“พวกเจ้าสองคนต่างเป็นยอดองค์ชายของต้าเฉียน คนหนึ่งเคยเป็นขุนศึกประจำอยู่ที่เมืองจัว อีกคนคือผู้รับผิดชอบการบูรณะเมืองจัวหลังเกิดภัยพิบัติ แม้เมืองจัวจะเป็นเมืองชายแดนที่สำคัญ แต่ในเมื่อมีพวกเจ้าอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ตาแก่อย่างข้าห่วงแล้ว”หลังจากไท่ซั่งหวงพิจารณาครู่หนึ่งจึงตัดสินใจมอบอำนาจ เขาได้กลิ่นผิดปกติสายหนึ่ง นี่น่าจะเป็นแผนการที่ฉินอวิ๋นฟานวางไว้แต่แรก หากเขาแทรกแซงมากเกินไป เกรงจะทำให้องค์ชายองค์อื่นระแวง กระทั่งเป็นผลเสียต่อฉินอวิ๋นฟานกอปรกับคำสัญญาที่ฉินอวิ๋นฟานให้ไว้เมื่อก่อนหน้านี้ เขากลับอยากดูสิว่าถ้ามอบกรรมสิทธิ์เมืองจัวให้เขา เขาจะสร้างปาฏิหาริย์อะไรได้“สำหรับจะจัดการเมืองจัวอย่างไร ฟานเอ๋อร์ตัดสินใจเองก็แล้วกัน แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง นั่นคือต้องพิทักษ์ชายแดนต้าเฉียนให้ดีและให้ประชาชนมีชีวิตบริบูรณ์”“ขอบพระทัยเสด็จปู่ หม่อมฉันต้องทำอย่างสุดความสามารถแน่พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยอย่างจริงจัง“เอาละ จบการประชุมเถอะ!” ไท่ซั่งหวงโบกมือ จากนั้นก็ค่อย ๆ ออกไปด้วยการประคองของนางกำนัลสองคนเมื่อจบเรื่องวุ่นวาย ไท่ซั่งหวงไม่มีกะจิดกะใจสะสางราชกิจเหล่านี้ ขอเพียงไม่
“วันที่สามแล้ว ยังไม่เห็นเงารัชทายาทเลย พวกเราตาบอดกันจริง ๆ กลับเชื่อมันได้ จนตายก็ไม่ได้รู้ความจริง!”จางเฟยค่อนข้างแข็งแรง ภายใต้ทัณฑ์ทรมานอย่างหนัก สภาพเขาดีที่สุดในบรรดาหกคน เขามีนิสัยตรงไปตรงมา หุนหันพลันแล่น บัดนี้ทุ่มสุดตัวเพื่อฉินอวิ๋นฟานจนต้องตกอยู่ในสภาพถูกประหาร เขาอัดอั้นตันใจยิ่งนัก“เฮ้อ! พี่ใหญ่เถรตรงเกินไป คงโดนรัชทายาทหลอกแล้วละ พวกคนในราชวงศ์มันเชื่อถือไม่ได้ ถ้ามีประโยชน์กับพวกเขายังดี แต่พอเกิดปัญหาก็ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเราพี่น้อง!”กวนอวี่ก็ถอนหายใจจนปัญญาอยู่ข้าง ๆ เหมือนกัน“เฮอะ มันจะเรื่องใหญ่เพียงใด ก็แค่ตัดหัวมิใช่รึ? อีกสิบแปดปียังเป็นลูกผู้ชาย! [1] ตอนนี้มาโทษรัชทายาท ก่อนหน้านี้เจ้ามัวทำอะไร?!”ลิ่งหูเสี่ยวชักจะทนดูไม่ได้จึงเริ่มเอ่ยปากแย้ง ตลอดหลายปีมานี้ ฉินอวิ๋นฟานคือป๋อเล่อเพียงหนึ่งเดียวของเขา ฉินอวิ๋นฟานเสนอแนะและมอบวิธีการด้านการสร้างนาขั้นบันไดกับเขามากมาย ทั้งสนับสนุนการก่อสร้างของเขาอย่างไร้เงื่อนไขได้พบนายผู้ปรีชาสามารถเช่นนี้ เขาตายก็ไม่เสียดาย อย่างน้อยการสร้างชลประทานบนเนินเขาและนาขั้นบันไดก็ได้รับการยืนยันแล้ว“เจ้านี่พูดจาย
“อยู่เป็นคนต้องโดดเด่น ตายต้องเป็นวีรบุรุษในหมู่ผีดี!”ในตอนที่ทั้งหกกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในวาระสุดท้ายของชีวิต ฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัวขึ้นทันใด เดินไปหาทุกคนช้า ๆ จังหวะที่เห็นฉินอวิ๋นฟาน พวกเขาก็ตะลึงงัน“รัช รัชทายาท!”ทีแรกหลิวเป้ยนึกว่าฉินอวิ๋นฟานจะทิ้งพวกเขาแล้ว จึงไม่คาดหวังใด ๆ คิดไม่ถึงว่าในช่วงความเป็นความตาย ฉินอวิ๋นฟานกลับปรากฏตัวที่ลานประหารทันกาล“จะถูกตัดหัวอยู่แล้ว พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากถาม“ความตายมีอะไรน่ากลัว? ก็แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”หลิวเป้ยส่ายหน้าพูด“พวกเรากลับไม่กลัวตาย เราแค่กลัวติดตามคนผิด สุดท้ายจนตายก็ยังไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร!”จางเฟยเปล่งเสียงพูด“พวกเราสามคนพี่น้องเห็นคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่เคยเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น ขอเพียงรัชทายาทไม่ผิดต่อมโนธรรม พวกเราก็ถือว่าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว!”กวนอวี่เอ่ย“ได้เจอรัชทายาทก่อนตาย ชาตินี้ไม่เสียใจ!”หานซิ่นและลิ่งหูเสี่ยวเอ่ยขึ้นพร้อมกันมีแต่มู่หรงโหลวที่เงียบ เส้นประสาทตึงเครียด จ้องฉินอวิ๋นฟานด้วยสายตาเหม่อลอย“ใครก็ได้ ปล่อยตัวพวกเขา!”ฉินอวิ๋นฟานสั่งออกไป องครักษ์สองสามคนรีบวิ่งไปถึงต
ในฐานะที่เป็นราชวงศ์ผู้อยู่เหนือสุดคนหนึ่ง ไท่ซั่งหวงย่อมมีสายตาการมองคนที่ต่างจากปุถุชนทั่วไป พวกเขาเอาตัวออกจากอำนาจไม่ได้ กลับเจ็บแค้นอำนาจนัก การแสดงออกของฉินอวิ๋นฮุยอาจสามารถเป็นจักรพรรดิคนหนึ่งได้ หากเป็นตัวตนผู้อำมหิตไร้หลักความเป็นมนุษย์“พ่ะย่ะค่ะ นับจากรัชทายาทแจ้งเกิด องค์ชายรองรีบร้อนไปบ้างจริง ๆ เขาอยากข่มรัชทายาทให้ได้เร็วที่สุด ให้เห็นว่าเขามีความสามารถ ทว่าผลลัพธ์กลับต้องปราชัยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาเริ่มตื่นตระหนกลนลาน”เฉาเจิ้งฉุนกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง“ทุกครั้งฟานเอ๋อร์มักทำให้ข้าสะดุดตา เป็นพันธุ์ไม้ที่หาได้ยาก สามารถมองใต้หล้าด้วยมุมมองของจักรพรรดิ เสียดายที่ไร้สมัครพรรคพวก คิดจะเฉิดฉายท่ามกลางความสัมพันธ์ของตระกูลใหญ่ซึ่งฝังรากหยั่งลึกในต้าเฉียนมันยากมากจริง ๆ”ไท่ซั่งหวงส่ายหน้าพลางเอ่ย“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต่างมีตระกูลใหญ่สนับสนุน หลังจากครองตำแหน่งจะสามารถกุมราชสำนักได้เร็ว ส่วนราชทายาท แม้จะได้ขึ้นครองราชย์ แต่เกรงว่าไม่นานต้องร่วงลงมาอีก นอกเสียจากเขาจะมีความสามารถเหนือฟ้า”เฉาเจิ้งฉุนติดตามจักรพรรดิสองรุ่นสี่สิบกว่าปี รอบรู้สถานการณ์ของต้
“เจ้า เจ้าจะเอาจริงหรือ?”เหอเหวินเย่าพูดแบบไม่อยากจะเชื่อ“ท่านเห็นข้าเหมือนพูดล้อเล่นหรือ?”องค์ชายรองกล่าวด้วยใบหน้าชั่วร้าย “น้าสาม บอกอู๋อีฝาน ให้เขากำจัดฉินอวิ๋นฟานให้ข้า!”“อวิ๋นฮุย เจ้าใจเย็นก่อน เจ้าน่าจะรู้ดีว่าอู๋อีฝานเป็นใคร เขาเป็นคนในยุทธภพ ถ้าให้อู๋อีฝานลงมือกับองค์ชายต้าเฉียนจะเท่ากับทำลายสัญญาระหว่างราชวงศ์กับยุทธภพ จะเกิดเรื่องใหญ่เอานะ!” เหอเหวินเย่าสีหน้าปั้นยากกว่าปกติ ใช่ว่าจะใช้ขั้วอิทธิพลของยุทธภพไม่ได้ แต่จะใช้ง่าย ๆ ไม่ได้ และจะใช้อย่างโจ่งแจ้งก็ไม่ได้ด้วย การสังหารองค์ชายยิ่งเป็นข้อห้ามร้ายแรง และไม่ต้องพูดถึงว่าฉินอวิ๋นฟานมีสถานะพิเศษเป็นรัชทายาทอีก “แล้วยังไง? ต่อให้ข้าฆ่าฉินอวิ๋นฟานแล้วพวกเขาจะทำอะไรข้าได้? ยังจะแก้แค้นกับข้าหรือ? อีกอย่าง อู๋อีฝานเป็นสุดยอดนักฆ่าที่ข้าฝึกฝนอย่างลับ ๆ เชี่ยวชาญการหลบซ่อนที่สุด ไม่มีใครรู้ข้อมูลตัวตนของเขาหรอก มันจะเกิดเรื่องง่ายขนาดนั้นที่ไหน”ฉินอวิ๋นฮุยยิ้มร้ายพลางพูด“องค์ชายรอง ท่านจะไม่ไตร่ตรองอีกสักหน่อยจริง ๆ หรือ?”ลิ่งหูชงขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายยังเตือนอีกคำ อย่างไรเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงส่วนรวม และตอนนี้ยัง
หลัวเหิงซาบซึ้งใจเสียไม่มี กรอบดวงตาชื้นแฉะ“เรียนรัชทายาท พวกหานซิ่นมาแล้วขอรับ” ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ทหารคนหนึ่งรายงานอยู่นอกกระโจม“ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ!”ได้รับการอนุญาตจากฉินอวิ๋นฟาน หานซิ่น หลิวเป้ยและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามา หลังจากทำแผลบนตัวและกินข้าวแล้ว พวกเขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ากลับมามีสีเลือดเล็กน้อย“รัชทายาท!” พวกหานซิ่นคำนับฉินอวิ๋นฟานด้วยท่าทีเคารพนบนอบ“นั่งเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานแสดงเจตนารมณ์ “หลังจากผ่านปัญหาครั้งนี้ พวกเราสมควรนั่งลงคุยกันดี ๆ เริ่มจากหลัวเหิงก่อนเถอะ!”ยามนี้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าฉินอวิ๋นฟานกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ และไม่รู้ว่าแผนการลำดับต่อไปของเขาคืออะไร กลับไม่รู้เลยว่าฉินอวิ๋นฟานมีแผนอยู่ในใจชัดเจนแล้วหลัวเหิงพูดอย่างจริงจัง “หลังจากพัฒนามาครึ่งเดือน ค่ายทานหลางมีพี่น้องหนึ่งหมื่นคนแล้ว และยังจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พี่น้องทุกคนต่างพยายามอย่างเต็มที่ ทุกหน่วยย่อยพัฒนาฝีมือไม่หยุดหย่อน ฝึกฝนจนชำนาญแล้วขอรับ”พอได้ยินการรายงานของหลัวเหิง ฉินอวิ๋นฟานพึงพอใจมาก เขามองไปทางหานซิ่นแล้วถาม “ทางเจ้าล่ะเป็นยังไงบ้าง?”หานซิ่นตอบ
หานซิ่นโดดเดี่ยวทุกข์ยากมาทั้งชีวิต รับกับความอยุติธรรมและการหยามเหยียดมากมาย การปรากฏตัวของฉินอวิ๋นฟานช่วยเขาจากหว่างขาคนขายเนื้อ ฟันเฟืองในชีวิตของเขาจึงเริ่มหมุนเดินอย่างเป็นทางการสำหรับเขา ฉินอวิ๋นฟานก็คือแสงสว่างในชีวิต ไม่ว่าปัจจุบันจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นเช่นไร เขาก็จะติดตามฉินอวิ๋นฟานอย่างจงรักภักดีหลังจากหานซิ่นแสดงจุดยืน หลิวเป้ยก็ลุกขึ้นพรวดแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “นับจากได้เห็นท่วงทำนองของรัชทายาทในการประลองยุทธ์ด้านบู๊ พวกเราก็เลื่อมใสในมนต์เสน่ห์นิสัยของรัชทายาทแล้ว”“อีกอย่าง ท่านทำเรื่องที่สัญญากับประชาชนผู้ประสบเคราะห์ในพื้นที่ภัยพิบัติเป็นจริงทีละเรื่อง ห่วงใยชาวประชา พวกเราสามคนพี่น้องเลื่อมใสยิ่งนัก อนาคตไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง พวกเราล้วนสมัครใจติดตามรัชทายาทขอรับ!”ได้รับคำมั่นอย่างจริงจังของหลิวเป้ย ฉินอวิ๋นฟานฉายรอยยิ้มพอใจ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มองคนผิด หลิวเป้ยที่เป็นแบบนี้คู่ควรแก่การเชื่อถือและมอบงานใหญ่“เจ้าล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานมองไปทางลิ่งหูเสี่ยวและถาม“ข้าน้อยมีภาพในอุดมคติอยู่ในใจมาตลอด ข้าน้อยอยากติดตามรัชทายาททำมันให้สำเร็จทีละก้าว ข้าน้อยหวังว่าจะได
ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากได้ฟังการวิเคราะห์ของลิ่งหูเสี่ยว โดยรวมฉินอวิ๋นฟานก็เข้าใจจุดสำคัญของเรื่องแล้ว เช่นเดียวกับที่ลิ่งหูเสี่ยวบอก ถ้าลิ่งหูชงเข้าร่วมกับพรรคพวกหนึ่ง เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะเข้าร่วมกับพี่รองฉินอวิ๋นฮุย“ถูกต้อง ศิษย์พี่ข้าเป็นคนมากเล่ห์ไม่เลือกวิธี แต่เขาเชี่ยวชาญการกบดาน วิเคราะห์สถานการณ์ ชี้กวางเป็นม้า กลับดำเป็นขาวเก่งที่สุด เรื่องการปลุกปั่นอารมณ์ผู้ประสบเคราะห์นี้ก็เหมือนเป็นฝีมือของเขามาก”ลิ่งหูเสี่ยวเอ่ย“อย่างนี้นี่เอง!”ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาทั้งสอง เผยรอยยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก ปืนแจ้งหลบง่าย ศรลับยากป้องกัน หลังจากผ่านเรื่องในครั้งนี้ ต้องระวังคนผู้นี้จึงจะดี“ในเมื่อแนวคิดชัดเจนแล้ว ต่อไปก็จัดการง่าย”ฉินอวิ๋นฟานราวกับยกภูเขาออกจากอก หันไปทางมู่หรงโหลวและยิ้มร้าย “พี่โหลว ท่านล่ะ? ดูท่าครั้งนี้ท่านจะตกใจไม่น้อยนะ ยังจะร่วมงานกับข้าต่ออีกหรือไม่? จะไปตอนนี้ยังทันนะ”“เฮอะ ทุกคนเลือกที่จะฝ่าฟันกับความลำบาก ถ้าข้าเลือกไปตอนนี้ ข้าจะไม่ดูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อขี้ขลาดตาขาวมากหรือ?”มู่หรงโหลวแข็งใจพูด “ถึงยังไงก็มีน้องสาวกับพ่อข้าอยู่ ถ้าเจ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ