“ในความคิดของท่านราชเลขา ความสามารถทางการเมืองและบุ๋นบู้ของข้าเทียบจักรพรรดิไท่จู่ได้หรือเปล่า หรือว่าความสามารถทางการเมืองของท่านราชเลขา ดีกว่าท่านราชเลขาคนแรกของราชวงศ์นี้?” คำพูดของหลี่เฉินที่เตรียมไว้นานแล้ว ทำให้จ้าวเสวียนจีพูดไม่ออกไม่มีทางเลือก หัวข้อนี้ใหญ่เกินไปสิ่งที่หลี่เฉินนำมาเปรียบเทียบก็คือราชเลขาคนแรกของราชวงศ์ที่ถูกลือกันว่าเป็นครึ่งเซียนหรือจักรพรรดิไท่จู่ ไม่ว่าจะเป็นคนไหน ใช่คนที่เขาจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ?เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจียังคงเงียบ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “สิ่งที่เรียกว่าสูงต่ำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง ในความคิดเห็นของข้า ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ชาวนา ช่างฝีมือ หรือพ่อค้า ตราบใดที่มีบทบาทช่วยประเทศและสังคมได้ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ประเทศขาดไม่ได้”“พ่อค้าที่น่ารังเกียจที่สุดในสายตาของเจ้า แต่ภาษีพ่อค้าที่พวกเขาจ่ายให้ คิดเป็นสามส่วนของรายได้ภาษีของประเทศ แค่คุณูปการนี้ ก็ดีกว่าพวกนักวิชาการที่อ่านหนังสือของนักปราชญ์แค่ปีสองปี ก็กล้าวิพากษ์วิจารณ์ราชสำนักหลายเท่า”“ราชสำนักเปิดธนาคารไม่ใช่เพื่อทำธุรกิจ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ
เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจีพยายามถอดตัวเองออกจากเรื่องนี้ โดยมั่นใจว่าโครงการธนาคารจะจบอย่างเลวร้าย จึงชิงตัดความเกี่ยวข้องล่วงหน้าหลี่เฉินก็หัวเราะเยาะและไม่สนใจตราบใดที่จ้าวเสวียนจีพยักหน้าอนุมัติโครงการนี้ ยิ่งมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับธนาคารน้อยลงเท่าไร ก็ยิ่งดีต่อเขามากขึ้นเท่านั้นสิ่งนี้จะตัดความเป็นไปได้ที่จ้าวเสวียนจีจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง โดยหวังจะเด็ดลูกท้อ รอจนกว่าทุกคนตระหนักว่าหลี่เฉินได้สร้างสัตว์ประหลาดชนิดใดขึ้นมา ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว มันจะกลายเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของหลี่เฉินในการควบคุมอาณาจักรทั้งหมดตั้งแต่การผลักดันมันเทศไปจนถึงการเปิดธนาคาร ในสายตาของเหล่าข้าราชบริพาร นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าองค์รัชทายาททำงานไม่ถูกต้องแต่มีเพียงหลี่เฉินเท่านั้นที่รู้ว่าสองสิ่งนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเขา ในการควบคุมอำนาจหลักของประเทศ นอกเหนือจากราชกิจของรัฐมันเทศจัดการปากท้องของผู้คน ส่วนธนาคารก็จัดการกระเป๋าสตางค์ของผู้คนทำสองสิ่งไปพร้อมกัน ตราบใดที่ทั้งสองสิ่งนี้ประสบความสำเร็จ แม้หลี่เฉินจะยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิไร้มงกุฎในจักรวรรดิน
“ข้าทราบแล้ว”หลี่อิ๋นหู่โค้งคำนับและพูดอย่างจริงใจว่า “คราวนี้ข้าจะไม่ทำให้ท่านราชเลขาผิดหวังอีก”จ้าวเสวียนจีพูดช้าๆ ว่า “ผิดหวังหรือไม่มันไม่สำคัญ เพียงแต่ท่านอ๋องมีความทะเยอทะยาน แต่กลับเร่งรีบทำสิ่งต่างๆ จนทั้งหมดล้วนสูญเปล่า สิ่งต่างๆ ในราชสำนักไม่แน่นอน จึงไม่มีการบ่งชี้ว่าเจ้าหรือข้าที่ผิดอย่างเด็ดขาด ท่านอ๋องลองกลับไปใคร่ครวญดูเถอะ ความอดทนของข้ามีจำกัด”แม้จะถูกสั่งสอนต่อหน้า แต่หลี่อิ๋นหู่ก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมา เขาพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นท่านราชเลขาเชิญพักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวก่อน”หลังออกมาจากจวนจ้าว หลี่อิ๋นหู่ก็นั่งรถม้ากลับไปที่จวนของตัวเองเมื่อกลับมาที่จวน หลี่อิ๋นหู่ก็วางแผนที่จะไปพบหลงไหวอวี้ในทันทีเพียงก้าวเข้ามาในจวน เขาก็พลันขมวดคิ้วทันที กลิ่นเลือด กลิ่นเลือดที่รุนแรงมากกลิ่นเลือดดังกล่าว ทำให้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาขณะจะหันหลังกลับและจากไป เขากลับถูกชายชุดดำสองคนที่อยู่ด้านหลังตัวเองขวางไว้ “ท่านอ๋องกำลังจะไปไหน?”ชายชุดดำคนหนึ่งเผยฟันขาวขณะพูด ดาบในมือเปื้อนไปด้วยเลือดหลี่อิ๋นหู่หายใจเข้าลึกๆ รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติชายชรา
คนที่ตะโกนคือองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพานี่เป็นครั้งแรกที่หลี่อิ๋นหู่รู้สึกว่าเสียงขององครักษ์เสื้อแพรช่างไพเราะเพราะพริ้งมากเขาชี้ไปที่นักฆ่าทั้งสี่คนในชุดดำทันทีและตะโกนว่า “เร็วเข้า นักฆ่าพวกนี้จะลอบสังหารข้า รีบจับพวกมัน ไม่ว่าจับเป็นหรือตาย ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”เมื่อมีของรางวัลจึงมีผู้กล้า เมื่อองครักษ์เสื้อแพรได้ยินดังนั้นก็รีบส่งสัญญาณให้กับคนอื่นๆ ทันใดนั้นองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่นี่ชายชุดดำทั้งสี่เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาก็สบตากัน ก่อนจะโยนความคิดสังหารหลี่อิ๋นหู่ทิ้งไปและพากันหลบหนีการลอบสังหารโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าครั้งนี้ ก็สิ้นสุดลงอย่างเร่งรีบครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่อิ๋นหู่มองดูศพที่นอนกระจัดกระจายอยู่ในจวนด้วยสีหน้ามืดมน “ท่านอ๋อง พวกนักฆ่าหลบหนีไปแล้ว แต่พวกเราพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรกำลังติดตามอยู่ คาดว่าน่าจะมีข่าวบ้าง”เมื่อเห็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามาหา หลี่อิ๋นหู่ก็ระงับความเดือดดาลในใจแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนองครักษ์เสื้อแพรแล้ว”ขณะที่พูด หลี่อิ๋นหู่ก็หยิบตั๋วเงินออกมาและพูดว่า “รับไปซะ แล้วพาพี่น้อ
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหลี่อิ๋นหู่ สวีเว่ยก็เผยสีหน้ากระดากอายออกมา เขาอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ท่านอ๋องโปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมออกไปข้างนอกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยังอยากจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?” หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วถามสวีเว่ยกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า “คือเสี่ยวเถาหงของลานอี๋ชุน...กับกระหม่อมนัดกันว่าจะพบกันวันนี้...ถ้าหากไม่ไป กระหม่อมเกรงว่าจะเสียใจ”หลี่อิ๋นหู่ได้ยินดังนั้นจึงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ข้าก็ผู้ชายเหมือนกัน ย่อมเข้าใจ”“ในเมื่อเจ้าชอบสตรีนางนี้ ก็ใช้เงินบางส่วนเพื่อไถ่นางมาอยู่ข้างกายเถอะ ข้าจะให้คนทำเรือนเล็กๆ ให้พวกเจ้าอยู่”สวีเว่ยกล่าวอย่างตื้นตันว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” เมื่อเห็นท่าทางสำนึกบุญคุณของสวีเว่ย หลี่อิ๋นหู่ก็โล่งใจมากขึ้นเรื่อยๆถ้าสวีเว่ยเป็นคนทรยศจริงๆ คงไม่มีทางที่เขาจะออกไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ส่วนเสี่ยวเถาหง หากพวกเขามีความรู้สึกต่อกันจริงๆ ก็ให้มาอยู่ในจวนอ๋อง นี่จะเป็นวิธีตรวจสอบและควบคุมสวีเว่ยได้อย่างดีเยี่ยม หลี่อิ๋นหู่ครุ่นคิดถึงหลายสิ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็ออกมาจากห้องด้วยความสดชื่น และให้ความสนใจเป็นพิเศษกับห้องของเสี่ยวเถาหงเมื่อได้ยินว่าสวีเว่ยยังอยู่ข้างใน และแม่เล้าก็มาถึงแล้ว ซึ่งทั้งสองกำลังเจรจาไถ่ตัวเสี่ยวเถาหงกันอยู่ เมื่อรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป เขาจึงออกจากลานอี๋ชุนทันที และกลับไปที่จวนอ๋องเพื่อรายงานสิ่งที่เขาเห็นแต่เขาไม่รู้ว่าในห้องของเสี่ยวเถาหงที่เขาแอบฟังอยู่นั้น มีแม่เล้าและเสี่ยวเถาหงอยู่ในนั้นจริงๆ แต่อีกคนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ และเสียงที่ออกมาจากปากของเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเสียงของสวีเว่ยนี่เป็นการดัดเสียง และไม่มีใครทราบเรื่องนี้ส่วนสวีเว่ยตัวจริงนั้น ตอนนี้กำลังอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง“ฝ่าบาท สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้กระหม่อมได้รับความไว้วางใจจากจ้าวอ๋องอย่างสมบูรณ์ และจ้าวอ๋องก็มั่นใจว่าเป็นสำนักบัวขาวที่ลอบสังหารเขา ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้”ไม่ผิด เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นการจัดฉากมันเป็นสิ่งที่หลี่เฉินเตรียมการอย่างระมัดระวัง โดยมีเป้าหมายคือหลี่อิ๋นหู่เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่อิ๋นหู่ที่พยายามจะลอบสังหารตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่เฉินจะปล่อยใ
แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่หลี่เฉินก็รู้สึกหนังศีรษะชาทุกครั้งที่เห็นนาง เมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ปฏิกิริยาแรกของหลี่เฉินก็คือตะโกนเรียกใครสักคนมาพานางไปแต่เมื่อคำพูดมาถึงปาก เขากลับเปลี่ยนคำพูด“เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรือ?”สตรีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองหลี่เฉินด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์“เจ้ากำลังกวาดล้างสำนักบัวขาวทั่วประเทศ ยุยงสำนักต่างๆ ในยุทธภพ ประการแรก เจ้าแต่งเรื่องดาบพิฆาตมังกรอะไรนั่นและสั่งการให้เผยแพร่ในยุทธภพ จากนั้นก็สัญญาว่าจะมอบผลกำไรหรือหนังสือศิลปะการต่อสู้ในท้องพระคลังของราชวงศ์ให้ เป็นผลให้สำนักบัวขาวของข้าประสบความสูญเสียอย่างหนัก”“วันนี้ เจ้ายังขอให้สุนัขของเจ้าปลอมตัวเป็นสำนักบัวขาวและไปลอบสังหารจ้าวอ๋อง”“ถ้าการตายของข้าหมายความว่าเจ้าซึ่งเป็นปีศาจสามารถลงนรกไปด้วยกันได้ ข้าจะไม่ลังเลเลย”“ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องไม่น้อยเลยนะ”หลี่เฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับเช่นกัน เขากอดอกกอดอก มองสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือล่ะ?”สตรีศักดิ์สิทธิ์มองไปด้านหลังของหลี่เฉิน สายตาที่เย็นชา จ้องไปยังจุดที่ว่
ทัศนคติที่ก้าวร้าวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลและความพ่ายแพ้ของสำนักบัวขาว หลี่เฉินรู้สึกมั่นใจเนื่องจากสตรีศักดิ์สิทธิ์มาเจรจาเงื่อนไขด้วยตัวเองที่นี่ ก็แสดงให้เห็นว่าสำนักบัวขาวเอนเอียงไปทางตัวเลือกที่สองเพียงแต่ว่าจะต้องมีการพูดคุยถึงเงื่อนไขต่างๆ ต่อหน้าเขา ถ้าเขาไม่ลอกเปลือกออกเสียบ้าง สำนักบัวขาวอาจจะส่งคนมาลอบสังหารเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ “ถ้าอยากอยู่ร่วมกันก็ทำได้”หลี่เฉินพูดออกมาอย่างเริงร่าเขายังริเริ่มที่จะพูดเกี่ยวกับข้อดีของสำนักบัวขาวอีกด้วย“สำนักบัวขาวแต่เดิมใช้คำขวัญฟื้นฟูราชวงศ์ก่อน และก่อความวุ่นวายมาสามร้อยกว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยถูกกวาดล้าง พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้คนหรือแม้แต่ต่างแดน พอโลกโกลาหลจึงค่อยปรากฏขึ้นเพื่อก่อความวุ่นวาย บรรพบุรุษของข้าก็ไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ถึงแม้ว่าข้าอยากจะเห็นพวกเจ้าล่มสลาย แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น”สตรีศักดิ์สิทธิ์มองหลี่เฉินอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททราบเรื่องเหล่านี้ก็ดีแล้ว” “แต่”จู่ๆ หลี่เฉินก็เปลี่ยนหัวข้อและพูดอย่างใจเย็นว่า “แต่ข้าก็มีความสามารถในการทุบตีสำนักบัวขาวอย่างหน
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
กงฮุยอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบเรียบๆ “การบรรลุถึงระดับเซียนบนดินนั้น พรสวรรค์สำคัญกว่าความพยายาม และที่สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือโชคชะตา การฝึกฝนเพียงลำพังไม่อาจพาให้เข้าสู่ระดับนี้ได้ หากสวรรค์ไม่มอบโอกาส หรือหากตนเองไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกหนักเพียงใดก็ไม่มีทางไปถึง และเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันของสำนักบัวขาว ก็คือผู้ที่บรรลุถึงระดับเซียนบนดิน”“ในระดับนี้ เขาสามารถอยู่ในสภาพที่คมดาบและหอกธรรมดาทำอะไรไม่ได้ ใช้ดอกไม้หรือใบไม้เป็นอาวุธสังหารได้ทุกชนิด เพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากพลังลมปราณออกมาก็สามารถสังหารผู้อื่นได้”คำอธิบายของกงฮุยอวี่ทำให้หลี่เฉินรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในทันที เขาชี้ไปที่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบก่อนถาม “ถ้าหากเจ้าสำนักของเจ้ามาที่นี่ เหล่าองครักษ์เหล่านี้จะสามารถต้านทานเขาได้กี่คน?”กงฮุยอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินคิดอะไร นางตอบเสียงเรียบว่า “หากเป็นเพียงนักยุทธ์ธรรมดา ต่อให้มาหลายร้อยก็เป็นเพียงการมอบชีวิต แต่หากเป็นกองทัพที่มีการฝึกอย่างดีและครบเครื่อง ทั้งกำลังพลและอาวุธ เพียงไม่กี่พันก็สามารถทำให้เซียนบนดินต้องจบชีวิตได้”เมื่อไ
เป็นที่พิสูจน์ว่า หากต้องการยั่วโทสะหญิงสาว เพียงแค่เรียกนางด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังเท่านั้นก็เพียงพอแม้ว่ากงฮุยอวี่จะเป็นคนเยือกเย็นปานใด แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เซียนที่ลอยอยู่เหนือวิถีแห่งโลกียะ และยิ่งถ้าหากแม้แต่เซียนจริงๆ ได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากหลี่เฉิน ก็คงอดที่จะเกิดโทสะไม่ได้เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ทำไม เจ้าโปรดปรานการนั่งอยู่บนหลังคามากนักหรือ?”กงฮุยอวี่ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงนั่งสมาธิต่อ โดยไม่สนใจหลี่เฉินหลังจากนางหลับตา หลี่เฉินกลับเงียบไปอย่างน่าประหลาดเดิมที กงฮุยอวี่คิดว่าหลี่เฉินคงเบื่อและเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางกลับเห็นหลี่เฉินสั่งให้คนยกบันไดขึ้นมา และเขากำลังปีนบันไดขึ้นมาบนหลังคากงฮุยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูหลี่เฉินที่กำลังปีนขึ้นมา และเริ่มชั่งใจว่าควรจะลุกออกไปจากที่นี่หรือไม่แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หลี่เฉินก็ขึ้นมาถึงบนหลังคาแล้ว“บนนี้ วิวทิวทัศน์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในที่สูงอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นมาบนหล
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า