ฉินอวิ๋นฟานในยามนี้มุมปากกระตุกหนัก จู่ ๆ เขาก็เอ๋อไปเล็กน้อย แม่สองคนนี่รู้แต่แกล้งไม่รู้หรือว่าไม่รู้จริง ๆ กันแน่? หรือว่าที่เขาพูดเป็นนัย ๆ ยังชัดเจนไม่พออีก? ทำให้พวกนางเข้าใจผิด?“น่าอาย? ไม่น่าอายนี่! วันนี้ท่านสอนได้ยอดเยี่ยมมาก พวกเราเลื่อมใสท่านนัก!”ต้าซวงพูดด้วยใบหน้างงงัน“คือว่า รัชทายาท ท่านยังมีเรื่องอะไรจะสอนอีกหรือไม่? พวกเราพี่น้องล้างหูรอฟัง จับเข่าคุยกันจนถึงรุ่งเช้าก็ไม่มีปัญหา!”แม่นางเสี่ยวซวงเสริมมีดให้อีกหนึ่ง เกือบทำให้ฉินอวิ๋นฟานไฟพิโรธโจมตีหัวใจ กระอักเลือดชราออกมา“เอ่อ ดึกมากแล้ว พวกเจ้าพี่น้องพักผ่อนกันเถอะ อดหลับอดนอนจะไม่ดีต่อสุขภาพ เช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้วนะ!”ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าเปลี่ยนแปลงระยะหนึ่ง แม่เอ๊ยจับเข่าคุยกันทั้งคืน ไม่ต้องเอาชีวิตสุนัขของเขาหรือ? เรื่องที่ผู้ชายสมควรทำไม่ได้ทำสักกระติ๊ด มือยังไม่ได้แตะสักที ได้แต่คุยกันเฉย ๆ ใครไม่ทรมานบ้าง?ฉินอวิ๋นฟานในยามนี้อยากแต่จะไปให้พ้น ๆ อยู่ต่ออีกหนึ่งนาทีล้วนเป็นความทรมานด้านจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง“รัชทายาท ไหนว่าจะจับเข่าคุยกันนาน ๆ อย่างไรเล่า? นี่จะไปแล้วหรือ?”แม่นางต้าซวงทำหน้าอาลัยอาวรณ
อู่จ้านนึกว่าฉินอวิ๋นฟานรังเกียจที่แม่นางทั้งสองมาจากหอคณิกา ดังนั้นหลังจากได้แล้วจึงไม่รับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นองครักษ์คนสนิทและมีฐานะเทียบเท่ากับพ่อบุญธรรม จึงได้แต่ตักเตือนด้วยความหวังดี กลัวว่าฉินอวิ๋นฟานจะพลาดพลั้งไปต้องเสียใจทั้งชาติ“เอ่อ คือว่านะอาจ้าน ตอนนี้ข้าง่วงจัดจริง ๆ เรารีบกลับไปเถอะ เรื่องนี้ท่านก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานจนใจเหลือแสน เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่อยากเอ่ยถึงอีกสักนิด อับอายขายหน้าถึงบ้าน อาจ้านก็เอาแต่ถามไม่หยุด ทำให้เขาเปิดความหุนหันที่คิดจะตายอย่างหนึ่งเพื่อหนีออกจากหอวั่งเจียงให้เร็วที่สุด ฉินอวิ๋นฟานสับเท้าวิ่งออกไปข้างนอก อู่จ้านตามไปด้วยใบหน้าจนใจ“เจ้าหอ พวกเราทำอย่างนี้จะเกินไปหน่อยหรือไม่? ดูเหมือนรัชทายาทจะโกรธใหญ่เลย”แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงเห็นเงาวิ่งจู๊ดของฉินอวิ๋นฟาน รู้สึกสงสารเล็กน้อย“ทำไม? พวกเจ้าพี่น้องสงสารหรือ?”หวงต้าหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย ในวาจาเต็มไปด้วยรสเย็นชืด“พวกเรามิกล้า!”สองดรุณีรีบค้อมตัว ใบหน้าประหวั่นพรั่นพรึง อยู่ต่อหน้าหวงต้าหยวน พวกนางพี่น้องมีท่าทีเคารพนบนอบที่สุด หวงต้าหยวนมองสองนางด้วยสายตาเย็นชาทีห
“ถ้าข้าจำไม่ผิด วิถียุทธ์ของเจ้าอู่จ้านน่าจะอยู่ที่ระดับเก้าสูงสุดกระมัง?”ชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยปากชืด ๆ“อะไรนะ? เจ้า เจ้าถึงกับรู้ฝีมือของข้า?”อู่จ้านใบหน้าตะลึงงัน เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง คนพวกนี้กลับล่วงรู้ฝีมือของเขาดังฝ่ามือ ทั้งยังไม่กลัวเขาอีก คราวนี้ได้ยุ่งแล้วชายชุดดำหัวเราะเสียงเย็น ไม่ยี่หระกับอู่จ้านที่ตกตะลึง หากเอ่ยปากลอย ๆ “พวกเราพี่น้องสิบห้าคนล้วนวิถียุทธ์ระดับเก้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะสู้ได้สักกี่คน?”“วิถียุทธ์ระดับเก้าสิบห้าคน?!”พอได้ยินข่าวนี้ ตอนนี้อู่จ้านสิ้นหวังเหลือประมาณ วิถียุทธ์ระดับเก้าแม้จะเป็นแค่การคลำธรณีประตูของการฝึกวิถียุทธ์ หากมิได้ก้าวข้ามวิถียุทธ์อย่างแท้จริง ฝีมือของทุกคนจึงไม่ต่างกันสักเท่าไรถ้าในยามปกติ เขาสามารถต่อสู้กับห้าคนเพียงลำพัง แต่วันนี้สถานการณ์พิเศษ เขานอกจากจะดื่มสุราไม่น้อย ยังขับเขี้ยวกับสาวของหอวั่งเจียงอีกคำรบ สมรรถภาพทางกายลดลงชัดเจนเผชิญหน้ากับผู้มีฝีมือสูสีกับตนสิบห้าคน อู่จ้านลนลานโดยสิ้นเชิง เขาจะอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าฉินอวิ๋นฟานตาย เช่นนั้นเขาเป็นผีก็ไม่ยอม!“พวกเจ้าจะรักษาเกียรติเองแบบรู้จักมองสถานการณ์ หรือว่า
“เหอะ ควรค่ากับเงินเท่าไร? ชีวิตของเจ้ามันวัดด้วยตัวเงินไม่ได้หรอก คนที่อยากให้เจ้าตายมีถมเถไป ฉะนั้น รัชทายาทก็อย่างดิ้นรนอีกเลย ยิ่งดิ้นรน สภาพก็จะยิ่งอนาถ”ชายชุดดำปฏิเสธคำถามของฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิง นี่มิใช่เรื่องที่ว่าเงินเท่าไร แต่พวกเขาคือคนที่รับคำสั่งมาลอบสังหารรัชทายาท ถ้าภารกิจล้มเหลว ที่ตายก็คือพวกเขา!ฉินอวิ๋นฟานจ้องชายชุดดำที่อยู่ในความมืด พอเดาได้คร่าว ๆ แล้ว ดูท่าคงได้แต่ใช้แผนสำรอง“ปัง!”ก็ขณะที่ชายชุดดำกำลังจะลงมือ ฉินอวิ๋นฟานชิงตัดหน้าก่อน เพียงแค่พริบตาเดียวก็ระเบิดหัวของชายผู้เป็นหัวหน้าแล้ว โบราณว่าไว้ จับโจรต้องจับหัวหน้า ต้องชิงสิทธิ์ในการเริ่มก่อน“อะไรนะ?!”“เขาใช้อาวุธลับหรือ?!”“ลูกพี่ตายแล้ว?!”......ให้ชายชุดดำคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานจะลงมือกะทันหัน แถมยังเด็ดขาดมากด้วย ฆ่าลูกพี่ของพวกเขาในเสี้ยววินาทีในท่วงทำนองอสนีฟาดผ่ามิทันปิดหู เอาทำชายชุดดำข้างหลังสะดุ้งโหยงเป็นแถวอู่จ้านก็ตกใจเหมือนกัน เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานผิดกับสมัยก่อนนานแล้ว ไม่ใช่รัชทายาทผู้โง่งมในอดีตอีก แต่ที่ทำให้เขาเหลือเชื่อคือ ท่าทีของฉินอวิ๋นฟานกลับแน่วแน่เช่นนี้?“
“รอดูการเปลี่ยนแปลงก่อนเถอะ ถ้าไม่ไหวยังไงถึงตอนนั้นข้าค่อยออกโรงจัดการมันเองก็พอ” อู๋อีฝานเอ่ยเสียงเย็น “อยากตายก็เข้ามาได้เลย! รับรองว่าข้าจะยิงกระจุยในหนึ่งวินาที ให้ข้ายอมแพ้รึ? ไม่มีทางเสียหรอก! ถ้าพวกเจ้าไปเสียตอนนี้ยังอาจมีโอกาสรอด!”ฉินอวิ๋นฟานยังคงเผด็จการเหมือนเดิม ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยการข่มขู่ข่มขวัญ เพิ่มความกลัวทางจิตวิทยากับอีกฝ่ายต่อ เขาต้องการให้คนพวกนี้ขวัญกระเจิงแล้วถอยกลับไปแบบรู้สถานการณ์“เอาไงดี?”บรรดาชายชุดดำต่างมองหน้ากัน เผยอารมณ์กระอักกระอ่วน เดินหน้าไปเขาก็คือตาย ไม่เดินหน้าก็เกรงว่าเก้าตายรอดหนึ่ง นี่ทำให้เขาเลือกยาก ครั้นจ้องศพที่อยู่แทบเท้าและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง พวกเขาลนลานโดยสิ้นเชิงแล้วจู่ ๆ กลับมีคนฮึดใจสู้พูดขึ้นมา “ถึงยังไงก็ต้องตาย ถ้าถอยน่ากลัวว่าจะทำให้ครอบครัวเดือดร้อน พวกเรามิสู้ลงมือพร้อมกันเสี่ยงดูสักตั้ง? อย่างไรเสียเราคนหมู่มาก อาวุธลับของเขาร้ายกาจแค่ไหนยังจะสู้การบุกโจมตีของพวกเราทั้งหมดในชั่วขณะได้หรือ?!”พอได้ยินคำพูดนี้ ฉินอวิ๋นฟานหัวใจหล่นตุบ พูดในใจว่าตายแล้ว แผนโจมตีหัวใจล้มเหลว!“ได้!”ทันใดนั้น ชายชุดดำที่เหลืออีกสิบส
“พี่น้องทั้งหลาย เผด็จศึกให้ไว!”ชายชุดดำคนหนึ่งตะเบ็งเสียงจู่ ๆ ชายชุดดำหกคนก็ล้อมอู่จ้านเอาไว้ ทั้งยังลงมือหนักหน่วง แต่ละดาบล้วนโหดเหี้ยมเอาชีวิต ภายใต้การโจมตีอย่างรุนแรงของทั้งหก อู่จ้านรับมือยากเล็กน้อย“รัชทายาท ก่อนเดินทางยังพาพวกเราแปดคนพี่น้องไปด้วย คุ้มค่าแล้ว!”ชายชุดดำคนหนึ่งตีประชิดฉินอวิ๋นฟานอย่างชั่วร้าย ในสายตาของเขา ฉินอวิ๋นฟานในเวลานี้ก็คือแกะที่รอเชือด ไม่มีกำลังต่อต้านใด ๆฉินอวิ๋นฟานแววตาเย็นเฉียบ ปราศจากความครั่นคร้าม แต่กำลังคิดหาทุกทางเพื่อโต้กลับ อู่จ้านถูกล้อมเอาไว้แล้ว ไม่มีเวลาจะสนใจความเป็นความตายของเขา เขาได้แต่พึ่งตัวเอง“บ้าเอ๊ย! ไสหัวไปนะ! ไสหัวไปให้หมด!”เห็นชายชุดดำคนหนึ่งเข้าใกล้ฉินอวิ๋นฟานช้า ๆ อู่จ้านร้อนรนหมื่นส่วน แต่เขากลับถูกทั้งหกล้อมเอาไว้แน่นหนา มิอาจหลุดออกมาได้ เขาโมโหจนแผดเสียงตะคอกอย่างบ้าคลั่ง กลับมิเกิดผลอันใด“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลของการสังหารรัชทายาทคืออะไร?!”ฉินอวิ๋นฟานไต่ถามเสียงหนาว“หึ ผล? ทันทีที่พวกเรารับคำสั่งก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว! หากไม่ใช่เจ้าตายก็คือเราม้วย ไร้หนทางอื่น!”ชายชุดดำรู้ชะตาของตัวเองดี สำเร็จ
หนึ่งดาบลงไป ความเจ็บปวดปอดฉีกหัวใจแหลกลาญส่งมาถึง ทำให้ฉินอวิ๋นฟานส่งเสียงร้องโหยหวนปานหมูถูกเชือด ขณะนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำ ใบหน้าบิดเบี้ยว ทรมานถึงขีดสุด “ฮ่า ๆ ๆ...”ชายชุดดำหัวเราะเสียงดังเหมือนสติฟั่นเฟือน ฉินอวิ๋นฟานยิ่งทรมาน เขาก็ยังอารมณ์ดี จากนั้นก็ใช้ดาบเฉือนบนตัวอีกสองหน ได้ยินฉินอวิ๋นฟานแผดเสียงร้องในแบบที่จวนจะสิ้นหวัง เขากลับคึกคะนองอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบได้“ได้เวลาแล้ว ฆ่ามันด้วยกันเถอะ แล้วเดี๋ยวเราไปรายงานด้วยกัน!”ชายชุดดำอีกคนหนึ่งเอ่ยเตือน“อื่ม!”ชายชุดดำสนุกพอแล้วยกยิ้มตรงมุมปาก เผยรอยยิ้มชั่วร้ายหนึ่ง เขาแทงดาบในมือลงไปหมายจะจบชีวิตของฉินอวิ๋นฟาน แต่ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากที่ไม่ไกล“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันน่ะ? หยุดนะ!”กลุ่มชายชุดดำหยุดการเคลื่อนไหวฉับพลัน ตามด้วยหันไปมองต้นตอของเสียง เห็นเพียงผู้หญิงร่างเตี้ยเสียงเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งพาสาวใช้อีกคนหนึ่งวิ่งเร็วมาหาพวกเขา“เจ้าเป็นใครน่ะ? ขอเตือนเลยนะ ทางที่ดีเจ้าอย่ายุ่งให้มากนัก!”ชายชุดดำเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“เห็นความอยุติธรรมชักดาบช่วยเหลือ เรื่องนี้ข้ายุ่งแน่แล้ว! พว
อีกฝ่ายพิจารณาครู่หนึ่ง “พวกเราแค่ผ่านทางมา ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร และไม่รู้ว่าบ้านของพวกเขาอยู่ที่ไหน ตรงนี้ใกล้กับหอวั่งเจียงมาก ดึกเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็คงเพิ่งออกมาจากที่นั่นนั่นแหละ เจ้ารีบไปแจ้งกับทางหอวั่งเจียงเถอะ”“เจ้าค่ะ!”เฉี่ยวเอ๋อร์วิ่งเร็วไปทางหอวั่งเจียงอย่างไม่ลังเลในความมืด อู๋อีฝานและลิ่งหูชงเห็นเรื่องราวทั้งหมดอู๋อีฝานเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เพราะนางผู้นี้เข้ามาแส่กะทันหัน ตอนนี้ฉินอวิ๋นฟานก็คงกลายเป็นคนตายคนหนึ่งแล้ว ข้าว่านางฝีมือไม่เบา หรือให้ข้าออกโรงจัดการพวกนางซะ?”“เจ้าฆ่านางได้ในการโจมตีเดียวรึ?” ลิ่งหูชงหันไปถาม“ข้ายังไม่รู้ระดับฝีมือของนางที่แน่ชัด แต่ด้วยที่นางแสดงออกมาเมื่อครู่ น่าจะถึงตายในคราเดียวไม่ได้” อู๋อีฝานส่ายหน้าพูด“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คือการลอบสังหารล้มเหลว พวกเรากลับกันเถอะ!”ลิ่งหูชงใบหน้าจนปัญญา หมุนตัวและจากไป“เอ่อ ท่านลิ่งหู ฉินอวิ๋นฟานจะตายอยู่รอมร่อ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป วันหน้าเกรงว่าจะหาโอกาสเหมาะ ๆ ยากแล้วนะ”อู๋อีฝานรีบตามไปติด ๆ แต่ยังไม่ตายใจ เพราะภารกิจลอบสังหารครั้งนี้สำคัญกับองค์ชายรองอย่างยิ่งยวด ตอนนี้ใกล้จะสำ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ