ครั้นได้รับการรับรองจากมู่หรงโหลว ฉินอวิ๋นฟานก็ฉายรอยยิ้มพอใจ ผู้มีใจอันบริสุทธิ์จะทำงานใหญ่ไม่ได้ได้อย่างไร?“ดีมาก! มีพวกเจ้าอยู่ ยังจะกลัวงานใหญ่ไม่สำเร็จอีกรึ?”ฉินอวิ๋นฟานยกยิ้มตรงมุมปากและพูด “หลัวเหิง เจ้ารับผิดชอบทุกเรื่องในค่ายทานหลางเป็นหลัก ข้าจะให้เงินเจ้ายี่สิบล้านตำลึง ต้องสร้างค่ายทานหลางให้เป็นกองทัพเหล็กให้ได้ ระหว่างการเร่งพัฒนา ความภักดีและคุณภาพก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน”“หา? ยี่สิบล้าน?!”หลัวเหิงสองตาเบิกโพลงเดี๋ยวนั้น เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากทีก็ยี่สิบล้านแล้ว ถ้าทุ่มเงินทั้งหมดกับการพัฒนาค่ายทานหลาง จะต้องทำให้ค่ายทานหลางเลื่อนขึ้นอีกระดับชั้นแน่“เจ้ามีแค่ภารกิจเดียว นั่นก็คือทำทุกวิถีทางเสริมสร้างค่ายทานหลางให้ใหญ่โตและแข็งแกร่ง ยี่สิบล้านนับเป็นอะไร เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ใช้ยิ่งเยอะยิ่งดี มีให้ไม่อั้น!” ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก“ได้! ข้าน้อยจะพัฒนาค่ายทานหลางอย่างเต็มกำลังแน่นอนขอรับ!” หลัวเหิงพูดด้วยความฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบมิได้“หลิวเป้ย ข้าจะให้เงินห้าสิบล้านตำลึงกับเมืองจังที่เจ้ารับผิดชอบ พวกเจ้าใช้กันให้เต็มที่ เงิน
ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งเดินออกจากค่ายทานหลาง ต้าซวงและเสี่ยวซวงก็รีบมาคำนับตรงหน้าฉินอวิ๋นฟานทันที ค้อมตัวลงในท่าทางของสาวใช้คนหนึ่ง คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากสองพี่น้องคงมีอยู่แค่หยิบมือ“แหมพวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว แถมยังเป็นศิษย์อาจารย์กันอีก ทำไมต้องยึดติดกับพิธีรีตองอย่างนี้ด้วยนะ?”ครั้งนี้ต้าซวงและเสี่ยวซวงสวมชุดกระโปรงยาวคอต่ำผ้าบางสีขาวสะอาดปานหิมะ และยังถึงกับโปร่งแสงราง ๆ ด้วย แสดงเค้าโครงสรีระเว้านูนงดงามของพวกนางออกมาจนหมด กอปรกับดวงหน้าแห่งยุค ฉินอวิ๋นฟานเห็นแล้วพาลให้ลำคอแห้งผาก ร้อนรุ่มไปทั้งตัวฉินอวิ๋นฟานรีบเดินไปจับมือของสองดรุณี ลูบนางเบา ๆ เมื่อสัมผัสใกล้ชิดกันก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปะทะมาทันที ทำให้ฉินอวิ๋นฟานดุจคนโง่งม ดั่งเมาสุราเดี๋ยวนั้น สองมือเนียนละเอียดประดุจหยกขาวยิ่งมีความรู้สึก ทำเอาฉินอวิ๋นฟานลืมทุกสิ่งชั่วขณะ“อย่างไรข้าน้อยก็เป็นหญิงชาวบ้านจากหอคณิกา อยู่ต่อหน้ารัชทายาทย่อมต้องรู้ความแตกต่างสูงต่ำเจ้าค่ะ”ต้าซวงยิ้มสวยพลางพูด“ไม่เป็นไร คนกันเองทั้งนั้น”ฉินอวิ๋นฟานรีบกระชับระยะห่างระหว่างกัน ถึงขนาดลืมว่ามู่หรงจิ่นยังอยู่ข้างหลังเขาสองมือใหญ่ของเข
“เอ่อ...”เสี่ยวซวงดวงหน้าชะงักไป ลำคอพลันแดงซ่าน!“ยินดีกับรัชทายาทด้วยเจ้าค่ะ เจ้าหอเราจัดงานเลี้ยงฉลองให้ท่านแล้ว เชิญตามเราพี่น้องไปหอวั่งเจียงเถอะเจ้าค่ะ!” แม่นางต้าซวงเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากพูด “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ได้!”หลังจากหยอกแม่นางเสี่ยวซวงเสร็จ ฉินอวิ๋นฟานก็อารมณ์ดีมาก ภายใต้การนำของสองดรุณี ไม่นานก็มาถึงหอวั่งเจียง ม่านรัตติกาลคืบคลานมาถึง ริมน้ำจุดไฟสว่างไสว ผู้คนพลุกพล่านครึกครื้นที่สุดครั้นมองไปยังแม่น้ำ หอใหญ่อลังการปรากฏอยู่ในคลองจักษุ ตั้งอยู่ตรงกลางโดดเดี่ยว มีเอกลักษณ์โดดเด่น ที่มีบรรยากาศรื่นเริงบันเทิงใจคือหอวั่งเจียงนั่นเอง“หอวั่งเจียงของพวกเจ้าทำงานไวจริง ๆ สร้างสะพานลอยเชื่อมต่อกับหอวั่งเจียงเสร็จแล้ว” เห็นสะพานสัญจรตรงหน้า ฉินอวิ๋นฟานอดสะท้อนใจไม่ได้ เงินทำได้ทุกอย่างจริง ๆ เพราะการสร้างสะพานยากกว่าการสร้างอาคารมากเทียบกันแล้วเรือในสมัยโบราณค่อนข้างล้าหลัง และไม่ชำนาญศึกทางน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกัน การสร้างแพลอยน้ำยังถือว่าง่ายกว่า แต่สะพานลอยที่ไม่ส่งผลกับเรือสัญจรกลับยาก“ขอเพียงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง พวกเราหอวั่งเจียงมักทำงานเร็วเสมอ อีกอย่าง การออกแบบข
แม่นางต้าซวงกับแม่นางเสี่ยวซวงเป็นคนดังของหอวั่งเจียง เทียบกับหญิงอื่น พวกนางย่อมอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า สายตาที่มองคนทะลุปรุโปร่งกว่าเป็นธรรมดา เพราะพวกนางเคยเห็นคนร่ำรวยมีฐานะมานักต่อนัก คนที่อยากหลับนอนกับพวกนางยิ่งมีมาไม่ขาดสายสามารถครองความบริสุทธิ์ได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกนางมีความสามารถและวิธีการเหนือคน แต่บรรดาเฒ่าหัวงูกลับละเลยประเด็นสำคัญของปัญหานี้ นั่นคืออย่างไรพวกนางก็เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มพูดถึงเงินทอง พวกนางเป็นหนึ่งในคนดังของหอวั่งเจียง มิได้ขาดเงิน และยังอาจมีมากกว่าขุนนางผู้สูงศักดิ์พวกนั้นด้วย การใช้เงินทองหลอกล่อต่อหน้าพวกนาง นั่นมิใช่พฤติกรรมตามแบบฉบับของตัวตลกหรือ?ถ้าพูดถึงฐานะและอิทธิพล หอวั่งเจียงลึกลับและมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้พวกนางจะเป็นแค่นางคณิกาชาวบ้านคนหนึ่ง แต่รอบรู้ตัวตนของเหล่าขุนนางคนใหญ่คนโตต่าง ๆ กระทั่งควบคุมพวกเขาเล่นสนุกได้ทั้งวัน ตัวตนเช่นนี้หรือจะดึงความสนใจของพวกนางพี่น้องได้?ดังนั้นฉินอวิ๋นฟานมั่นใจในกลยุทธ์จีบสาวของตัวเอง ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์สำคัญในยุคสมัยนี้มาก หัวใจสาวน้อยอ่อนไหวนั้น ด้วยการเห
พฤติการณ์เผด็จการของฉินอวิ๋นฟานทำให้แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้างทันที ที่นี่คือหอวั่งเจียงนะ คนที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่สูงส่งมั่งมี ใครที่ไหนจะกล้าสอดมือยุ่งไปเรื่อย?ในหอวั่งเจียงมักเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่ประจำ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้แล้วใช้วิธีการรุนแรงแก้ไข เช่นนั้นหอวั่งเจียงก็ไม่ต้องทำการค้าแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายเพียงหนึ่งเดียว“โอ๊ย...”หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นก็ดึงคนเข้ามามุงล้อมทันที ทุกคนอยากรู้ว่าใครกันไม่รู้จักมองตาม้าตาเรือ กล้าก่อเรื่องที่หอวั่งเจียงท่ามกลางสายตาของทุกคน เจ้าหมูตอนถูกเหยียบหน้าแรง ๆ โกรธจัดควันออกหูฉับพลัน เขาพยายามบิดร่างกายอย่างบ้าคลั่ง แต่เนื่องจากน้ำหนักตัวมากเกินไป ร่างกายอืดอาด ทั้งถูกคนเหยียบหน้าแรง จึงมิอาจหลุดพ้นเขาตะคอก “เจ้ามารดามันรู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร? กล้าลบหลู่ข้าอย่างนี้?! รีบเอาเท้าเหม็น ๆ ของเจ้าออกไปเลยนะ! ไม่อย่างนั้นต้องให้เจ้าไม่ตายดีแน่!”“อ้อ? ปากดีไม่เบานี่ มา ๆ ๆ ไหนลองว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใคร?”เห็นเจ้าหมูตอนเดือดจัด ทั้งพูดจาข่มขู่ เมื่อนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงนั่งยองลงอย่างรู้สึกสนุก ถาม
......ทันทีที่ทุกคนได้ยินชื่อถงจินเฉิงสามคำก็แตกตื่นทันที นั่นคือนักวรรณกรรมใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังเชียวนะ แม้จะไม่เลื่องชื่อเป็นวงกว้าง แต่ในหมู่ผู้สูงศักดิ์กลับรู้จักคนผู้นี้เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงเท่านั้นพอได้ยินเสียงตกตะลึงของคนรอบข้างตลอดจนการชื่นชมไม่หยุด ถงจินเฉิงจึงทำหยิ่งกว่าเดิม เหยียดมุมปากเล็กน้อย สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูก“จอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียนถงจินเฉิง? ไม่เคยได้ยินแฮะ”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ พูดแบบไม่ยี่หระ“เอ่อ...”คำว่า ‘ไม่เคยได้ยิน’ ของฉินอวิ๋นฟานทำเอาถงจินเฉิงสำลักเกือบตาย เขานึกว่าพอฉินอวิ๋นฟานได้ยินนามยิ่งใหญ่ของเขาแล้วจะต้องก้มหัวค้อมเอว คุกเข่าวิงวอนร้องขออภัยทันที ไม่นึกว่าเจ้านี่กลับไม่รู้จักเขา?เขาพูดอย่างอัดอั้นตันใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ “หึ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นกบในกะลาหูตาคับแคบ ไม่คู่ควรรู้จักข้าซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมเหนือขั้นเช่นข้าหรอก ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนเช่นเจ้าเข้าหอวั่งเจียงมาได้ยังไง!”ยามนี้ ความรู้สึกเหนือกว่าของถงจินเฉิงเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที ละเลยสายตาประดุจคมมีดของฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิง“เอ๋ เจ้านี่คงไม่ได้ป
“ในเมื่อรู้นามยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว ยังไม่รีบขอโทษแม่นางเขาอีก? หรือว่าต้องให้ข้าตบเจ้าจนกว่าจะขอโทษ?” ฉินอวิ๋นฟานไม่ไว้หน้าถงจินเฉิงสักนิด กับคนที่ดวงตาอยู่ปลายฟ้านึกว่าตัวเองเก่งด้านวรรณกรรมหนักหนาและทำตัวสูงไปทั่วแล้ว เขาไม่มีภาพจำดีอะไรทั้งนั้นไม่ว่ามันจะเป็นใคร แค่ยื่นกีบหมูเค็ม[1]ออกไปให้ฉินอวิ๋นฟานเห็น การซ้อมยกหนึ่งคือมารยาทตอบกลับขั้นพื้นฐาน เหิมเกริมโอหังวางก้าม ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็ตัดมือของมันเสีย แต่แน่นอนว่าไม่นับรวมเขา เพราะการแต๊ะอั๋งมันเร้าใจมาก“ขอโทษ?”ถงจินเฉิงหรี่ดวงตาทั้งสอง “ข้าเป็นถึงจอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียน ความสามารถล้นหลาม ชื่อเสียงดังกระฉ่อนทั่วเก้าอาณาจักร จะก้มหัวขอโทษคนชั้นต่ำรึ? ต่อให้ข้ากล้าขอโทษ แต่นางกล้าจะรับหรือไม่?!”ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟานที่แข็งกร้าวอย่างยิ่งยวด ท่าทีของถงจินเฉิงเปลี่ยนเป็นแข็งขึ้นมา ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนของต้าเยียน ย่อมมีความรู้สึกอยู่เหนือกว่ามากกว่าคนทั่วไปและต้าเยียนก็เป็นผู้นำในเก้าแคว้นใหญ่ นี่คือกำลังเด็ดขาดที่เห็นอยู่ชัด ๆ เป็นความมั่นใจและต้นทุนของเขาซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ต้าเยียน
แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงดูอย่างงุนงงอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเข้าใจที่พวกนางมีต่อฉินอวิ๋นฟาน เขาไม่น่าเป็นคนมุทะลุนี่ คนที่ห่วงใยผู้ประสบเคราะห์เช่นนี้จะรังแกผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?“เหอะ ๆ ฉินอวิ๋นฟาน นี่เจ้าหมายความว่ายังไง? จะใช้กำลังแทรกแซงหรือ?”ถงจินเฉิงหัวเราะอย่างเย็นชา ในดวงตาเต็มไปด้วยการถากถาง ในสายตาของเขา พฤติกรรมของฉินอวิ๋นฟานก็คือสู้ไม่ได้ ขายหน้าแล้วก็เลยระบายไฟโกรธกับคนอื่น “ใช้กำลังแทรกแซง?”ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาทั้งสองและพูด “เจ้าคิดว่านางกลัวเจ้าจริงหรือ?”“อ้อ? หรือไม่ใช่?” ถงจินเฉิงแบมือออก“นางแค่กลัวความเจิดจ้าบนตัวชั้นของเจ้าเฉย ๆ ถ้าไม่มีความเจิดจ้าชั้นนั้นกับฐานะของเจ้า เจ้ายังเทียบขยะไม่ได้เลย”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงเย็น “นางเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งจะไปมีฐานะภูมิหลังอะไรได้? ถูกเจ้าลวนลามสารพัด เอาเปรียบสารเพยังไม่กล้าล่วงเกินสักกิ่งก้อย แถมยังจะก้มหัวขอโทษเจ้าอีก เจ้านึกว่าตัวเองคู่ควรจริงรึ?”“ด้วยสารรูปอ้วนอย่างกับหมูเช่นเจ้า ถ้าไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด ใครจะไปอยากปรนนิบัติเจ้า? ตอนออกบ้านไม่ได้ฉี่มาส่องเงาหัวรึ? ใครเห็นก็อยากอ้วกทั
“...”‘ไม่ว่าจะเป็นใคร คนผู้นั้นก็รู้อยู่แก่ใจดี’ ประโยคเดียวของฉินอวิ๋นฟานทำให้ถังเจิ้นไห่สยบ แม่งเอ๊ย เขาก็ต้องรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว หากเขามีความจำเป็นพูดออกมาไม่ได้!การเล่นเกมเลี่ยงบาลีของฉินอวิ๋นฟานทำให้แนวป้องกันของถังเจิ้นไห่พังทลายลงโดยสิ้นเชิง เหล่าขุนนางต่างกัดฟันกรอด กลับทำอะไรไม่ได้ ฉินอวิ๋นฟานเฉกเช่นปลาหนีชิวลื่นไหลตัวหนึ่ง ทำอะไรเขาไม่ได้เลย!จางเต้าหลินที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงกับการกระทำนี้ของฉินอวิ๋นฟาน เขาเคยเห็นคนหน้าด้าน กลับไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าหนาไร้ยางอายเช่นฉินอวิ๋นฟานมาก่อน หน้าไม่อายที่สุด!คนคนหนึ่งปั่นหัวเหล่าขุนนางใหญ่เป็นว่าเล่น โมโหโทโสจนร่ำไห้หาพ่อร้องหาแม่ กลับจนปัญญา ดูสีหน้าเขียวปัดของถังเจิ้นไห่ จางเต้าหลินกลั้นหัวเราะอย่างหนัก กลั้นจนภายในจะบอบช้ำแล้ว“เอาละ ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย พอแค่นี้เถอะ!”ไท่ซั่งหวงเห็นว่าพอประมาณแล้ว จึงตัดสินเรื่องนี้ในที่สุด ได้แต่บอกว่าฟานเอ๋อร์ใช้ไหวพริบและผลลัพธ์ก็คือว่าเป็นที่น่าพอใจ“จางไท่เว่ย ในเมื่อมีสามตัวเลือก และทุกคนก็แสดงจุดยืนของตัวเองแล้ว ท่านมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร?”ไท่ซั่งหวงไม่ได้ยอมรับคว
ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากเดี๋ยวนั้น “ข้าแค่บอกว่า ‘สัจธรรมมักอยู่ในมือของคนส่วนน้อย ของไร้ประโยชน์กองหนึ่งสนับสนุนมีประโยชน์อันใด?’ ข้าระบุหรือยังว่าหมายถึงใคร?”“หือ? รัชทายาท นี่ท่านหมายความว่ายังไง?”เห็นท่าทางฉินอวิ๋นฟานกำลังจะแก้ต่างให้ตัวเอง ถังเจิ้นไห่หน้าดำทะมึน เขาพูดขึ้นมาทันทีว่า“แน่นอนว่าหมายความตามนั้น ยังจะมีความหมายอะไรอีก?”ฉินอวิ๋นฟานแบมือออก “ข้ารำคาญของไร้ประโยชน์จำนวนหนึ่งมากจริง ๆ นี่คือการแสดงออกและการระบายของข้าตามปกติ มีปัญหาอะไรหรือ? ที่ข้าพูดมาได้ชี้ไปที่ใครแล้วหรือยัง?”คำอธิบายที่มาอย่างกะทันหันของฉินอวิ๋นฟานทำให้ทุกคนในที่นั้นงงงวยไปเลย จริงอยู่ที่เมื่อครู่ฉินอวิ๋นฟานพูดว่าของไร้ประโยชน์จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใครนี่“ไม่ถูก รัชทายาท เมื่อครู่ท่านไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้นี่!”ยามนี้สมองน้อย ๆ ของถังเจิ้นไห่ถูกฉินอวิ๋นฟานทำให้ฝ่อแล้ว ฉินอวิ๋นฟานมิใช่ทำเรื่องจริงให้บิดเบี้ยว เถียงข้าง ๆ คู่ ๆ หรือ? เล่นเกมเลี่ยงบาลีต่อหน้าทุกคนเลย?“เช่นนั้นขอถามแม่ทัพผู้เฒ่าถัง ข้าหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานย้อนถาม ทำให้ถังเจิ้นไห่อึ้งอยู่กับที่ หมายความว่าอย
“รัชทายาท ท่านก็เห็นแล้ว”ถังเจิ้นไห่มองไปทางฉินอวิ๋นฟานด้วยความกระหยิ่มแล้วเอ่ยต่อ “เวลานี้ทุกคนต่างสนับสนุนพ่อลูกตระกูลเจี่ยง ไม่มีใครสนับสนุนหวังอันสือสักคน ท่านยังจะโต้แย้งอีกหรือไม่?”กับความโอหังของถังเจิ้นไห่ ฉินอวิ๋นฟานหน้าดำทะมึนจนแทบหยดเป็นน้ำ ทว่าฉินอวิ๋นฟานมิใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ“เหอะ แล้วจะยังไง? สัจธรรมมักอยู่ในมือของคนส่วนน้อย ของไร้ประโยชน์กองหนึ่งสนับสนุนมีประโยชน์อันใด? ได้แต่พิสูจน์ให้เห็นถึงความคับแคบและเบาปัญญาของพวกเขาเท่านั้น!”ฉินอวิ๋นฟานเยาะเย้ยด้วยใบหน้าดูถูก ยิ่งพวกเขาทำเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งรำคาญ และยิ่งตอกย้ำการตัดสินใจที่จะสลายพวกเขาด้วยที่ต้าเฉียนอยู่อันดับรั้งท้ายเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะการเพิกเฉยและความฉ้อฉลของหนอนเจาะพวกนี้ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ในปัจจุบัน พวกเขาเห็นดีเห็นงามไม่ได้หมายถึงฉินอวิ๋นฟานจะยอมแพ้“บังอาจ!!!”“น่ารังเกียจ!!!”“รัชทายาทจะทำเกินไปแล้วกระมัง พวกเราแค่แสดงความเห็นของพวกเราเท่านั้น กลับถูกรัชทายาทลบหลู่ด่าทอว่าเป็นของไร้ประโยชน์? ไม่เคารพผู้อื่นเอาเสียเลย!”“ไท่ซั่งหวงโปรดให้ความเป็นธรรมแก่พวกเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในฐ
ดังนั้นหลังจากได้เมืองอู่โจวกลับคืนมา ชื่อเสียงและเสียงเรียกร้องที่มีต่อฉินอวิ๋นฟานในต้าเฉียนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หากพวกเขายังกบดานต่อไป เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นไร้ความหมาย“อ้อ? แม่ทัพผู้เฒ่าถัง ท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจมากกับการที่จู่ ๆ ถังเจิ้นไห่ก็ก้าวออกมา หากฉินอวิ๋นฮุยกับฉินอวิ๋นคังออกมาแย้งเขา เขาจะไม่แปลกใจสักนิด แต่การออกหน้าของถังเจิ้นไห่ทำให้เขาจำต้องระวัง“รัชทายาทก็บอกมิใช่หรือ ในฐานะที่ข้าคือขุนนางของต้าเฉียน พวกเราสมควรทำงานเพื่อบ้านเมือง”ถังเจิ้นไห่กล่าวสีหน้าเคร่งขรึม “ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าหวังอันสือไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงต้องเลือกผู้ที่มีความสามารถเหนือคน มีชาติตระกูลดีสืบทอดมาดำรงตำแหน่งจะเหมาะสมกว่า”“อื่ม ที่ใต้เท้าถังว่ามาก็ใช่จะไม่มีเหตุผล”ไท่ซั่งหวงพยักหน้า เอ่ยปากด้วยสีหน้าสงบ “ไม่ทราบว่าใต้เท้าถังมีคนที่เหมาะสมกว่าหรือไม่?”ถังเจิ้นไห่ตอบหนักแน่น “ทูลไท่ซั่งหวง กระหม่อมคิดว่าบุตรชายเจี่ยงหย่งกังจากสำนักราชเลขา เจี่ยงฝานฝานเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ ตระกูลเจี่ยงไม่เพียงแ
“เด็กบางคนคือเด็ก เด็กบางคนเกิดมาก็คือปีศาจ ข้าฆ่าปีศาจมีอะไรผิด?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าพี่รองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ตรวจสอบให้ละเอียดได้ หากข้าไม่มีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ท่านก็ต้องทนเอาไว้ อย่างไรนี่ก็คือลักษณะการทำงานของข้าฉินอวิ๋นฟาน”“สำหรับทำไมถึงฆ่าคนเยอะอย่างนั้น ข้าได้แต่บอกท่านว่าพวกเขาล้วนสมควรตาย พร้อมกันนั้น ข้ากำลังเตือนทุกคน มีบางเรื่องทำได้ มีบ้างเรื่องทำไม่ได้ ถ้าใครกล้าล้ำเส้น ข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะเอาชีวิตมันผู้นั้นเหมือนกัน!”“และถ้าจะให้ข้ามอบเหตุผลให้ได้ละก็ เช่นนั้นข้าได้แต่พูดว่าเพราะข้าคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน มีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ คือผู้ดำรงกฎหมายต้าเฉียน ข้ามีอำนาจและมีหน้าที่พิทักษ์บ้านเมืองของต้าเฉียน ชาวบ้านคือรากฐานของเรา มิใช่คนที่พวกท่านจะข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจ!”ซี้ด...ฉินอวิ๋นฟานกล่าววาจาเผด็จการ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างสูดลมเย็นเข้าปาก แม้ในใจพวกเขาจะมีความแค้นมากมายเพียงใด หากเวลานี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้เพราะฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงแต่มีอำนาจประหารอันเป็นอำนาจสูงสุด ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้ใดกล้าคั
“เจ้า...!”ฉินอวิ๋นฮุยมาถึงก็พูดแทงใจดำของเขา ทำให้ฉินอวิ๋นฮุยเลือดขึ้นหน้า กลับไร้กำลังโต้ตอบ นาทีนี้เขาแทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้น“นี่คือท้องพระโรง คือสถานที่หารือเรื่องสำคัญของบ้านเมือง มิใช่สถานที่ให้พวกท่านมาอวดเก่ง แต่ละคนกัดข้าไม่ปล่อยกับแค่เรื่องที่ข้ามาสายครึ่งชั่วยาม? พวกท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีแข็งกระด้าง “มีความสามารถก็ทำการทำงานให้มากหน่อย มิใช่ใช้เล่ห์กลอุบาย อวดเก่งแต่ขี้เกียจ ถ้าไม่มีความสามารถก็ลาออกไปเสีย ปลดเกษียณกลับบ้านเกิด อย่าครองส้วมแล้วไม่ขี้ คนที่อยากแทนที่ตำแหน่งพวกเจ้ามีถมเถไป!”เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันเบิกตาโต ทีแรกนึกว่าจะหาเรื่องฉินอวิ๋นฟาน ไม่นึกว่าเพิ่งเริ่มก็แพ้ย่อยยับแล้ว ในทางกลับกัน ยังถูกฉินอวิ๋นฟานเหยียดหยามอย่างหนักอีก ทำเอาทุกคนตัวชาไปทั้งคนหลังจากองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังรู้เรื่องตระกูลเริ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังผวาไม่หาย อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก จากนั้นจึงเลือกเก็บตัวเงียบ ๆ ทันที ดังนั้นขณะฉินอวิ๋นฟานถูกทุกคนเปิดฉากสงครามน้ำลาย เขาจึงเลือกเงียบงัน“ดี ในเมื่อน้องเจ็ดพูดถึงขั้นนี้แล้ว เช่น
ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงหลีกเลี่ยงการหาเรื่องของอู๋ต้าไห่ มิหนำซ้ำยังเลือกเผชิญหน้าอย่างแข็งกร้าว คราวนี้ทำเอาทุกคนไปต่อไม่เป็นแล้วเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ทำผิดแล้วยังอวดเก่งเช่นนี้อีก? โอหังขนาดนี้เชียว? ก็คงจะมีแต่เจ้าฉินอวิ๋นฟานนี่แหละ!“แค่ยึดอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ มาได้ก็ทำให้รัชทายาทลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้เลยหรือ?”อู๋ต้าไห่เห็นฉินอวิ๋นฟานเหิมเกริมเช่นนี้จึงโต้กลับด้วยโทสะทันที “แม่ทัพใหญ่ทุกท่านของต้าเฉียนต่างสร้างผลงานการศึกให้ราชวงศ์ต้าเฉียนมากมาย ยังไม่เคยเห็นใจวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นนี้มาก่อน รัชทายาทจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก เหน็บแนมกลับทันที “แม่ทัพคนอื่น ๆ สร้างผลงานการศึกเพื่อต้าเฉียน ข้ายังพอเข้าใจได้ แต่ข้าขอถามหน่อย เกี่ยวอันใดกับเจ้าอู๋ต้าไห่ด้วย?”“ท่าน ท่านเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องสร้างผลงานกับท่านอยู่ ท่านกลับไร้เหตุผลกัดไม่ปล่อย?”อู๋ต้าไห่ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานตอกหน้าจนหน้าเขียวปัด แต่ในฐานะที่เขาเป็นรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย คือยอดฝีมือในการใช้ภาษาแก้ต่าง ชำนิชำน
ถูกฉินอวิ๋นฟานเอาใจเช่นนี้ สามดรุณีหน้าแดงระเรื่อด้วยความสุข ฉินอวิ๋นฟานประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงชาดของพวกนางสามพี่น้องแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียง......“ไม่มีระเบียบ ไม่มีระเบียบ!”“ก็นั่นนะสิ! ประชุมขุนนางเริ่มมาครึ่งชั่วยามแล้ว รัชทายาทกลับยังไม่ถึง? ไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตาเลย ช่างไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตา!”“สร้างผลงานเข้าหน่อยก็เมินระเบียบของราชสำนักแล้วหรือ? ก็ทำตามอำเภอใจได้แล้วหรือ? บังอาจยิ่งนัก!”......ในท้องพระโรง เหล่าขุนนางเริ่มเปิดฉากด่าทอต่าง ๆ นานาต่อพฤติกรรมมาสายของฉินอวิ๋นฟานด้วยไฟโกรธเต็มทรวงและถ้อยคำแข็งกร้าว เดิมพวกเขาก็ไม่มีภาพจำดีอะไรต่อฉินอวิ๋นฟานอยู่แล้ว กอปรกับการกระทำของฉินอวิ๋นฟานเมื่อวาน ชัดเจนว่ากำลังท้าทายบรรดาผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมื่อเช้ามาฉินอวิ๋นฟานก็เปิดช่องโหว่ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา ต่อให้การมาสายมิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ก็จะไม่ละเว้นฉินอวิ๋นฟานเด็ดขาดบนบัลลังก์มังกร ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วหันไปกล่าวกับเฉาเจิ้งฉุน “ส่งคนไปตามฟานเอ๋อร์แล้วหรือ?”“ทูลไท่ซั่งหวง ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนกระซิบ “แต่ดูเหมื
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว