พฤติการณ์เผด็จการของฉินอวิ๋นฟานทำให้แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้างทันที ที่นี่คือหอวั่งเจียงนะ คนที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่สูงส่งมั่งมี ใครที่ไหนจะกล้าสอดมือยุ่งไปเรื่อย?ในหอวั่งเจียงมักเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่ประจำ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้แล้วใช้วิธีการรุนแรงแก้ไข เช่นนั้นหอวั่งเจียงก็ไม่ต้องทำการค้าแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายเพียงหนึ่งเดียว“โอ๊ย...”หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นก็ดึงคนเข้ามามุงล้อมทันที ทุกคนอยากรู้ว่าใครกันไม่รู้จักมองตาม้าตาเรือ กล้าก่อเรื่องที่หอวั่งเจียงท่ามกลางสายตาของทุกคน เจ้าหมูตอนถูกเหยียบหน้าแรง ๆ โกรธจัดควันออกหูฉับพลัน เขาพยายามบิดร่างกายอย่างบ้าคลั่ง แต่เนื่องจากน้ำหนักตัวมากเกินไป ร่างกายอืดอาด ทั้งถูกคนเหยียบหน้าแรง จึงมิอาจหลุดพ้นเขาตะคอก “เจ้ามารดามันรู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร? กล้าลบหลู่ข้าอย่างนี้?! รีบเอาเท้าเหม็น ๆ ของเจ้าออกไปเลยนะ! ไม่อย่างนั้นต้องให้เจ้าไม่ตายดีแน่!”“อ้อ? ปากดีไม่เบานี่ มา ๆ ๆ ไหนลองว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใคร?”เห็นเจ้าหมูตอนเดือดจัด ทั้งพูดจาข่มขู่ เมื่อนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงนั่งยองลงอย่างรู้สึกสนุก ถาม
......ทันทีที่ทุกคนได้ยินชื่อถงจินเฉิงสามคำก็แตกตื่นทันที นั่นคือนักวรรณกรรมใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังเชียวนะ แม้จะไม่เลื่องชื่อเป็นวงกว้าง แต่ในหมู่ผู้สูงศักดิ์กลับรู้จักคนผู้นี้เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงเท่านั้นพอได้ยินเสียงตกตะลึงของคนรอบข้างตลอดจนการชื่นชมไม่หยุด ถงจินเฉิงจึงทำหยิ่งกว่าเดิม เหยียดมุมปากเล็กน้อย สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูก“จอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียนถงจินเฉิง? ไม่เคยได้ยินแฮะ”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ พูดแบบไม่ยี่หระ“เอ่อ...”คำว่า ‘ไม่เคยได้ยิน’ ของฉินอวิ๋นฟานทำเอาถงจินเฉิงสำลักเกือบตาย เขานึกว่าพอฉินอวิ๋นฟานได้ยินนามยิ่งใหญ่ของเขาแล้วจะต้องก้มหัวค้อมเอว คุกเข่าวิงวอนร้องขออภัยทันที ไม่นึกว่าเจ้านี่กลับไม่รู้จักเขา?เขาพูดอย่างอัดอั้นตันใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ “หึ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นกบในกะลาหูตาคับแคบ ไม่คู่ควรรู้จักข้าซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมเหนือขั้นเช่นข้าหรอก ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนเช่นเจ้าเข้าหอวั่งเจียงมาได้ยังไง!”ยามนี้ ความรู้สึกเหนือกว่าของถงจินเฉิงเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที ละเลยสายตาประดุจคมมีดของฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิง“เอ๋ เจ้านี่คงไม่ได้ป
“ในเมื่อรู้นามยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว ยังไม่รีบขอโทษแม่นางเขาอีก? หรือว่าต้องให้ข้าตบเจ้าจนกว่าจะขอโทษ?” ฉินอวิ๋นฟานไม่ไว้หน้าถงจินเฉิงสักนิด กับคนที่ดวงตาอยู่ปลายฟ้านึกว่าตัวเองเก่งด้านวรรณกรรมหนักหนาและทำตัวสูงไปทั่วแล้ว เขาไม่มีภาพจำดีอะไรทั้งนั้นไม่ว่ามันจะเป็นใคร แค่ยื่นกีบหมูเค็ม[1]ออกไปให้ฉินอวิ๋นฟานเห็น การซ้อมยกหนึ่งคือมารยาทตอบกลับขั้นพื้นฐาน เหิมเกริมโอหังวางก้าม ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็ตัดมือของมันเสีย แต่แน่นอนว่าไม่นับรวมเขา เพราะการแต๊ะอั๋งมันเร้าใจมาก“ขอโทษ?”ถงจินเฉิงหรี่ดวงตาทั้งสอง “ข้าเป็นถึงจอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียน ความสามารถล้นหลาม ชื่อเสียงดังกระฉ่อนทั่วเก้าอาณาจักร จะก้มหัวขอโทษคนชั้นต่ำรึ? ต่อให้ข้ากล้าขอโทษ แต่นางกล้าจะรับหรือไม่?!”ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟานที่แข็งกร้าวอย่างยิ่งยวด ท่าทีของถงจินเฉิงเปลี่ยนเป็นแข็งขึ้นมา ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนของต้าเยียน ย่อมมีความรู้สึกอยู่เหนือกว่ามากกว่าคนทั่วไปและต้าเยียนก็เป็นผู้นำในเก้าแคว้นใหญ่ นี่คือกำลังเด็ดขาดที่เห็นอยู่ชัด ๆ เป็นความมั่นใจและต้นทุนของเขาซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ต้าเยียน
แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงดูอย่างงุนงงอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเข้าใจที่พวกนางมีต่อฉินอวิ๋นฟาน เขาไม่น่าเป็นคนมุทะลุนี่ คนที่ห่วงใยผู้ประสบเคราะห์เช่นนี้จะรังแกผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?“เหอะ ๆ ฉินอวิ๋นฟาน นี่เจ้าหมายความว่ายังไง? จะใช้กำลังแทรกแซงหรือ?”ถงจินเฉิงหัวเราะอย่างเย็นชา ในดวงตาเต็มไปด้วยการถากถาง ในสายตาของเขา พฤติกรรมของฉินอวิ๋นฟานก็คือสู้ไม่ได้ ขายหน้าแล้วก็เลยระบายไฟโกรธกับคนอื่น “ใช้กำลังแทรกแซง?”ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาทั้งสองและพูด “เจ้าคิดว่านางกลัวเจ้าจริงหรือ?”“อ้อ? หรือไม่ใช่?” ถงจินเฉิงแบมือออก“นางแค่กลัวความเจิดจ้าบนตัวชั้นของเจ้าเฉย ๆ ถ้าไม่มีความเจิดจ้าชั้นนั้นกับฐานะของเจ้า เจ้ายังเทียบขยะไม่ได้เลย”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงเย็น “นางเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งจะไปมีฐานะภูมิหลังอะไรได้? ถูกเจ้าลวนลามสารพัด เอาเปรียบสารเพยังไม่กล้าล่วงเกินสักกิ่งก้อย แถมยังจะก้มหัวขอโทษเจ้าอีก เจ้านึกว่าตัวเองคู่ควรจริงรึ?”“ด้วยสารรูปอ้วนอย่างกับหมูเช่นเจ้า ถ้าไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด ใครจะไปอยากปรนนิบัติเจ้า? ตอนออกบ้านไม่ได้ฉี่มาส่องเงาหัวรึ? ใครเห็นก็อยากอ้วกทั
เห็นฉินอวิ๋นฟานซ้อมถงจินเฉิงอย่าบ้าคลั่ง คนโดยรอบต่างมองกันตาค้างไปเลย ต้าเยียนคือเจ้าแห่งเก้าแคว้น ยามพวกเขาเจอขุนนางใหญ่ต้าเยียน จิตใต้สำนึกจะรู้สึกครั่นคร้ามอย่างไม่มีเหตุผลคิดไม่ถึงว่าฉินอวิ๋นฟานกลับไม่หวั่นเกรง ใช้ถาดอาหาร กาสุรา หมูหันรวมไปถึงเก้าอี้อะไรต่าง ๆ ทุ่มไปทางถงจินเฉิง อัดจนถงจินเฉิงค้นหาฟันทั่วพื้น สะบักสะบอมที่สุด โอดครวญร่ำร้องอย่างหนัก“ฉินอวิ๋นฟาน เจ้ามารดามันกล้าซ้อมข้า? เจ้าคอยดูนะ แค้นนี้ข้าต้องชำระให้ได้!”ถูกฉินอวิ๋นฟานซ้อมอย่างหนักอีกครั้ง ถงจินเฉิงแค้นขั้นสุด ถ้าซ้อมโดยไม่รู้ตัวตนของเขาก็ช่างเถอะ แต่เขาประกาศตัวตนและฐานะของตัวเองออกไปแล้ว กลับยังถูกฉินอวิ๋นฟานหยามเหยียดอัดน่วมเช่นนี้ จะให้เขาอดกลั้นแค้นนี้ได้อย่างไร?!“แก้แค้น? เจ้ากำลังรังแกคนอื่นอยู่ชัด ๆ เจ้าเอาหน้าที่ไหนกล้าพูดว่าแก้แค้น? ที่นี่คือต้าเฉียน ไม่ใช่ต้าเยียนของเจ้า! ใครมอบความกล้าให้เจ้าโอหังกำแหงในถิ่นของข้า?!”ฉินอวิ๋นฟานซ้อมคนไปพลาง ปากก็ด่าทอด้วยโทสะไปพลาง “วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าอย่างจริงจัง อยู่ในแผ่นดินต้าเฉียน เป็นเสือเจ้าก็ต้องหมอบให้ข้า เป็นมังกรเจ้าก็ต้องเก็บหางให้ข้า ต
ฉินอวิ๋นฟานไต่ถามอย่างไม่สบอารมณ์“มีจุดประสงค์อะไร?”ถงจินเฉิงสะดุ้งในใจ นี่ฉินอวิ๋นฟานหมายความว่ายังไง? คงไม่คิดว่าเขาเป็นขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม จะจับกุมเขาด้วยเหตุผลที่มาลอบสืบความลับของแคว้นอื่นหรอกนะ? ถ้าเป็นแบบนี้ จะใส่ความกันมากเกินไปแล้วเขารีบพูด “ได้ยินว่ารัชทายาทแห่งต้าเฉียนมีภูมิปัญญาและมีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมอย่างยิ่ง ต้าเยียนของข้ากว้างใหญ่ไพศาลทรัพยากรมากมี ผู้มีความสามารถเนืองแน่น เช่นนี้แล้วยังยอมได้หรือ? ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อเทศกาลโคมไฟในอีกสามวันให้หลัง!”“เทศกาลโคมไฟ?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วแล้วหันไปมองอู่จ้านที่อยู่ด้านข้าง“เขาพูดถูก ต้าเฉียนซึ่งก่อตั้งบ้านเมืองด้วยหลักแห่งขงจื๊อจะจัดงานเทศกาลโคมไฟทุกปี บรรดาชายหนุ่มหญิงสวยจะรวมตัวกันที่งานเทศกาลโคมไฟอันยิ่งใหญ่ รำดาบร่ายทวน ประชันโคลงกลอน ชื่นชมบุปผา เดินเที่ยวสวน คึกคักที่สุด”อู่จ้านอธิบายอยู่ด้านข้าง “การที่ถงจินเฉิงมาต้าเฉียนครั้งนี้ คงเพราะอยากใช้โอกาสนี้ประลองกับเจ้า ถ้าชนะจะเป็นโอกาสดีในการสร้างชื่อเสียง สมัยก่อนเหลียงคังจวิ้นก็ได้ที่หนึ่งในงานนี้เหมือนกัน ชนะเป็นที่หนึ่ง ชื่อเสียงเกริกก้องนับจากนั้น
ครั้นฉินอวิ๋นฟานกล่าวจบ บรรดาหญิงสาวในหอวั่งเจียงก็มองมาด้วยสายตานับถือ หอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงแสดงศิลปะและจะเป็นเพื่อนกิน เพื่อนดื่ม เพื่อนเล่น เรียกกันโดยทั่วไปว่าสามเพื่อน ส่วนมากแล้วจะไม่ขายเรือนร่างแต่ผู้ชายที่มาที่นี่กลับเป็นพวกตัณหาจัดเสียส่วนใหญ่ มักชอบทำมือปลาหมึก ทำให้พวกนางลำบากใจแต่มิอาจปริปาก เพื่อความอยู่รอดกลับจำต้องยอมทน ฉินอวิ๋นฟานสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พวกนางได้ ทำให้พวกนางตื้นตันใจทันทีแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงก็ไม่ต่าง สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง การให้เกียรติและอยู่กับความเป็นจริงในแต่เดิม จนถึงเต็มไปด้วยความเร่าร้อนในปัจจุบัน นั่นคือความรู้สึกของหัวใจเต้นพวกนางพี่น้องคือคนดังของหอวั่งเจียง แต่อย่างไรพวกนางก็คือนางคณิกา การที่หอวั่งเจียงบ่มเพาะพวกนางก็เพื่อผลประโยชน์ของหอวั่งเจียง พันธนาการแห่งโชคชะตาไม่ต่างจากหญิงเหล่านี้ที่เป็นเพื่อนดื่ม การปกป้องศักดิ์ศรีและการวิจารณ์ของฉินอวิ๋นฟานทำให้พวกนางพี่น้องปลาบปลื้มเป็นเท่าตัว“รัชทายาทสั่งสอนถูกต้องแล้ว ต้าหยวนต้องแก้ไขแน่นอน!”หวงต้าหยวนอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครามอ่อนซึ่งขับเน้นสรีระนูนเว้
ที่หอวั่งเจียงการค้าดีเทน้ำเทท่าอย่างนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะอู่เหลียงเย่ของฉินอวิ๋นฟาน เมื่อมีกรรมสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอู่เหลียงเย่แต่เพียงผู้เดียว หอวั่งเจียงของพวกนางก็เรียกได้ว่ามีกำไรเป็นกอบเป็นกำ“อื่ม!”ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้า เค้นรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยนี่คือการประท้วงหวงต้าหยวนแบบไร้เสียง การปฏิบัติระดับสูงสุด การแสดงสุดล้ำของหอวั่งเจียงที่ว่าล่ะ? ในฐานะที่เป็นนางรำ ใส่เสื้อผ้าหนาเตอะอย่างนั้นมันใช่การแสดงที่ไหน!หวงต้าหยวนยิ้มอย่างรับรู้ นางหรือจะมองความคิดของฉินอวิ๋นฟานไม่ออก? ก็ผู้ชายนี่นะ มาที่นี่ก็เพื่อผ่อนคลายกับระบายความใคร่ด้วยกันทั้งนั้นมิใช่หรือ? การแสดงเช่นนี้ไม่เพียงพอดึงดูดใจจริง ๆ นั่นแหละแต่...นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!หลังจากพวกนางร่ายรำตามลำดับ จู่ ๆ หัวหน้านางรำก็ใช้มือสวย ๆ ปลดกระดุมตรงคอออก ไม่รอให้ฉินอวิ๋นฟานตอบสนอง นางก็ปลดกระดุมเม็ดบนสุดออกแล้วจากนั้นนางก็เคลื่อนมือลงไปห้าเซนติเมตรต่อ วางนิ้วมือหยกไว้ตรงกระดุมเม็ดที่สองจากด้านล่าง ด้วยการเคลื่อนไหวของนาง นางรำคนอื่น ๆ ต่างเลียนแบบทีละหนึ่ง ฉินอวิ๋นฟานที่อยู่ในภาวะเบื่อหน่ายเต็มทนในแต่เดิม ตกตะลึงตาค
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ