......ทันทีที่ทุกคนได้ยินชื่อถงจินเฉิงสามคำก็แตกตื่นทันที นั่นคือนักวรรณกรรมใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังเชียวนะ แม้จะไม่เลื่องชื่อเป็นวงกว้าง แต่ในหมู่ผู้สูงศักดิ์กลับรู้จักคนผู้นี้เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงเท่านั้นพอได้ยินเสียงตกตะลึงของคนรอบข้างตลอดจนการชื่นชมไม่หยุด ถงจินเฉิงจึงทำหยิ่งกว่าเดิม เหยียดมุมปากเล็กน้อย สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูก“จอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียนถงจินเฉิง? ไม่เคยได้ยินแฮะ”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ พูดแบบไม่ยี่หระ“เอ่อ...”คำว่า ‘ไม่เคยได้ยิน’ ของฉินอวิ๋นฟานทำเอาถงจินเฉิงสำลักเกือบตาย เขานึกว่าพอฉินอวิ๋นฟานได้ยินนามยิ่งใหญ่ของเขาแล้วจะต้องก้มหัวค้อมเอว คุกเข่าวิงวอนร้องขออภัยทันที ไม่นึกว่าเจ้านี่กลับไม่รู้จักเขา?เขาพูดอย่างอัดอั้นตันใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ “หึ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นกบในกะลาหูตาคับแคบ ไม่คู่ควรรู้จักข้าซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมเหนือขั้นเช่นข้าหรอก ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนเช่นเจ้าเข้าหอวั่งเจียงมาได้ยังไง!”ยามนี้ ความรู้สึกเหนือกว่าของถงจินเฉิงเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที ละเลยสายตาประดุจคมมีดของฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิง“เอ๋ เจ้านี่คงไม่ได้ป
“ในเมื่อรู้นามยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว ยังไม่รีบขอโทษแม่นางเขาอีก? หรือว่าต้องให้ข้าตบเจ้าจนกว่าจะขอโทษ?” ฉินอวิ๋นฟานไม่ไว้หน้าถงจินเฉิงสักนิด กับคนที่ดวงตาอยู่ปลายฟ้านึกว่าตัวเองเก่งด้านวรรณกรรมหนักหนาและทำตัวสูงไปทั่วแล้ว เขาไม่มีภาพจำดีอะไรทั้งนั้นไม่ว่ามันจะเป็นใคร แค่ยื่นกีบหมูเค็ม[1]ออกไปให้ฉินอวิ๋นฟานเห็น การซ้อมยกหนึ่งคือมารยาทตอบกลับขั้นพื้นฐาน เหิมเกริมโอหังวางก้าม ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็ตัดมือของมันเสีย แต่แน่นอนว่าไม่นับรวมเขา เพราะการแต๊ะอั๋งมันเร้าใจมาก“ขอโทษ?”ถงจินเฉิงหรี่ดวงตาทั้งสอง “ข้าเป็นถึงจอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียน ความสามารถล้นหลาม ชื่อเสียงดังกระฉ่อนทั่วเก้าอาณาจักร จะก้มหัวขอโทษคนชั้นต่ำรึ? ต่อให้ข้ากล้าขอโทษ แต่นางกล้าจะรับหรือไม่?!”ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟานที่แข็งกร้าวอย่างยิ่งยวด ท่าทีของถงจินเฉิงเปลี่ยนเป็นแข็งขึ้นมา ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนของต้าเยียน ย่อมมีความรู้สึกอยู่เหนือกว่ามากกว่าคนทั่วไปและต้าเยียนก็เป็นผู้นำในเก้าแคว้นใหญ่ นี่คือกำลังเด็ดขาดที่เห็นอยู่ชัด ๆ เป็นความมั่นใจและต้นทุนของเขาซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ต้าเยียน
แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงดูอย่างงุนงงอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเข้าใจที่พวกนางมีต่อฉินอวิ๋นฟาน เขาไม่น่าเป็นคนมุทะลุนี่ คนที่ห่วงใยผู้ประสบเคราะห์เช่นนี้จะรังแกผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?“เหอะ ๆ ฉินอวิ๋นฟาน นี่เจ้าหมายความว่ายังไง? จะใช้กำลังแทรกแซงหรือ?”ถงจินเฉิงหัวเราะอย่างเย็นชา ในดวงตาเต็มไปด้วยการถากถาง ในสายตาของเขา พฤติกรรมของฉินอวิ๋นฟานก็คือสู้ไม่ได้ ขายหน้าแล้วก็เลยระบายไฟโกรธกับคนอื่น “ใช้กำลังแทรกแซง?”ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาทั้งสองและพูด “เจ้าคิดว่านางกลัวเจ้าจริงหรือ?”“อ้อ? หรือไม่ใช่?” ถงจินเฉิงแบมือออก“นางแค่กลัวความเจิดจ้าบนตัวชั้นของเจ้าเฉย ๆ ถ้าไม่มีความเจิดจ้าชั้นนั้นกับฐานะของเจ้า เจ้ายังเทียบขยะไม่ได้เลย”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงเย็น “นางเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งจะไปมีฐานะภูมิหลังอะไรได้? ถูกเจ้าลวนลามสารพัด เอาเปรียบสารเพยังไม่กล้าล่วงเกินสักกิ่งก้อย แถมยังจะก้มหัวขอโทษเจ้าอีก เจ้านึกว่าตัวเองคู่ควรจริงรึ?”“ด้วยสารรูปอ้วนอย่างกับหมูเช่นเจ้า ถ้าไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด ใครจะไปอยากปรนนิบัติเจ้า? ตอนออกบ้านไม่ได้ฉี่มาส่องเงาหัวรึ? ใครเห็นก็อยากอ้วกทั
เห็นฉินอวิ๋นฟานซ้อมถงจินเฉิงอย่าบ้าคลั่ง คนโดยรอบต่างมองกันตาค้างไปเลย ต้าเยียนคือเจ้าแห่งเก้าแคว้น ยามพวกเขาเจอขุนนางใหญ่ต้าเยียน จิตใต้สำนึกจะรู้สึกครั่นคร้ามอย่างไม่มีเหตุผลคิดไม่ถึงว่าฉินอวิ๋นฟานกลับไม่หวั่นเกรง ใช้ถาดอาหาร กาสุรา หมูหันรวมไปถึงเก้าอี้อะไรต่าง ๆ ทุ่มไปทางถงจินเฉิง อัดจนถงจินเฉิงค้นหาฟันทั่วพื้น สะบักสะบอมที่สุด โอดครวญร่ำร้องอย่างหนัก“ฉินอวิ๋นฟาน เจ้ามารดามันกล้าซ้อมข้า? เจ้าคอยดูนะ แค้นนี้ข้าต้องชำระให้ได้!”ถูกฉินอวิ๋นฟานซ้อมอย่างหนักอีกครั้ง ถงจินเฉิงแค้นขั้นสุด ถ้าซ้อมโดยไม่รู้ตัวตนของเขาก็ช่างเถอะ แต่เขาประกาศตัวตนและฐานะของตัวเองออกไปแล้ว กลับยังถูกฉินอวิ๋นฟานหยามเหยียดอัดน่วมเช่นนี้ จะให้เขาอดกลั้นแค้นนี้ได้อย่างไร?!“แก้แค้น? เจ้ากำลังรังแกคนอื่นอยู่ชัด ๆ เจ้าเอาหน้าที่ไหนกล้าพูดว่าแก้แค้น? ที่นี่คือต้าเฉียน ไม่ใช่ต้าเยียนของเจ้า! ใครมอบความกล้าให้เจ้าโอหังกำแหงในถิ่นของข้า?!”ฉินอวิ๋นฟานซ้อมคนไปพลาง ปากก็ด่าทอด้วยโทสะไปพลาง “วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าอย่างจริงจัง อยู่ในแผ่นดินต้าเฉียน เป็นเสือเจ้าก็ต้องหมอบให้ข้า เป็นมังกรเจ้าก็ต้องเก็บหางให้ข้า ต
ฉินอวิ๋นฟานไต่ถามอย่างไม่สบอารมณ์“มีจุดประสงค์อะไร?”ถงจินเฉิงสะดุ้งในใจ นี่ฉินอวิ๋นฟานหมายความว่ายังไง? คงไม่คิดว่าเขาเป็นขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม จะจับกุมเขาด้วยเหตุผลที่มาลอบสืบความลับของแคว้นอื่นหรอกนะ? ถ้าเป็นแบบนี้ จะใส่ความกันมากเกินไปแล้วเขารีบพูด “ได้ยินว่ารัชทายาทแห่งต้าเฉียนมีภูมิปัญญาและมีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมอย่างยิ่ง ต้าเยียนของข้ากว้างใหญ่ไพศาลทรัพยากรมากมี ผู้มีความสามารถเนืองแน่น เช่นนี้แล้วยังยอมได้หรือ? ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อเทศกาลโคมไฟในอีกสามวันให้หลัง!”“เทศกาลโคมไฟ?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วแล้วหันไปมองอู่จ้านที่อยู่ด้านข้าง“เขาพูดถูก ต้าเฉียนซึ่งก่อตั้งบ้านเมืองด้วยหลักแห่งขงจื๊อจะจัดงานเทศกาลโคมไฟทุกปี บรรดาชายหนุ่มหญิงสวยจะรวมตัวกันที่งานเทศกาลโคมไฟอันยิ่งใหญ่ รำดาบร่ายทวน ประชันโคลงกลอน ชื่นชมบุปผา เดินเที่ยวสวน คึกคักที่สุด”อู่จ้านอธิบายอยู่ด้านข้าง “การที่ถงจินเฉิงมาต้าเฉียนครั้งนี้ คงเพราะอยากใช้โอกาสนี้ประลองกับเจ้า ถ้าชนะจะเป็นโอกาสดีในการสร้างชื่อเสียง สมัยก่อนเหลียงคังจวิ้นก็ได้ที่หนึ่งในงานนี้เหมือนกัน ชนะเป็นที่หนึ่ง ชื่อเสียงเกริกก้องนับจากนั้น
ครั้นฉินอวิ๋นฟานกล่าวจบ บรรดาหญิงสาวในหอวั่งเจียงก็มองมาด้วยสายตานับถือ หอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงแสดงศิลปะและจะเป็นเพื่อนกิน เพื่อนดื่ม เพื่อนเล่น เรียกกันโดยทั่วไปว่าสามเพื่อน ส่วนมากแล้วจะไม่ขายเรือนร่างแต่ผู้ชายที่มาที่นี่กลับเป็นพวกตัณหาจัดเสียส่วนใหญ่ มักชอบทำมือปลาหมึก ทำให้พวกนางลำบากใจแต่มิอาจปริปาก เพื่อความอยู่รอดกลับจำต้องยอมทน ฉินอวิ๋นฟานสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พวกนางได้ ทำให้พวกนางตื้นตันใจทันทีแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงก็ไม่ต่าง สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง การให้เกียรติและอยู่กับความเป็นจริงในแต่เดิม จนถึงเต็มไปด้วยความเร่าร้อนในปัจจุบัน นั่นคือความรู้สึกของหัวใจเต้นพวกนางพี่น้องคือคนดังของหอวั่งเจียง แต่อย่างไรพวกนางก็คือนางคณิกา การที่หอวั่งเจียงบ่มเพาะพวกนางก็เพื่อผลประโยชน์ของหอวั่งเจียง พันธนาการแห่งโชคชะตาไม่ต่างจากหญิงเหล่านี้ที่เป็นเพื่อนดื่ม การปกป้องศักดิ์ศรีและการวิจารณ์ของฉินอวิ๋นฟานทำให้พวกนางพี่น้องปลาบปลื้มเป็นเท่าตัว“รัชทายาทสั่งสอนถูกต้องแล้ว ต้าหยวนต้องแก้ไขแน่นอน!”หวงต้าหยวนอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีครามอ่อนซึ่งขับเน้นสรีระนูนเว้
ที่หอวั่งเจียงการค้าดีเทน้ำเทท่าอย่างนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะอู่เหลียงเย่ของฉินอวิ๋นฟาน เมื่อมีกรรมสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอู่เหลียงเย่แต่เพียงผู้เดียว หอวั่งเจียงของพวกนางก็เรียกได้ว่ามีกำไรเป็นกอบเป็นกำ“อื่ม!”ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้า เค้นรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยนี่คือการประท้วงหวงต้าหยวนแบบไร้เสียง การปฏิบัติระดับสูงสุด การแสดงสุดล้ำของหอวั่งเจียงที่ว่าล่ะ? ในฐานะที่เป็นนางรำ ใส่เสื้อผ้าหนาเตอะอย่างนั้นมันใช่การแสดงที่ไหน!หวงต้าหยวนยิ้มอย่างรับรู้ นางหรือจะมองความคิดของฉินอวิ๋นฟานไม่ออก? ก็ผู้ชายนี่นะ มาที่นี่ก็เพื่อผ่อนคลายกับระบายความใคร่ด้วยกันทั้งนั้นมิใช่หรือ? การแสดงเช่นนี้ไม่เพียงพอดึงดูดใจจริง ๆ นั่นแหละแต่...นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!หลังจากพวกนางร่ายรำตามลำดับ จู่ ๆ หัวหน้านางรำก็ใช้มือสวย ๆ ปลดกระดุมตรงคอออก ไม่รอให้ฉินอวิ๋นฟานตอบสนอง นางก็ปลดกระดุมเม็ดบนสุดออกแล้วจากนั้นนางก็เคลื่อนมือลงไปห้าเซนติเมตรต่อ วางนิ้วมือหยกไว้ตรงกระดุมเม็ดที่สองจากด้านล่าง ด้วยการเคลื่อนไหวของนาง นางรำคนอื่น ๆ ต่างเลียนแบบทีละหนึ่ง ฉินอวิ๋นฟานที่อยู่ในภาวะเบื่อหน่ายเต็มทนในแต่เดิม ตกตะลึงตาค
“แค่ก ๆ รัชทายาท ข้อเรียกร้องนี้ของท่านจะมากเกินไปหน่อยหรือไม่? อย่างไรพวกเราหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงก็ขายศิลปะไม่ขายตัว ถ้าถอดอีกก็คงไม่ต่างอะไรกับหอโคมเขียวแล้ว”หวงต้าหยวนได้แต่อธิบายด้วยความจนปัญญา“ถ้าที่นี่เหมือนกับพวกหอโคมเขียวข้าก็ไม่มาแล้ว ข้ายังแยกแยะการขายเนื้อหนังกับขายศิลปะได้ดีอยู่น่า ก็สัดส่วนของศิลปะมันมีสูงมาก เติมเต็มจิตใจคนได้ สง่างามไม่ธรรมดา ไม่เหมือนหอโคมเขียวที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายนังแมวยั่วสวาท”ฉินอวิ๋นฟานชมเชยพลางวิจารณ์ “แต่ถ้าจุดไฟให้ศิลปะสง่างามได้บ้าง จะมิยิ่งเข้าถึงมากกว่าหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานยังไม่ตายใจ คืบคลานทีละน้อย ความต้องการสืบเสาะสมควรตายนั่น ทำให้เขาคาดหวังกับการปอกหัวหอมมากขึ้น“รัชทายาทไม่เหมือนคนอื่นจริงแท้ ความคิดบัดสีบัดเถลิงเช่นนี้ยังสามารถกล่าวออกมาได้ใสซื่อบริสุทธิ์ กลับทำให้ข้ารู้สึกว่าที่ท่านกล่าวมาเหมือนจะมีเหตุผลมาก”หวงต้าหยวนเกือบถูกการอธิบายของฉินอวิ๋นฟานชักนำความคิดแล้ว นางในเวลานี้อึดอัดใจยิ่งนัก ด้วยความเข้าใจในตัวอีกฝ่าย เขาคือคนที่ต่างจากคนอื่นมากและมีปัญญาสูงส่งยิ่งแม้ฉินอวิ๋นฟานจะตัณหาจัด กลับเป็นคนที่ให้เกียรติสตรีเ