“ในความคิดของท่านราชเลขา ความสามารถทางการเมืองและบุ๋นบู้ของข้าเทียบจักรพรรดิไท่จู่ได้หรือเปล่า หรือว่าความสามารถทางการเมืองของท่านราชเลขา ดีกว่าท่านราชเลขาคนแรกของราชวงศ์นี้?” คำพูดของหลี่เฉินที่เตรียมไว้นานแล้ว ทำให้จ้าวเสวียนจีพูดไม่ออกไม่มีทางเลือก หัวข้อนี้ใหญ่เกินไปสิ่งที่หลี่เฉินนำมาเปรียบเทียบก็คือราชเลขาคนแรกของราชวงศ์ที่ถูกลือกันว่าเป็นครึ่งเซียนหรือจักรพรรดิไท่จู่ ไม่ว่าจะเป็นคนไหน ใช่คนที่เขาจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ?เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจียังคงเงียบ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “สิ่งที่เรียกว่าสูงต่ำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง ในความคิดเห็นของข้า ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ชาวนา ช่างฝีมือ หรือพ่อค้า ตราบใดที่มีบทบาทช่วยประเทศและสังคมได้ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ประเทศขาดไม่ได้”“พ่อค้าที่น่ารังเกียจที่สุดในสายตาของเจ้า แต่ภาษีพ่อค้าที่พวกเขาจ่ายให้ คิดเป็นสามส่วนของรายได้ภาษีของประเทศ แค่คุณูปการนี้ ก็ดีกว่าพวกนักวิชาการที่อ่านหนังสือของนักปราชญ์แค่ปีสองปี ก็กล้าวิพากษ์วิจารณ์ราชสำนักหลายเท่า”“ราชสำนักเปิดธนาคารไม่ใช่เพื่อทำธุรกิจ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ
เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจีพยายามถอดตัวเองออกจากเรื่องนี้ โดยมั่นใจว่าโครงการธนาคารจะจบอย่างเลวร้าย จึงชิงตัดความเกี่ยวข้องล่วงหน้าหลี่เฉินก็หัวเราะเยาะและไม่สนใจตราบใดที่จ้าวเสวียนจีพยักหน้าอนุมัติโครงการนี้ ยิ่งมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับธนาคารน้อยลงเท่าไร ก็ยิ่งดีต่อเขามากขึ้นเท่านั้นสิ่งนี้จะตัดความเป็นไปได้ที่จ้าวเสวียนจีจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง โดยหวังจะเด็ดลูกท้อ รอจนกว่าทุกคนตระหนักว่าหลี่เฉินได้สร้างสัตว์ประหลาดชนิดใดขึ้นมา ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว มันจะกลายเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของหลี่เฉินในการควบคุมอาณาจักรทั้งหมดตั้งแต่การผลักดันมันเทศไปจนถึงการเปิดธนาคาร ในสายตาของเหล่าข้าราชบริพาร นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าองค์รัชทายาททำงานไม่ถูกต้องแต่มีเพียงหลี่เฉินเท่านั้นที่รู้ว่าสองสิ่งนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเขา ในการควบคุมอำนาจหลักของประเทศ นอกเหนือจากราชกิจของรัฐมันเทศจัดการปากท้องของผู้คน ส่วนธนาคารก็จัดการกระเป๋าสตางค์ของผู้คนทำสองสิ่งไปพร้อมกัน ตราบใดที่ทั้งสองสิ่งนี้ประสบความสำเร็จ แม้หลี่เฉินจะยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิไร้มงกุฎในจักรวรรดิน
“ข้าทราบแล้ว”หลี่อิ๋นหู่โค้งคำนับและพูดอย่างจริงใจว่า “คราวนี้ข้าจะไม่ทำให้ท่านราชเลขาผิดหวังอีก”จ้าวเสวียนจีพูดช้าๆ ว่า “ผิดหวังหรือไม่มันไม่สำคัญ เพียงแต่ท่านอ๋องมีความทะเยอทะยาน แต่กลับเร่งรีบทำสิ่งต่างๆ จนทั้งหมดล้วนสูญเปล่า สิ่งต่างๆ ในราชสำนักไม่แน่นอน จึงไม่มีการบ่งชี้ว่าเจ้าหรือข้าที่ผิดอย่างเด็ดขาด ท่านอ๋องลองกลับไปใคร่ครวญดูเถอะ ความอดทนของข้ามีจำกัด”แม้จะถูกสั่งสอนต่อหน้า แต่หลี่อิ๋นหู่ก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมา เขาพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นท่านราชเลขาเชิญพักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวก่อน”หลังออกมาจากจวนจ้าว หลี่อิ๋นหู่ก็นั่งรถม้ากลับไปที่จวนของตัวเองเมื่อกลับมาที่จวน หลี่อิ๋นหู่ก็วางแผนที่จะไปพบหลงไหวอวี้ในทันทีเพียงก้าวเข้ามาในจวน เขาก็พลันขมวดคิ้วทันที กลิ่นเลือด กลิ่นเลือดที่รุนแรงมากกลิ่นเลือดดังกล่าว ทำให้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาขณะจะหันหลังกลับและจากไป เขากลับถูกชายชุดดำสองคนที่อยู่ด้านหลังตัวเองขวางไว้ “ท่านอ๋องกำลังจะไปไหน?”ชายชุดดำคนหนึ่งเผยฟันขาวขณะพูด ดาบในมือเปื้อนไปด้วยเลือดหลี่อิ๋นหู่หายใจเข้าลึกๆ รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติชายชรา
คนที่ตะโกนคือองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพานี่เป็นครั้งแรกที่หลี่อิ๋นหู่รู้สึกว่าเสียงขององครักษ์เสื้อแพรช่างไพเราะเพราะพริ้งมากเขาชี้ไปที่นักฆ่าทั้งสี่คนในชุดดำทันทีและตะโกนว่า “เร็วเข้า นักฆ่าพวกนี้จะลอบสังหารข้า รีบจับพวกมัน ไม่ว่าจับเป็นหรือตาย ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”เมื่อมีของรางวัลจึงมีผู้กล้า เมื่อองครักษ์เสื้อแพรได้ยินดังนั้นก็รีบส่งสัญญาณให้กับคนอื่นๆ ทันใดนั้นองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่นี่ชายชุดดำทั้งสี่เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาก็สบตากัน ก่อนจะโยนความคิดสังหารหลี่อิ๋นหู่ทิ้งไปและพากันหลบหนีการลอบสังหารโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าครั้งนี้ ก็สิ้นสุดลงอย่างเร่งรีบครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่อิ๋นหู่มองดูศพที่นอนกระจัดกระจายอยู่ในจวนด้วยสีหน้ามืดมน “ท่านอ๋อง พวกนักฆ่าหลบหนีไปแล้ว แต่พวกเราพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรกำลังติดตามอยู่ คาดว่าน่าจะมีข่าวบ้าง”เมื่อเห็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามาหา หลี่อิ๋นหู่ก็ระงับความเดือดดาลในใจแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนองครักษ์เสื้อแพรแล้ว”ขณะที่พูด หลี่อิ๋นหู่ก็หยิบตั๋วเงินออกมาและพูดว่า “รับไปซะ แล้วพาพี่น้อ
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหลี่อิ๋นหู่ สวีเว่ยก็เผยสีหน้ากระดากอายออกมา เขาอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ท่านอ๋องโปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมออกไปข้างนอกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยังอยากจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?” หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วถามสวีเว่ยกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า “คือเสี่ยวเถาหงของลานอี๋ชุน...กับกระหม่อมนัดกันว่าจะพบกันวันนี้...ถ้าหากไม่ไป กระหม่อมเกรงว่าจะเสียใจ”หลี่อิ๋นหู่ได้ยินดังนั้นจึงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ข้าก็ผู้ชายเหมือนกัน ย่อมเข้าใจ”“ในเมื่อเจ้าชอบสตรีนางนี้ ก็ใช้เงินบางส่วนเพื่อไถ่นางมาอยู่ข้างกายเถอะ ข้าจะให้คนทำเรือนเล็กๆ ให้พวกเจ้าอยู่”สวีเว่ยกล่าวอย่างตื้นตันว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” เมื่อเห็นท่าทางสำนึกบุญคุณของสวีเว่ย หลี่อิ๋นหู่ก็โล่งใจมากขึ้นเรื่อยๆถ้าสวีเว่ยเป็นคนทรยศจริงๆ คงไม่มีทางที่เขาจะออกไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ส่วนเสี่ยวเถาหง หากพวกเขามีความรู้สึกต่อกันจริงๆ ก็ให้มาอยู่ในจวนอ๋อง นี่จะเป็นวิธีตรวจสอบและควบคุมสวีเว่ยได้อย่างดีเยี่ยม หลี่อิ๋นหู่ครุ่นคิดถึงหลายสิ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็ออกมาจากห้องด้วยความสดชื่น และให้ความสนใจเป็นพิเศษกับห้องของเสี่ยวเถาหงเมื่อได้ยินว่าสวีเว่ยยังอยู่ข้างใน และแม่เล้าก็มาถึงแล้ว ซึ่งทั้งสองกำลังเจรจาไถ่ตัวเสี่ยวเถาหงกันอยู่ เมื่อรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป เขาจึงออกจากลานอี๋ชุนทันที และกลับไปที่จวนอ๋องเพื่อรายงานสิ่งที่เขาเห็นแต่เขาไม่รู้ว่าในห้องของเสี่ยวเถาหงที่เขาแอบฟังอยู่นั้น มีแม่เล้าและเสี่ยวเถาหงอยู่ในนั้นจริงๆ แต่อีกคนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ และเสียงที่ออกมาจากปากของเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเสียงของสวีเว่ยนี่เป็นการดัดเสียง และไม่มีใครทราบเรื่องนี้ส่วนสวีเว่ยตัวจริงนั้น ตอนนี้กำลังอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง“ฝ่าบาท สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้กระหม่อมได้รับความไว้วางใจจากจ้าวอ๋องอย่างสมบูรณ์ และจ้าวอ๋องก็มั่นใจว่าเป็นสำนักบัวขาวที่ลอบสังหารเขา ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้”ไม่ผิด เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นการจัดฉากมันเป็นสิ่งที่หลี่เฉินเตรียมการอย่างระมัดระวัง โดยมีเป้าหมายคือหลี่อิ๋นหู่เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่อิ๋นหู่ที่พยายามจะลอบสังหารตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่เฉินจะปล่อยใ
แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่หลี่เฉินก็รู้สึกหนังศีรษะชาทุกครั้งที่เห็นนาง เมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ปฏิกิริยาแรกของหลี่เฉินก็คือตะโกนเรียกใครสักคนมาพานางไปแต่เมื่อคำพูดมาถึงปาก เขากลับเปลี่ยนคำพูด“เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรือ?”สตรีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองหลี่เฉินด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์“เจ้ากำลังกวาดล้างสำนักบัวขาวทั่วประเทศ ยุยงสำนักต่างๆ ในยุทธภพ ประการแรก เจ้าแต่งเรื่องดาบพิฆาตมังกรอะไรนั่นและสั่งการให้เผยแพร่ในยุทธภพ จากนั้นก็สัญญาว่าจะมอบผลกำไรหรือหนังสือศิลปะการต่อสู้ในท้องพระคลังของราชวงศ์ให้ เป็นผลให้สำนักบัวขาวของข้าประสบความสูญเสียอย่างหนัก”“วันนี้ เจ้ายังขอให้สุนัขของเจ้าปลอมตัวเป็นสำนักบัวขาวและไปลอบสังหารจ้าวอ๋อง”“ถ้าการตายของข้าหมายความว่าเจ้าซึ่งเป็นปีศาจสามารถลงนรกไปด้วยกันได้ ข้าจะไม่ลังเลเลย”“ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องไม่น้อยเลยนะ”หลี่เฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับเช่นกัน เขากอดอกกอดอก มองสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือล่ะ?”สตรีศักดิ์สิทธิ์มองไปด้านหลังของหลี่เฉิน สายตาที่เย็นชา จ้องไปยังจุดที่ว่
ทัศนคติที่ก้าวร้าวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลและความพ่ายแพ้ของสำนักบัวขาว หลี่เฉินรู้สึกมั่นใจเนื่องจากสตรีศักดิ์สิทธิ์มาเจรจาเงื่อนไขด้วยตัวเองที่นี่ ก็แสดงให้เห็นว่าสำนักบัวขาวเอนเอียงไปทางตัวเลือกที่สองเพียงแต่ว่าจะต้องมีการพูดคุยถึงเงื่อนไขต่างๆ ต่อหน้าเขา ถ้าเขาไม่ลอกเปลือกออกเสียบ้าง สำนักบัวขาวอาจจะส่งคนมาลอบสังหารเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ “ถ้าอยากอยู่ร่วมกันก็ทำได้”หลี่เฉินพูดออกมาอย่างเริงร่าเขายังริเริ่มที่จะพูดเกี่ยวกับข้อดีของสำนักบัวขาวอีกด้วย“สำนักบัวขาวแต่เดิมใช้คำขวัญฟื้นฟูราชวงศ์ก่อน และก่อความวุ่นวายมาสามร้อยกว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยถูกกวาดล้าง พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้คนหรือแม้แต่ต่างแดน พอโลกโกลาหลจึงค่อยปรากฏขึ้นเพื่อก่อความวุ่นวาย บรรพบุรุษของข้าก็ไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ถึงแม้ว่าข้าอยากจะเห็นพวกเจ้าล่มสลาย แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น”สตรีศักดิ์สิทธิ์มองหลี่เฉินอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททราบเรื่องเหล่านี้ก็ดีแล้ว” “แต่”จู่ๆ หลี่เฉินก็เปลี่ยนหัวข้อและพูดอย่างใจเย็นว่า “แต่ข้าก็มีความสามารถในการทุบตีสำนักบัวขาวอย่างหน
หลี่เฉินต้องการถอดถอนอำนาจและตำแหน่งทั้งหมดของหลี่อิ๋นหู่ จำเป็นต้องผ่านสำนักคุมประพฤติเว้นแต่ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่สามารถใช้อำนาจแห่งราชบัลลังก์บังคับบัญชาได้โดยตรง มิฉะนั้น ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยังต้องคำนึงถึงท่าทีของสำนักคุมประพฤติเรื่องของสำนักคุมประพฤติจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากง่ายตรงที่หากหาคนที่มีอำนาจตัดสินใจถูกต้อง และมอบผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายต้องการ เรื่องนี้ก็สามารถจัดการได้ทันที ยากตรงที่หากสำนักคุมประพฤติยืนกรานขัดขวาง หลี่เฉินก็แทบไม่มีหนทางจัดการกับพวกผู้เฒ่าที่สูงศักดิ์แต่หัวโบราณเหล่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้หลี่เฉินเลือกถูกคน หลี่ชางหลานคือกุญแจสำคัญ และผลประโยชน์ที่เสนอให้ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับการจัดการเรื่องนี้จึงสูงมากในช่วงเย็นของวัน สำนักคุมประพฤติส่งข่าวมาว่าพวกเขายอมรับบทลงโทษทั้งหมดที่ตำหนักบูรพากำหนดแก่หลี่อิ๋นหู่"องค์ชาย ได้ยินว่าครั้งนี้จงเหรินลิ่งต้องจ่ายไม่น้อย สำนักคุมประพฤติยังมีผู้อาวุโสบางคนที่เห็นว่าการกระทำขององค์ชายเป็นการทำร้ายสายเลือดเดียวกัน เกรงว่าฝ่าบาทอาจไม่พอพระทัย"
หลี่เฉินไม่ได้ยืนยันเรียกเขาว่าเสด็จปู่ใหญ่ และก็ไม่ได้เรียกตำแหน่งของเขา แต่เลือกใช้คำว่าผู้อาวุโสหลี่เมื่อปัญหาเรื่องสรรพนามถูกแก้ไขอย่างลงตัว หลี่ชางหลานจึงรับถ้วยชาด้วยสองมือ แล้วยกขึ้นจิบเบาๆหลังจากวางถ้วยชาลง เขากล่าวว่า “ชาดีจริงๆ”หลี่เฉินยิ้มพลางกล่าว “หากผู้อาวุโสหลี่ชอบ ข้าจะให้คนเตรียมไว้ให้ท่านนำกลับไป”หลี่ชางหลานโบกมือ “สุภาพชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ชาดีที่องค์ชายสะสมไว้ ข้าไม่ควรนำไป”“ก็ไม่ได้มีค่าอะไรมาก ก่อนหน้านี้ตอนข้าพระราชทานตำแหน่งท่านอ๋องให้หลี่อิ๋นหู่ เขามอบชานี้มาเป็นของขวัญขอบคุณ”เพียงประโยคเดียว ทำให้มือของหลี่ชางหลานที่กำลังจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มค้างอยู่กลางอากาศเมืองหลวงไม่มีความลับ โดยเฉพาะเหตุการณ์วันนี้ที่หลี่อิ๋นหู่ขึ้นไปเดินบนภูเขาจิ่งซานเพื่อขอพร แต่กลับเป็นต้นเหตุทำให้ราษฎรหลายพันคนต้องเสียชีวิตเรื่องนี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงปั่นป่วนไปหมดแม้ว่าหลี่ชางหลานจะถูกเรียกตัวมาอย่างเร่งรีบ แต่เขาก็รับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทและจ้าวอ๋องได้ขาดสะบั้นลงโดยสิ้นเชิงบัดนี้เมื่อได้ยินชื่อของหลี่อิ๋นหู่จากปากของหลี่เฉิน เขารู้สึกเหมือนมีดเห
"เมื่อครั้งกระหม่อมกวาดล้างหมู่บ้านเหมียว ก็เป็นเพียงฐานที่มั่นหลักของตระกูลโจวเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวจากตระกูลโจวแต่งงานออกไปมากมายจนยากจะนับได้ บุตรหลานของพวกนางหลายคนต่างก็มีอำนาจในมือ หากโจวสิงเจี่ยเปล่งวาจาเรียกหา พวกมันสามารถรวมกำลังคนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น อย่างน้อยก็สามารถฟื้นฟูหมู่บ้านตระกูลโจวขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน"ซานเป่าอธิบายอย่างละเอียด แต่สีหน้าของหลี่เฉินกลับไร้ความรู้สึกผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินกล่าวว่า "ปัญหาของเหมียวเจียงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจลงมือโดยพลการได้ในตอนนี้ แต่โจวสิงเจี่ยและหลี่อิ๋นหู่ร่วมมือกันสังหารราษฎรไปนับพัน รวมถึงหลี่อิ๋นหู่ยังฆ่าองค์ชายเก้า เรื่องเหล่านี้ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้"น้ำเสียงของหลี่เฉินเรียบเฉย "ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ประกาศจับตัวหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ย หน่วยบูรพาต้องไล่ล่าพวกมันอย่างเต็มกำลัง ผู้ใดพบร่องรอยและรายงานเข้ามาจะได้รับรางวัลใหญ่"ซานเป่าได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม "แต่ว่าตำแหน่งของจ้าวอ๋อง"การที่ราชสำนักประกาศจับท่านอ๋อง เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและถือเป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์หลี่เฉินกล่าวเรี
ซานเป่ากัดฟันแน่น จำต้องล้มเลิกการไล่ตามหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ยเขากวาดตามองไปรอบๆ พบว่าฝูงแมลงที่หนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นพื้นกำลังเริ่มถอยกลับ ทิ้งไว้เพียงซากศพจำนวนมากนับพันในคลื่นแมลงครั้งนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่โชคดีหรือมีฝีมือพอจะรอดพ้นจากหายนะได้ ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ รวมถึงต้าหลี่ซื่อชิง หวังฟู่ย่ง ต่างก็กลายเป็นวิญญาณใต้ฝูงแมลงไปทั้งหมดเมื่อฝูงแมลงสลายไป สิ่งที่เผยออกมาก็คือซากศพที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ซากศพเหล่านี้ไม่มีเลือดไหลออกมา แต่เนื้อหนังทั้งหมดถูกแมลงกัดแทะจนขาดวิ่นแทบไม่เหลือชิ้นดีที่โชคร้ายที่สุดคงเป็นหวังฟู่ย่ง ศพของเขาตอนนี้เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น แม้แต่เศษเนื้อขนาดฝ่ามือก็ไม่เหลือกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นของแมลงลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ผสานกับภาพของซากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว เป็นภาพที่สร้างแรงกระแทกให้จิตใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของซานเป่าดำทะมึนจนแทบจะบีบหยดน้ำออกมาได้เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่แล้ว…พระที่นั่งสีเจิ้งหลี่เฉินมองดูซากศพของแมลงสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า กับซานเป่าที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ใบห
ผู้ที่ซุ่มโจมตีมีความชำนาญอย่างยิ่ง ขณะที่เขาจู่โจมออกมาอย่างกะทันหัน ซานเป่าทำได้เพียงบิดร่างหลบเลี่ยงจุดสำคัญ แต่ก็ยังไม่อาจหนีจากฝ่ามือที่พุ่งเข้ากระแทกไหล่ของเขาเสียงกระแทกหนักหน่วงดังขึ้น ท่ามกลางเสียงอุทานของซานเป่า ร่างทั้งสองแยกออกจากกัน ซานเป่าถูกกระแทกจนลอยกระเด็นไปไกลกว่าสิบก้าว เมื่อตกลงสู่พื้นยังต้องถอยหลังอีกสามก้าว แต่ละก้าวหนักแน่นราวขุนเขาถล่ม พื้นดินที่เหยียบย่ำแตกร้าวสะเทือนทันทีที่ซานเป่าตั้งหลักได้ ฝูงแมลงสีดำรอบตัวก็คล้ายได้รับคำสั่ง พวกมันพุ่งโจมตีเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งซานเป่าครางเสียงต่ำ พลังภายในพลุ่งพล่านออกจากร่าง ส่งแรงสั่นสะเทือนกระจายออกไป แมลงที่ไต่ขึ้นบนตัวเขาถูกสังหารจนหมดสิ้น ร่วงหล่นลงบนพื้นแต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจ โลหิตของแมลงที่ถูกฆ่าล่อให้แมลงจำนวนมากยิ่งกว่าถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซานเป่ารู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ เขากลืนลมหายใจลงคอ พลังลมปราณรวมศูนย์ในปาก ก่อนจะเปล่งเสียงร้องกึกก้องเสียงคำรามแหลมสูงดั่งระเบิดเสียง สร้างคลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นพลังกระจายออกไปทุกทิศทาง แมลงทุกตัวที่อยู่ในรัศมีของคลื่นพลังสั่นสะ
เมื่อฝูงแมลงสีดำเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น ก็สร้างความหวาดกลัวอย่างรุนแรงในทันทีเพราะผู้คนพบว่า แมลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่กลัวมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมองมนุษย์เป็นเป้าหมายโจมตีโดยตรงทันทีที่พวกมันไต่ขึ้นบนร่างของผู้ใด ร่างนั้นจะรู้สึกคันอย่างรุนแรงเกินจะทนไหว และเมื่อพยายามใช้มือเกา ก็จะพบว่าแมลงเหล่านี้สามารถปล่อยของเหลวชนิดหนึ่งออกมา ทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงอย่างมาก เพียงเกาเบาๆ ผิวก็ปริแตกกลายเป็นบาดแผลเลือดไหลและเมื่อได้กลิ่นเลือด แมลงพวกนี้ก็ยิ่งคลุ้มคลั่งพวกมันจะแทรกตัวเข้าไปในบาดแผลที่เปิดออก ยิ่งมีมันมากเท่าใด ความคันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จนเจ้าของร่างทนไม่ไหวและเผลอเกาจนแผลขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ ชาวบ้านจำนวนมากล้มลงกลางฝูงแมลงสีดำ แมลงเหล่านี้เลื้อยปกคลุมทั่วร่างผู้เคราะห์ร้าย ภายในพริบตาเดียว ทุกเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็เงียบหายไป ผู้ที่ล้มลงไปจะถูกแมลงปกคลุมจนมิดร่าง และเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ซานเป่ากัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัด"เจียวเจียว หนีไปเร็ว!"ซานเป่าฟาดฝ่ามือออกไป ปลดปล่อยพลังทำลายล้างเปิดเส้นทางออกจากวงล้อมของฝูงแมลง แมลงนับไม่ถ้วนถูก
“สิ่งใดเล่ายากจะปิดปากที่สุด ก็คือเสียงของปวงประชาที่เล่าขานไปทั่วแผ่นดิน!”“องค์รัชทายาทต้องการกำจัดข้า แต่กลับไม่ต้องการให้ถูกตราหน้าว่าฆ่าพี่น้องร่วมสายโลหิต จึงต้องใช้เล่ห์กลมากมาย เขาคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? คิดว่าผู้อื่นล้วนตาบอดกระนั้นหรือ!?”หลี่อิ๋นหู่ที่อยู่ในสภาพคล้ายคนเสียสติ กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ซานเป่าเพียงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จ้าวอ๋อง อย่าได้ทำตัวไร้สาระต่อหน้าฝูงชนไปมากกว่านี้เลย มีประโยชน์อันใด? หากพูดถึงเรื่องฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแล้ว จะมีผู้ใดเลือดเย็นและเหี้ยมโหดไปมากกว่าท่านที่ลงมือสังหารน้องชายแท้ๆ ของตนเองอีกหรือ?”สิ้นคำ ซานเป่าดูเหมือนไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป เขาก้าวเท้าเดินตรงไปหาหลี่อิ๋นหู่ยิ่งเดินยิ่งเร่งฝีเท้า เพียงก้าวไม่กี่ครั้ง ก็เข้ามาอยู่ในระยะไม่ถึงสองจั้งจากหลี่อิ๋นหู่หวังฟู่ย่งเห็นซานเป่าเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของตนเอง และคิดจะลงมือจับกุมหลี่อิ๋นหู่ให้ได้ จึงหวาดกลัวจนแทบวิญญาณหลุดจากร่างภายในดวงตาของซานเป่าเต็มไปด้วยประกายคมกล้า เขารู้ดีว่าระยะห่างนี้เพียงพอให้ตนเองจัดการทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ“อย่าหวังเลย!”หลี่อิ๋นหู่ตะโกนลั่
สำหรับหลี่อิ๋นหู่ในยามนี้ เรื่องของแผนการในอนาคตหรือการรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในมือ ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าเขารู้ดีว่าหากตนถูกจับตัวไปโดยไม่มีทางขัดขืน สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือหายนะอันมิอาจหลีกเลี่ยงถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่การแย่งชิงแผ่นดินกับองค์รัชทายาทเลย แม้แต่การมีชีวิตรอดไปจนเห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาดังนั้นหลี่อิ๋นหู่จึงตัดสินใจทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของตนเองและขั้นตอนแรก คือการทำให้หวังฟู่ย่งไม่สามารถเดินทางไปยังตำหนักบูรพาได้หวังฟู่ย่งมีสีหน้าลำบากใจ เขาพูดเสียงเบา “จ้าวอ๋อง ข้าน้อยเองก็ไม่อยากไป แต่หากข้าขัดขืนคำสั่งของตำหนักบูรพาตรงๆ เกรงว่าเหล่าหน่วยบูรพาจะมีข้ออ้างในการสังหารข้า ณ ที่นี้ทันที ถึงตอนนั้นเราทั้งสองคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าเดิม”“เช่นนั้นแล้ว จ้าวอ๋องโปรดเดินทางไปกับข้าก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์เป็นขั้นๆ หากแย่ที่สุด อย่างน้อยเราก็สามารถถ่วงเวลาให้ผู้อาวุโสได้เตรียมการรองรับไว้ ผู้อาวุโสไม่มีทางนั่งมองให้จ้าวอ๋องถูกตำหนักบูรพากลืนกินไปแน่”“เจ้าหุบป
เพียงแค่เป็นบุคคลสำคัญผู้มีอำนาจ ย่อมต้องมีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนที่มีสถานะพิเศษอยู่เคียงข้างเช่น ซานเป่าผู้ติดตามข้างกายฮ่องเต้องค์ก่อน หรือวั่นเจียวเจียวที่อยู่เคียงข้างหลี่เฉินในตอนนี้วั่นเจียวเจียว แม้จะมีตำแหน่งเป็นข้าราชสำนักสตรี แต่เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกให้ติดตามหลี่เฉิน นางก็ไม่ได้ถูกบรรจุเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักต้าฉินกล่าวคือ วั่นเจียวเจียวไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะขุนนางในระบบหากจะกล่าวให้ถูกต้อง วั่นเจียวเจียวขึ้นตรงต่อตำหนักบูรพา ได้รับเงินเดือนจากตำหนักบูรพา และหน้าที่ของนางโดยแท้จริงก็คือการรับใช้ข้างกายองค์รัชทายาทแต่เพราะนางอยู่ใกล้ชิดองค์รัชทายาท วันหนึ่งสิบสองชั่วยาม นอกจากเวลานอนแล้ว นางแทบไม่ห่างจากพระองค์เลย ดังนั้น แม้จะไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ แต่กลับเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากไม่มีผู้ใดอยากขัดใจคนที่ติดตามองค์รัชทายาทตลอดเวลา เผลอๆ ในช่วงเวลาสำคัญ นางอาจกล่าวเพียงประโยคเดียวก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตผู้คนได้ยิ่งไปกว่านั้น หากวั่นเจียวเจียวปรากฏตัวอยู่ที่ใด ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนขององค์รัชทายาท คำพูดของนาง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดวั่นเจียวเจียวม