“ทำไม? เจ้าไม่เชื่อ?”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะเล็กน้อย ความมั่นใจล้นออกมาจากใบหน้าดังเดิม เขาที่รอบรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ สามารถโจมตีแบบลดมิติได้โดยสมบูรณ์ ต้าเยียนจะกร่างอย่างไร หรือจะเก่งไปกว่าเทคโนโลยีขั้นสูง?สำหรับฉินอวิ๋นฟาน การครองโลกขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เขาในเวลานี้ต้องการเวลาสะสมขุมกำลังของตัวเอง ปืนย่อมมีพลังการทำลายล้างสูง แต่มันคือมีดสองคม ทันทีที่ตกอยู่ในมือของพวกองค์ชายรอง มันจะเป็นอันตรายต่อเขาอย่างยิ่งยวดโดยมิต้องสงสัยดังนั้นในตอนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ เขาต้องระมัดระวังรอบคอบอย่าให้เกิดความผิดพลาดจึงจะดี“ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ต้าเยียนแข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ อันดับหนึ่งของเก้าราชวงศ์ โลกในยามนี้มีแต่ต้าเยียนจะรุกรานคนอื่น แคว้นอื่นหรือจะกล้าส่งทหารไปต้าเยียน?”หลิวเป้ยส่ายหน้าพูดอย่างจนปัญญาเมืองจัวติดกับแคว้นเหมียวและต้าเยียน หลิวเป้ยรู้กำลังของต้าเยียนดี สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันของต้าเฉียน สามารถรักษาเมืองจัวไว้ได้ก็โชคดีมากแล้ว การชิงห้าเมืองคืนแทบจะเป็นคนบ้าฝันละเมอ“อ้อ? ดูท่าเจ้าจะรู้เรื่องต้าเยียนดีมากนะ ไหนลองว่ามาสิ”หลิวเป้ยมีปฏิกิริยาหนักขนาดนี้จึงดึง
หลิวเป้ยเอ่ย “ทันทีที่พวกเขาบุกห้าเมืองจะต้องจุดไฟพิโรธของต้าเยียนแน่ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะมีข้าอ้างส่งทหารมาเมืองจัวเรา กำลังของสองแคว้นต่างกันมาก เกรงว่าพวกเราจะต้านทานราชสีห์นับล้านของต้าเยียนไม่ไหว”หลังจากการวิเคราะห์ของหลิวเป้ย ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้าเห็นด้วย มิน่าอยู่ต่อหน้าค่ายหู่เปิน องค์ชายใหญ่ถึงไม่มีกำลังต่อต้านใด ๆ ไม่เพียงเพราะความต่างในด้านฝีมือ ที่มากกว่าคือความครั่นคร้ามจากขั้วหัวใจนึกถึงคำพูดนั้นของฮั่วเจิ้นหลงในตอนประลองด้านบู๊ ฉินอวิ๋นฟานกลับเริ่มเข้าใจแล้ว กับการล่มสลายของแคว้น เสียเมืองหนึ่งนับเป็นอะไร?สำหรับพวกเขาซึ่งสูงศักดิ์มีอำนาจอยู่ในมือเหล่านี้ อำนาจในมือคือที่หนึ่งเสมอ ถ้าเมืองหนึ่งสามารถแลกความสงบสุขและอภิสิทธิ์พิเศษหลายปีของพวกเขาได้ พวกเขาจะเลือกประนีประนอมอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยกับพวกที่พูดจาดีว่ายอมถอยเพราะหวังดีต่ออาณาประชาราษฎ์ เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองพรรค์นี้ ความจริงแล้วก็คือรักตัวกลัวตาย เป็นโจรขายชาติตามแบบฉบับ หน้าไม่อาย กระดูกอ่อน[1] ไม่ซื่อตรงปราศจากคุณธรรม“อื่ม ข้ารู้แล้ว เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอ ถึงเวลาข้าย่อมมีแผน สำหรับห้าเมือง ข้าจะเอ
ครั้นได้รับการรับรองจากมู่หรงโหลว ฉินอวิ๋นฟานก็ฉายรอยยิ้มพอใจ ผู้มีใจอันบริสุทธิ์จะทำงานใหญ่ไม่ได้ได้อย่างไร?“ดีมาก! มีพวกเจ้าอยู่ ยังจะกลัวงานใหญ่ไม่สำเร็จอีกรึ?”ฉินอวิ๋นฟานยกยิ้มตรงมุมปากและพูด “หลัวเหิง เจ้ารับผิดชอบทุกเรื่องในค่ายทานหลางเป็นหลัก ข้าจะให้เงินเจ้ายี่สิบล้านตำลึง ต้องสร้างค่ายทานหลางให้เป็นกองทัพเหล็กให้ได้ ระหว่างการเร่งพัฒนา ความภักดีและคุณภาพก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน”“หา? ยี่สิบล้าน?!”หลัวเหิงสองตาเบิกโพลงเดี๋ยวนั้น เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากทีก็ยี่สิบล้านแล้ว ถ้าทุ่มเงินทั้งหมดกับการพัฒนาค่ายทานหลาง จะต้องทำให้ค่ายทานหลางเลื่อนขึ้นอีกระดับชั้นแน่“เจ้ามีแค่ภารกิจเดียว นั่นก็คือทำทุกวิถีทางเสริมสร้างค่ายทานหลางให้ใหญ่โตและแข็งแกร่ง ยี่สิบล้านนับเป็นอะไร เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ใช้ยิ่งเยอะยิ่งดี มีให้ไม่อั้น!” ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก“ได้! ข้าน้อยจะพัฒนาค่ายทานหลางอย่างเต็มกำลังแน่นอนขอรับ!” หลัวเหิงพูดด้วยความฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบมิได้“หลิวเป้ย ข้าจะให้เงินห้าสิบล้านตำลึงกับเมืองจังที่เจ้ารับผิดชอบ พวกเจ้าใช้กันให้เต็มที่ เงิน
ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งเดินออกจากค่ายทานหลาง ต้าซวงและเสี่ยวซวงก็รีบมาคำนับตรงหน้าฉินอวิ๋นฟานทันที ค้อมตัวลงในท่าทางของสาวใช้คนหนึ่ง คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากสองพี่น้องคงมีอยู่แค่หยิบมือ“แหมพวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว แถมยังเป็นศิษย์อาจารย์กันอีก ทำไมต้องยึดติดกับพิธีรีตองอย่างนี้ด้วยนะ?”ครั้งนี้ต้าซวงและเสี่ยวซวงสวมชุดกระโปรงยาวคอต่ำผ้าบางสีขาวสะอาดปานหิมะ และยังถึงกับโปร่งแสงราง ๆ ด้วย แสดงเค้าโครงสรีระเว้านูนงดงามของพวกนางออกมาจนหมด กอปรกับดวงหน้าแห่งยุค ฉินอวิ๋นฟานเห็นแล้วพาลให้ลำคอแห้งผาก ร้อนรุ่มไปทั้งตัวฉินอวิ๋นฟานรีบเดินไปจับมือของสองดรุณี ลูบนางเบา ๆ เมื่อสัมผัสใกล้ชิดกันก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปะทะมาทันที ทำให้ฉินอวิ๋นฟานดุจคนโง่งม ดั่งเมาสุราเดี๋ยวนั้น สองมือเนียนละเอียดประดุจหยกขาวยิ่งมีความรู้สึก ทำเอาฉินอวิ๋นฟานลืมทุกสิ่งชั่วขณะ“อย่างไรข้าน้อยก็เป็นหญิงชาวบ้านจากหอคณิกา อยู่ต่อหน้ารัชทายาทย่อมต้องรู้ความแตกต่างสูงต่ำเจ้าค่ะ”ต้าซวงยิ้มสวยพลางพูด“ไม่เป็นไร คนกันเองทั้งนั้น”ฉินอวิ๋นฟานรีบกระชับระยะห่างระหว่างกัน ถึงขนาดลืมว่ามู่หรงจิ่นยังอยู่ข้างหลังเขาสองมือใหญ่ของเข
“เอ่อ...”เสี่ยวซวงดวงหน้าชะงักไป ลำคอพลันแดงซ่าน!“ยินดีกับรัชทายาทด้วยเจ้าค่ะ เจ้าหอเราจัดงานเลี้ยงฉลองให้ท่านแล้ว เชิญตามเราพี่น้องไปหอวั่งเจียงเถอะเจ้าค่ะ!” แม่นางต้าซวงเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากพูด “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ได้!”หลังจากหยอกแม่นางเสี่ยวซวงเสร็จ ฉินอวิ๋นฟานก็อารมณ์ดีมาก ภายใต้การนำของสองดรุณี ไม่นานก็มาถึงหอวั่งเจียง ม่านรัตติกาลคืบคลานมาถึง ริมน้ำจุดไฟสว่างไสว ผู้คนพลุกพล่านครึกครื้นที่สุดครั้นมองไปยังแม่น้ำ หอใหญ่อลังการปรากฏอยู่ในคลองจักษุ ตั้งอยู่ตรงกลางโดดเดี่ยว มีเอกลักษณ์โดดเด่น ที่มีบรรยากาศรื่นเริงบันเทิงใจคือหอวั่งเจียงนั่นเอง“หอวั่งเจียงของพวกเจ้าทำงานไวจริง ๆ สร้างสะพานลอยเชื่อมต่อกับหอวั่งเจียงเสร็จแล้ว” เห็นสะพานสัญจรตรงหน้า ฉินอวิ๋นฟานอดสะท้อนใจไม่ได้ เงินทำได้ทุกอย่างจริง ๆ เพราะการสร้างสะพานยากกว่าการสร้างอาคารมากเทียบกันแล้วเรือในสมัยโบราณค่อนข้างล้าหลัง และไม่ชำนาญศึกทางน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกัน การสร้างแพลอยน้ำยังถือว่าง่ายกว่า แต่สะพานลอยที่ไม่ส่งผลกับเรือสัญจรกลับยาก“ขอเพียงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง พวกเราหอวั่งเจียงมักทำงานเร็วเสมอ อีกอย่าง การออกแบบข
แม่นางต้าซวงกับแม่นางเสี่ยวซวงเป็นคนดังของหอวั่งเจียง เทียบกับหญิงอื่น พวกนางย่อมอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า สายตาที่มองคนทะลุปรุโปร่งกว่าเป็นธรรมดา เพราะพวกนางเคยเห็นคนร่ำรวยมีฐานะมานักต่อนัก คนที่อยากหลับนอนกับพวกนางยิ่งมีมาไม่ขาดสายสามารถครองความบริสุทธิ์ได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกนางมีความสามารถและวิธีการเหนือคน แต่บรรดาเฒ่าหัวงูกลับละเลยประเด็นสำคัญของปัญหานี้ นั่นคืออย่างไรพวกนางก็เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มพูดถึงเงินทอง พวกนางเป็นหนึ่งในคนดังของหอวั่งเจียง มิได้ขาดเงิน และยังอาจมีมากกว่าขุนนางผู้สูงศักดิ์พวกนั้นด้วย การใช้เงินทองหลอกล่อต่อหน้าพวกนาง นั่นมิใช่พฤติกรรมตามแบบฉบับของตัวตลกหรือ?ถ้าพูดถึงฐานะและอิทธิพล หอวั่งเจียงลึกลับและมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้พวกนางจะเป็นแค่นางคณิกาชาวบ้านคนหนึ่ง แต่รอบรู้ตัวตนของเหล่าขุนนางคนใหญ่คนโตต่าง ๆ กระทั่งควบคุมพวกเขาเล่นสนุกได้ทั้งวัน ตัวตนเช่นนี้หรือจะดึงความสนใจของพวกนางพี่น้องได้?ดังนั้นฉินอวิ๋นฟานมั่นใจในกลยุทธ์จีบสาวของตัวเอง ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์สำคัญในยุคสมัยนี้มาก หัวใจสาวน้อยอ่อนไหวนั้น ด้วยการเห
พฤติการณ์เผด็จการของฉินอวิ๋นฟานทำให้แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้างทันที ที่นี่คือหอวั่งเจียงนะ คนที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่สูงส่งมั่งมี ใครที่ไหนจะกล้าสอดมือยุ่งไปเรื่อย?ในหอวั่งเจียงมักเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่ประจำ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้แล้วใช้วิธีการรุนแรงแก้ไข เช่นนั้นหอวั่งเจียงก็ไม่ต้องทำการค้าแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายเพียงหนึ่งเดียว“โอ๊ย...”หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นก็ดึงคนเข้ามามุงล้อมทันที ทุกคนอยากรู้ว่าใครกันไม่รู้จักมองตาม้าตาเรือ กล้าก่อเรื่องที่หอวั่งเจียงท่ามกลางสายตาของทุกคน เจ้าหมูตอนถูกเหยียบหน้าแรง ๆ โกรธจัดควันออกหูฉับพลัน เขาพยายามบิดร่างกายอย่างบ้าคลั่ง แต่เนื่องจากน้ำหนักตัวมากเกินไป ร่างกายอืดอาด ทั้งถูกคนเหยียบหน้าแรง จึงมิอาจหลุดพ้นเขาตะคอก “เจ้ามารดามันรู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร? กล้าลบหลู่ข้าอย่างนี้?! รีบเอาเท้าเหม็น ๆ ของเจ้าออกไปเลยนะ! ไม่อย่างนั้นต้องให้เจ้าไม่ตายดีแน่!”“อ้อ? ปากดีไม่เบานี่ มา ๆ ๆ ไหนลองว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใคร?”เห็นเจ้าหมูตอนเดือดจัด ทั้งพูดจาข่มขู่ เมื่อนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงนั่งยองลงอย่างรู้สึกสนุก ถาม
......ทันทีที่ทุกคนได้ยินชื่อถงจินเฉิงสามคำก็แตกตื่นทันที นั่นคือนักวรรณกรรมใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังเชียวนะ แม้จะไม่เลื่องชื่อเป็นวงกว้าง แต่ในหมู่ผู้สูงศักดิ์กลับรู้จักคนผู้นี้เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงเท่านั้นพอได้ยินเสียงตกตะลึงของคนรอบข้างตลอดจนการชื่นชมไม่หยุด ถงจินเฉิงจึงทำหยิ่งกว่าเดิม เหยียดมุมปากเล็กน้อย สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความดูถูก“จอหงวนบุ๋นแห่งต้าเยียนถงจินเฉิง? ไม่เคยได้ยินแฮะ”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ พูดแบบไม่ยี่หระ“เอ่อ...”คำว่า ‘ไม่เคยได้ยิน’ ของฉินอวิ๋นฟานทำเอาถงจินเฉิงสำลักเกือบตาย เขานึกว่าพอฉินอวิ๋นฟานได้ยินนามยิ่งใหญ่ของเขาแล้วจะต้องก้มหัวค้อมเอว คุกเข่าวิงวอนร้องขออภัยทันที ไม่นึกว่าเจ้านี่กลับไม่รู้จักเขา?เขาพูดอย่างอัดอั้นตันใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ “หึ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นกบในกะลาหูตาคับแคบ ไม่คู่ควรรู้จักข้าซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมเหนือขั้นเช่นข้าหรอก ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนเช่นเจ้าเข้าหอวั่งเจียงมาได้ยังไง!”ยามนี้ ความรู้สึกเหนือกว่าของถงจินเฉิงเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที ละเลยสายตาประดุจคมมีดของฉินอวิ๋นฟานโดยสิ้นเชิง“เอ๋ เจ้านี่คงไม่ได้ป
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ