกูลเจียงสักหน”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย “วันนี้ได้พบ ท่วงทำนองสะท้อนคน ใจ
ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานพูดขนาดนี้แล้ว จะต้องทำได้แน่นอน!“พี่เจียง รัชทายาทวางพิมพ์เขียวมโหฬารเอาไว้นานแล้ว ในฐานะที่เป็นสหาย ข้าหวังว่าเราจะได้ร่วมกันทำงานใหญ่ แน่นอน ข้าเคารพการตัดสินใจของท่าน หวังว่าท่านจะตรึกตรองให้ดี!”มู่หรงซื่อควานก็พูดอย่างจริงจังอยู่ด้านข้างเหมือนกันเจียงเฟิงหันหน้าเคลื่อนสายตาไปมองบุตรชายเจียงเสี่ยวไป๋ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “เสี่ยวไป๋ เรื่องนี้จะตัดสินชะตาในอนาคตของตระกูลเจียง เจ้าเห็นว่ายังไง?”เจียงเสี่ยวไป๋สีหน้าเคร่งขรึม “ท่านพ่อ ขนาดท่านลุงเซี่ยงยังเชื่อรัชทายาทเช่นนี้ พวกเรายังมีอะไรต้องลังเลอีกหรือ? แน่นอน ข้าสนับสนุนการตัดสินใจทุกเรื่องของท่าน!”ท่าทีของเจียงเสี่ยวไป๋ชัดเจนมาก มิหนำซ้ำเขายังเคยได้ยินเชื่อเสียงของฉินอวิ๋นฟานมาแต่แรกแล้ว เรื่องที่เมืองจัวเรียกได้ว่ารู้กันถ้วนหน้า นั่นคือผู้ที่เป็นแบบอย่างซึ่งเขาเคารพ สามารถติดตามนายเช่นนี้ได้ เขาไม่เสียใจแล้ว!เจียงเฟิงแบกรับชะตาของทั้งตระกูล ย่อมไม่กล้าผลีผลาม เมื่อได้รับการสนับสนุนจากทุกคน เขามีหน้าเข้มขรึม คล้ายตัดสินใจในเรื่องที่ลำบากมากเขาเอ่ยด้วยสายตาแน่วแน่ “รัชทายาท ตระกูลเจียงยินดีเข้าร่วมก
จ้องเถ้าแก่ที่ผู้สมัครใจติดตาม ฉินอวิ๋นฟานฉายรอยยิ้มเต็มใบหน้า คนเหล่านี้ทำงานด้านการก่อสร้าง การค้าแปรรูปไม้ ผลิตเครื่องเรือน เครื่องเคลือบ อิฐกระเบื้องเป็นส่วนใหญ่พวกเขาไม่มีภูมิหลังตัวตนนัก ดังนั้นจึงทำการค้าในเมืองหลวงด้วยความยากลำบากอย่างหาที่เปรียบมิได้ อาศัยฝีมือดีและอยู่ในสายงานนี้ได้เพียงระดับกลาง นอกจากนี้พวกเขายังถูกคนของทางการและขุนนางสะกดข่มอยู่เสมอ มักต้องควักเงินทองแสดงความกตัญญู หวังว่าจะเอาตัวรอดภายใต้การกดขี่จากพวกบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหล่านี้ พวกเขาลำบากแสนเข็ญ เงินส่วนมากล้วนถูกผู้มีอำนาจสูงศักดิ์เหล่านั้นรีดไถไปด้วยข้ออ้างและเหตุผลต่าง ๆ นานา หากได้แต่มองตาปริบ ๆในตอนที่ฉินอวิ๋นฟานสร้างโรงแรมห้าดาวต้าเฉียนได้นำคนทำความเข้าใจกับทั้งเมืองหลวง ศึกษาตื้นลึกหนาบาง สุดท้ายพบว่าฝีมือของคนพวกนี้ประณีตโดยแท้ ทว่าการค้ากลับเงียบเหงา กลับมีบางคนที่นำสินค้าบ้าน ๆ เข้ามา แต่ขายดีเทน้ำเทท่า แถมยังประกอบกิจการใหญ่โตอีกสุดท้ายก็คือมีคนทำการค้าโดยรูปแบบสกปรก ผูกขาด กดขี่ ใช้วิธีการเดียวกับพวกมาเฟีย ดังนั้นบรรดาเถ้าแก่น้ำดีมีความสามารถจึงมีการค้าเพียงน้อยนิดนี่อดทำให้ฉินอวิ๋นฟ
ทันใดนั้นฉินอวิ๋นฟานก็เอากระดาษออกมาแล้วเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าอยากจะเข้าร่วมกับข้า แค่คำมั่นลมปากยังไม่พอ ที่ข้าฉินอวิ๋นฟานเกลียดที่สุดก็คือคนที่ตีสองหน้า!”“ดังนั้นต้องลงชื่อในสัญญาร่วมเป็นตายฉบับนี้ข้าจึงจะเชื่อความภักดีของพวกท่าน ไม่ว่าผู้ใดทรยศหักหลังก็คือตายทั้งตระกูล ตอนนี้ถ้ามีคนนึกเสียใจแล้วยังทัน!”“อะไรนะ?! นี่ นี่จะทำยังไงดี?!”“นั่นสิ ดีไม่ดียังต้องถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล นี่...”“สัญญาร่วมเป็นตายฉบับนี้จะลงชื่อยังไง? ลงชื่อไปแล้วไม่เท่ากับฝากชีวิตไว้ในมือของรัชทายาทหรือ... วันข้างหน้าจะหันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ!”......เมื่อได้ยินว่าต้องลงชื่อในสัญญาร่วมเป็นตาย ทุกคนก็ตื่นตระหนกทันที สีหน้าปั้นยากฉับพลัน พวกเขารู้เรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานทำในต้าเฉียนดี ถ้าลงชื่อไปแล้วจะต้องทำตามทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข มิเช่นนั้น...“มีปัญหาก็ถามตอนนี้ได้ทุกเมื่อ คิดว่าไม่เหมาะสมก็ไปได้ คิดว่าเหมาะสมก็อยู่ต่อ ข้าที่นี่ไม่ต้องการคนไม่ซื่อ!”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ“นี่...”ทุกคนต่างมองหน้ากัน ชั่วขณะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเป็นตอนนี้เอง เสิ่นวั่นซานก้าวออกมาอีกครั้ง ลงชื่อตัวเองในสัญญาอ
คนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเขา แค่ให้เวทีและโอกาสเขาก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้แล้ว ฉินอวิ๋นฟานชอบมาก!ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้รีบร้อนแสดงท่าที คนที่จะอยู่ต่อได้จริง ๆ ต้องเป็นคนที่ไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย ตัดเส้นทางข้างหลังเด็ดขาด ทุ่มเทกายใจฝ่าฟันไปกับเขา และโอกาสนี้ ฉินอวิ๋นฟานจะมอบให้พวกเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!เสิ่นวั่นซานฉลาดมาก แวบเดียวก็มองความคิดของฉินอวิ๋นฟานออก นี่ก็คือสาเหตุที่เขาตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ นับจากผลิตชักโครก เขาก็พบโอกาสการค้ามหาศาลนี้แล้ว รู้สึกว่าฉินอวิ๋นฟานไม่ธรรมดา!ถ้าอยากฟื้นตัว ไม่อยากถูกข่มเหงรังแก บางทีรัชทายาทอาจเป็นโอกาสและทางออกเดียวของเขา ทันทีที่มู่หรงซื่อควานมาหาเขาด้วยตัวเอง เขาก็รับปากอย่างไม่ลังเล“รัช รัชทายาท ข้าน้อยอายุมากแล้ว เหนื่อยแล้วจริง ๆ ไม่อยากร่วมงานนี้แล้ว ขอลา!”ชายผู้หนึ่งที่อายุค่อนข้างมากเลือกถอนตัวในที่สุด ในสภาพแวดล้อมที่ดำมืดและฉ้อฉลเช่นนี้ พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ในช่องแคบ การถูกบีบบังคับยิ่งเป็นเรื่องปกติหากลงชื่อในสัญญาฉบับนี้จะถอยหลังไม่ได้อีก อันตรายเกินไป เขาจึงตัดสินใจถอนตัวอย่างเด็ดขาด“รัชทายาท เ
“ข้ารู้ ถ้าพวกเจ้าเข้าพวกกับข้ายากจะหลีกเลี่ยงการถูกบรรดาผู้มีอิทธิพลสูงศักดิ์เหล่านั้นข่มขู่ ขย่มขวัญ ข้าคำนึงถึงจุดนี้แต่แรกแล้ว และจะจัดผู้คุ้มกันจากยุทธภพให้พวกเจ้าคนละหนึ่งคน คุ้มครองสวัสดิภาพของพวกเจ้าโดยเฉพาะ”“พร้อมกันนั้นจะให้ยอดฝีมือหนึ่งคนคุ้มครองความปลอดภัยของครอบครัวพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพะวงอะไรอีก”ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนพลันซาบซึ้งกรอบตาแดงถึงที่สุด นี่คือครั้งแรก! ความรู้สึกที่ถูกเห็นเป็นคนมันดีแท้! นึกถึงก่อนหน้านี้ถูกคนรังแกเหยียบย่ำเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ความรู้สึกที่ร้องเรียกสวรรค์ สวรรค์ไม่ตอบกลับ เรียกปฐพี ปฐพีไม่ขานรับทุกวี่วันช่างขื่นขมนักให้พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง รัชทายาทเตรียมการทุกอย่างให้พวกเขาแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในชีวิต ยิ่งเป็นขั้วอิทธิพลยุทธภพคุ้มครองทำให้พวกเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างวางใจสวัสดิการนี้ดีเลิศเหลือเกิน รู้สึกเหมือนทุกอย่างคือความฝันอย่างไรอย่างนั้น“รัชทายาทรอบคอบยิ่งนัก เสิ่นวั่นซานยินดีติดตามจนตัวตายขอรับ!”ยามนี้เสิ่นวั่นซานตื้นตันใจที่สุด คุกเข่าลงตรงหน้าฉินอวิ๋นฟานเป็นการแสดงออกถึ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ