“ข้าว่าอยู่แล้วเชียว ในใจของหยวนหยวนมีข้าอยู่ มีเรื่องดี นางยังนึกถึงข้าก่อนทันที”เซี่ยงเทียนเวิ่นดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นแล้ว นึกถึงภาพที่ตัวเองเคยประจบหวงต้าหยวนเจ้าหอวั่งเจียงอย่างบ้าคลั่งก็รู้สึกว่าขนาดอากาศยังหวานชื่น ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในที่สุดความพยายามก็ไม่เสียเปล่า จากเรื่องนี้ เพียงพอให้เห็นว่าหวงต้าหยวนมีเขาอยู่ในใจพอฉินอวิ๋นฟานได้ยินคำพูดนี้ หน้าอึ้งจังงังไปเลย เขาแลกสายตากับอู่จ้านทีหนึ่ง ในดวงตาคือความเหลือเชื่อ หรือว่าที่นี่จะมีเรื่องให้เผือก?“สหายเทียนเวิ่น เจ้าหอหวงเคยพูดถึงเจ้าจริง ๆ นั่นแหละ แต่เหมือนว่าจะไม่มีความหมายอื่น?”ฉินอวิ๋นฟานพูดแบบหยั่งเชิง“รัชทายาท นี่คือท่านไม่รู้ ข้าชอบเจ้าหอหวงเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันทั่ว แต่เจ้าหอหวงค่อนข้างขี้อาย แสดงความรู้สึกของตัวเองไม่เก่ง ทุกครั้งก็เลยไล่ข้าออกจากหอวั่งเจียง ดีที่ข้ามุมานะไม่ย่อท้อ สุดท้ายจึงทำให้นางประทับใจได้”เซี่ยงเทียนเวิ่นยังคงจมอยู่กับความเบิกบานแช่มชื่น เขาเอ่ยต่อ “ก็ดูจากความร่วมมือเรื่องอู่เหลียงเย่สิ ในใจนางต้องมีข้าอยู่แน่ ไม่อย่างนั้นจะนึกถึงตระกูลเซี่ยงเราทันทีได้ยังไง? ยังไม่
“เสี่ยวฟาน ตื่นเร็ว รีบตื่นเร็วเข้า!”“แย่แล้ว รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”ฉินอวิ๋นฟานกำลังหลับปุ๋ย อยู่ ๆ นอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูรีบร้อนดังขึ้น เขาบิดขี้เกียจทีหนึ่ง ฟังดูดี ๆ กลับเป็นเสียงของเฉินม่อกับอู่จ้านชั่วขณะ ฉินอวิ๋นฟานตาตื่นโดยสิ้นเชิง เขารีบเปิดประตู เห็นทั้งสองทำหน้าตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกเหมือนมดบนกระทะร้อนฉินอวิ๋นฟานรีบถาม “มีอะไรรึ เกิดอะไรขึ้น?”“พื้นที่ภัยพิบัติเกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พวกมู่หรงโหลว หานซิ่น หลิวเป้ย ลิ่งหูเสี่ยวถูกจับกันหมด พื้นที่ภัยพิบัติโกลาหลยกใหญ่ ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว”เฉินม่อรีบพูดครั้นได้ยินฉินอวิ๋นฟานกล่าวเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานสมองดังวิ้ง ว่างเปล่าไปหมดในพริบตา มิน่าหลายวันนี้เขาถึงมีลางร้ายตลอด หรือจะเป็นเรื่องนี้?ความสงสัยสับสนเต็มหัว ไม่ทันคิดอะไรมาก เขารีบถาม “ช่วงนี้เจ้าอยู่ที่พื้นที่ภัยพิบัติตลอดมิใช่หรือ? ทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดเรื่องใหญ่โตอย่างนี้ได้? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”“ใช่ ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเดินหน้าดีมาก ทุกคนพยายามกันอย่างขยันขันแข็ง พื้นที่ภัยพิบัติเจริญขึ้นมาก แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อวานกลับเจอหัวหนูในอ
“ใครก็ดูออกว่านั่นคือหัวหนู นอกจากจะมีขนยังมีฟันโผล่ออกมาอีก ดังนั้นผู้ประสบภัยก็เลยเริ่มเอาเรื่องกับพ่อครัว”“ผลคือพ่อครัวยังชี้ลาเป็นม้า ท่าทียโสโอหัง จะกินไม่กินก็ช่าง สุดท้ายผู้ประสบเคราะห์ก็เลยโกรธขึ้นมาจริง ๆ ลุกฮือกันหมด ตอนนี้ถึงขั้นที่ควบคุมไม่ได้แล้ว”“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เรื่องที่ผู้ประสบภัยลุกฮือแพล็บเดียวก็รายงานถึงวังหลวง กรมอาญาหูหมิงชิงเข้าตรวจสอบแล้ว ดังนั้นพวกหานซิ่นก็เลยถูกจับกันหมด”“กรมอาญาตรวจสอบเร็วอย่างนี้เลย?”ฉินอวิ๋นฟานนัยน์ตาหดเล็ก เข้าใจสาเหตุในนั้นทันที กรมอาญาหูหมิงชิงเป็นคนของตระกูลเหอ เข้าพวกกับองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุย หรือก็หมายถึงเบื้องหลังต้องเป็นฝีมือของฉินอวิ๋นฮุยแน่“ไม่ใช่แค่นั้นนะ องค์ชายรองไปปลอบผู้ประสบเคราะห์แล้ว น่ากลัวว่าความพยายามของพวกเราเมื่อก่อนหน้านี้ทั้งหมดคงต้องเสียเปล่า” เฉินม่อพูดด้วยใบหน้าหมดหวัง“เสี่ยวฟาน พวกเขาทำงานเร็วอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมการพร้อมแต่แรก ทั้งหมดมุ่งเป้ามาที่เจ้า ถ้าจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดไม่ได้ เกรงว่าเราไม่เพียงเหนื่อยเปล่า เจ้ายังจะติดร่างแหไปด้วย คงรักษาตำแหน่งรัชทายาทยากแล้ว”อู่จ้านเอ่ย
“สถานการณ์เร่งด่วน พวกเราต้องพยายามทำทุกนาทีให้มีค่า ท่านอย่าลืมบอกหลัวเหิงด้วย ให้เขาไปตระกูลเซี่ยงให้เร็วที่สุด บอกว่าข้ากำลังรอเขาอยู่ที่นี่”ตอนนี้ฉินอวิ๋นฟานมีแนวคิดคร่าว ๆ แล้ว ด้วยสถานการณ์ของเขาในเวลานี้ ไม่อาจแก้ไขปัญหาจากข้างบนได้ มีแต่ต้องสาวใยจากชั้นล่างสุด“ได้!”อู่จ้านย่อมตระหนักความร้ายแรงของเรื่อง รีบขี่ม้าลงแส้ดำเนินการทันที ฉินอวิ๋นฟานไม่กล้ารีรอเหมือนกัน รีบไปตระกูลเซี่ยงด้วยความเร็วสูงสุด“รัชทายาท ท่านมาแล้วหรือ”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งถึงตระกูลเซี่ยง เซี่ยงเส้าหลงรีบค้อมตัวไปต้อนรับ บัดนี้ท่านผู้เฒ่าฟื้นฟูดีมาก ลงเตียงเดินได้แล้ว ฉินอวิ๋นฟานย่อมกลายเป็นบุคคลที่ตระกูลเซี่ยงเคารพสูงสุด“วันนี้ที่ข้ามาเพราะมีธุระทั้งหมดสองเรื่อง หนึ่งเพื่อทำแผลให้ท่านผู้เฒ่าเซี่ยง สองคืออยากยืมคนของท่านคุ้มครองความปลอดภัยของข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย“ปกป้องความปลอดภัยของรัชทายาท? นี่มันยังไงกัน?”พอได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยงเส้าหลงอึ้งไปเลย สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ฉินอวิ๋นฟานคือใคร กลับจะมีอันตรายถึงชีวิต? นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะ“พื้นที่ภัยพิบัติเกิดเรื่องแล้ว ข้าส่งอาจ้าน
“นั่นสิ องค์ชายรอง ถึงพวกเราจะจน แต่พวกเราไม่ได้โง่นะ หรือว่าแม้แต่หัวหนูกับคอเป็ดยังจะแยกไม่ได้? นี่เห็นเราเป็นคนโง่หรือ? พวกเราชาวบ้านถึงจะเป็นชีวิตต่ำต้อย แต่ก็รังแกกันอย่างนี้ไม่ได้กระมัง?”ชายร่างผอมเล็กผิวค่อนข้างขาวอีกคนหนึ่งร่ำไห้น้ำตาไหลพราก ๆ พลางพูดระบาย“อะไรนะ? การบรรเทาภัยพิบัติคือเรื่องใหญ่ของต้าเฉียนเรา ทำไมถึงเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้? ใครกันริอ่านเหิมเกริมดูถูกกฎหมายต้าเฉียนเรา เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา?”พอฉินอวิ๋นฮุยได้ฟังแล้วโมโหพลุ่งพล่าน ยืนอยู่จุดสูงสุดของคุณธรรม ตำหนิเรื่องนี้อย่างหนัก และทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของฉินอวิ๋นฟานจากที่ไกล ๆ ทั้งหมด“รัชทายาท นี่ นี่มันยังไงกัน? หลายวันก่อนคนของค่ายทานหลวงมารายงานกับข้ายังว่าดีมากอยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงโกลาหลอีกแล้ว?”หลัวเหิงถามด้วยใบหน้าฉงน“หลัวเหิง เจ้าว่าคนพวกนั้นที่กำลังพูดอยู่ รูปร่างเป็นยังไง?” ฉินอวิ๋นฟานถามอย่างนึกสนุก“เอ๋ ท่านไม่เตือนข้าน้อยยังไม่สังเกตเลย หกเจ็ดคนที่พูดอยู่นั่น กว่าครึ่งเป็นคนตัวใหญ่ร่างบึก ถ้าเป็นผู้ประสบเคราะห์ที่หิวโหยเกือบสองเดือน จะต้องผอมจนเหลือแต่ซี่โครงแล้ว ทำไมถึงล่ำอย่างนี้ได
อารมณ์มวลชนฮึกเหิม องค์ชายรองมองฉินอวิ๋นฟาน เผยรอยยิ้มกระหยิ่มใจ เขาหัวเราะน้อย ๆ และพูด “น้องเจ็ด คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ ภายนอกคือภาพลักษณ์ผดุงความเป็นธรรมมีความเมตตากรุณา รักประชาชนดั่งลูก แต่ความเป็นจริงกลับจอมปลอมเจ้าเล่ห์”“ที่ข้ามีสภาพเช่นตอนนี้ได้ มิต้องขอบคุณพี่รองที่ประทานให้หรือ?”ฉินอวิ๋นฟานใบหน้าเย็นชา ตาต่อตา ฟันต่อฟัน การที่องค์ชายรองใช้ผู้ประสบเคราะห์สร้างเรื่องอยู่เหนือความคาดหมายของฉินอวิ๋นฟานจริง ๆ เพราะเรื่องนี้ไท่ซั่งหวงเป็นผู้มอบอำนาจด้วยตนเอง ฉินอวิ๋นฮุยกลับยังกล้ายื่นมือกับเรื่องนี้“อ้อ? น้องเจ็ดอย่าได้ใส่ความคนอื่นนะ ทำอะไรต้องมีหลักฐาน เจ้ามาถึงก็โยนความผิดให้ข้า เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”ฉินอวิ๋นฮุยยกยิ้มตรงมุมปาก แฝงความยั่วยุอยู่ในคำพูดเต็มประดา อดกลั้นอารมณ์มานานอย่างนั้น ในที่สุดก็ได้ระบาย กดฉินอวิ๋นฟานลงมาได้สักที ความรู้สึกเช่นนี้ปลอดโปร่งยิ่งนัก“ล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าพันปี ยังแสร้งเป็นพ่อพระกับข้าทำไม?”ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้ตามใจองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุย เรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจไยต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน? เขาฉินอวิ๋นฟานไม่สนใจเรื่องแค่นี้หรอก
การถามเสียงกร้าวของฉินอวิ๋นฟานทำให้ชายร่างกำยำตกตะลึงเดี๋ยวนั้น ก่อนหน้าเขาไม่เคยเตรียมปัญหานี้ จ้องแววตาลุ่มลึกนั้นของฉินอวิ๋นฟาน เผด็จการอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทันใดนั้นเขาลนลานแล้ว“ขะ ข้า ข้าเคยมาเมืองหลวง โชคดีได้เจอกับท่านหนหนึ่ง” ชายร่างกำยำฝืนตอบแบบติด ๆ ขัด ๆฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้นจึงฉายรอยยิ้มมั่นใจน้อย ๆ และถามต่อ “เคย? เมื่อไร?”“เอ่อ นานเกินไป ข้าจำไม่ได้แล้ว”ชายร่างกำยำยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่อง ได้แต่พยายามพูดให้นานเข้าไว้ เพราะมีแต่อย่างนี้จึงดำน้ำผ่านไปได้ กลับไม่รู้ว่าเขาตกหลุมพรางของฉินอวิ๋นฟานเรียบร้อยแล้ว“อ้อ? นานเกินไป ประมาณเมื่อไรอย่างไรต้องจำได้กระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานถามต่อกับการถามอย่างบีบคั้นของฉินอวิ๋นฟาน ฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วนิด ๆ มักรู้สึกถึงลางร้ายอย่างหนึ่ง แต่คิดว่าพวกคำถามที่ฉินอวิ๋นฟานถามไม่มีความหมายอะไร จึงไม่ได้พูดอะไร“หนึ่ง หนึ่งปีก่อนกระมัง!”ชายร่างกำยำผู้นั้นแข็งใจบอกเวลาหนึ่ง ยามนี้เขาทรมานใจนัก อยากแถให้จบเรื่องนี้ไว ๆ“บังอาจ! หนึ่งปีก่อนข้ายังอยู่ในภาวะโง่งม ไม่เคยออกจากวัง อย่าว่าแต่เจ้า แม้จะเป็นพวกขุนนางในราชสำนักก็เจอข
ที่อยู่ที่ชายร่างกำยำบอกไปอย่างนั้น ไม่นึกว่าจะเจอคนที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันจริง นั่นมิใช่ว่าเรื่องโกหกจะถูกเปิดโปงแล้วหรือ? จิตใจของชายร่างกำยำในยามนี้แตกตื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ สายตาล่อกแล่ก มองไปทางองค์ชายรองเป็นระยะ องค์ชายรองในตอนนี้สีหน้าดำทะมึนมากขึ้นทุกที สุดท้ายยังประเมินฉินอวิ๋นฟานต่ำเกินไป“พ่อล่ำนี่บอกว่าเป็นคนหมู่บ้านพวกเจ้า พวกเจ้ารู้จักเขาหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากถามชายหนุ่มที่เป็นผู้นำมองสำรวจชายร่างกำยำครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าตอบ “ข้าน้อยเติบโตอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวังแต่เล็ก รู้จักหมดทุกคน สหายตรงหน้าท่านนี้ไม่ใช่คนในหมู่บ้านข้าน้อยขอรับ!”“หา? เขาไม่ใช่คนหมู่บ้านตระกูลหวัง?”พอทุกคนได้ยินก็ฮือฮากันขึ้นมาทันที เพราะการก่อความวุ่นวายครั้งนี้เขานี่แหละเป็นหัวโจก ที่ทุกคนมาเมืองหลวงก็ด้วยการยุยงของเขา ถ้าฐานะของคนผู้นี้ไม่แน่ชัด เช่นนั้นพวกเขามิใช่ถูกหลอกใช้หรือ?คนจำนวนมากตระหนักถึงความผิดปกติแล้ว แต่เรื่องหัวหนูก็เป็นเรื่องจริง เวลานี้ทุกคนขึ้นหลังเสือลงยาก“พูด! เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมต้องยุยงคนจากพื้นที่ภัยพิบัติมาหาเรื่องที่เมืองหลวง?”ฉินอวิ๋นฟานตะคอ