“เรื่องนี้มีข้อดีสามประการ”“ประการที่หนึ่ง ทุ่งนาร้างสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จะได้ไม่ไร้คนมาปลูกนา”“ประการที่สอง เราสามารถกำจัดผู้ประสบภัยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่รวมตัวกันอยู่ในมณฑลซีซาน แบ่งที่นาให้กับพวกเขา เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้”“ประการที่สาม เรื่องนี้จะส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่มกบฏ ทำให้พวกเขาวางอาวุธลง หยิบจอบขึ้นมา และหยุดการก่อกบฏ ท้ายที่สุดแล้วกฎหมายไม่ได้ลงโทษมวลชน และคนที่ราชสำนักต้องการจะลงโทษคือพวกผู้นำในการก่อกบฏ ไม่ใช่ชาวนาเหล่านี้” “แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อย”“ประการที่หนึ่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์นี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจากการสังหารหมู่ที่ด่านอวี้เหมิน เมืองชายแดนหลายแห่งเกือบจะกลายเป็นเมืองผี ราชสำนักจึงย้ายคน 300,000 คนไปอาศัยอยู่ที่นั่นและแบ่งพื้นที่ทำนา แต่ครั้งนั้นและครั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้วแตกต่างกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไม่มีตัวอย่างในการแบ่งที่นาใหม่หลังภัยพิบัติ มิหนำซ้ำ ถ้าหากใช้วิธีการนี้จริงๆ แล้วมณฑลอื่นๆ ทั่วทั้งจักรวรรดิจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่ามณฑลซีซานจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามณฑลอื่นจะเบากว่า”“ประการที่สอง หากแบ่งที
เมื่อโจวผิงอันเห็นหลี่เฉินเรียกชื่อของเขา เขาก็ประสานมือขึ้นแล้วพูดว่า “กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอของใต้เท้าจ้าวเหอซาน แบ่งที่นา!” แม้ว่าสวีฉังชิงและกวนจือเหวยจะคัดค้าน แต่พวกเขาก็ทำอย่างอ้อมค้อมและมีไหวพริบแต่เมื่อเห็นโจวผิงอันแสดงทัศนคติเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด ท่าทางของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปสวีฉังชิงกล่าวเสียงแข็งว่า “ใต้เท้าโจวมีความคิดเห็นอันยอดเยี่ยมอะไรหรือ?”ตัวเองติดตามองค์รัชทายาทมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่รองเสนาบดีกรมครัวเรือน ยังไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นสักที แต่โจวผิงอันผู้นี้เข้ารับราชการปุ๊บก็ได้เป็นเสนาบดีแล้ว กุมอำนาจขนาดใหญ่ไว้ในมือ กลายเป็นปาฏิหาริย์ที่ยังมีชีวิตของเวทีการเมืองต้าฉินดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่สวีฉังชิงและกวนจือเหวยจะรู้สึกพอใจ พวกเขาไม่กล้าแสดงความคิดต่อหน้าตำหนักบูรพา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโจวผิงอัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ให้ดูกวนจือเว่ยพูดเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าโจวเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ จะต้องมีคำพูดที่น่าทึ่งอยู่แน่ๆ ข้ากำลังล้างหูฟัง”หลี่เฉินมองเห็นความขัดแย้งระหว่างทั้งสามคน แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปแทรกแซงสำหรับเบื้องบนแล้ว
หลี่เฉินกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็สมเหตุสมผลดี แต่แล้วการต่อต้านจากเหล่าขุนนางล่ะ? เรื่องการแบ่งที่ดิน เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากเกินไป และกระตุ้นให้ทุกฝ่ายต่อต้าน จะจัดการอย่างไร?”เห็นได้ชัดว่าโจวผิงอันได้พิจารณาประเด็นนี้อย่างชัดเจนแล้ว เขากล่าวว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่ชนะใจผู้คนได้ก็จะชนะใต้หล้า และใจของผู้คนก็แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามหัวใจของประชาชนก็คือหัวใจของคนในใต้หล้า แต่สายตาของประชาชนนั้นคับแคบ และสามารถถูกหลอกได้ง่ายด้วยข่าวลือ ส่วนหัวใจของขุนนางนั้น แม้จะมีหัวใจของประชาชนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางก็มีความรู้สึกส่วนตัว จึงจำเป็นจะต้องมีคนดีมาคอยชี้นำ”“เรื่องนี้มีอุปสรรคมากมายจริงๆ พูดได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็จะถูกเหล่าขุนนางรุมโจมตี ดังนั้นฝ่าบาทต้องไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเอง”“ผู้ชี้นำจะต้องมีสถานะที่สูงพอ และมีบารมีเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจได้ ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องรอให้มันเกิดขึ้น”หลี่เฉินถาม “เจ้ามีใครจะแนะนำไหม?”โจวผิงอันโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมองทุกอย่างอย่างชัดแจ้ง ย่อมต้องมีคนในใจอยู่แล้ว กระหม่อมไม่กล้าพูดไร้สาร
ซานเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เกรงว่า...อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ”หลี่เฉินเลิกคิ้วและพูดว่า “ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เขาตกลงรับราชการ ดูสิ เจิ้งเป่าหรงก็มาจากเวยไห่เว่ยเช่นกัน แต่ก็มาถึงเมืองหลวงเพื่อเข้ารับตำแหน่งในวันรุ่งขึ้นได้”“ต่อให้ถานไถจะเดินทางช้าแค่ไหน สัมภาระมากมายเพียงใด ก็ควรจะคืบคลานจากเวยไห่เว่ยมายังเมืองหลวงในครึ่งเดือนได้แล้ว ยังจะมาขอเวลาอีกสักพักงั้นเหรอ?”ซานเป่ายิ้มอย่างขมขื่น “ท่านจิ้งจือผู้นี้ มีหนังสือที่ซ่อนอยู่ในบ้านซึ่งสามารถใส่รถได้ถึงยี่สิบคัน แค่จัดหนังสือก็ใช้เวลาไปหกเจ็ดวันแล้ว”“ได้ยินมาว่าตามสถาบันศึกษาอื่นๆ ของเขามีหนังสือซ่อนไว้มากกว่านี้ ซึ่งเขาได้กำชับให้คนของเขาไปขนพวกมันทั้งหมดมาที่เมืองหลวง”“นอกจากนี้ ความลับที่ว่าเขาเข้ารับราชการก็ถูกเปิดเผยไปแล้ว จึงมีบัณฑิตและนักวิชาการนับไม่ถ้วน พากันแห่มาแสดงความยินดีกับเขา”“ตลอดการเดินทางของท่านจิ้งจือ มีพวกนักวิชาการคอยรายล้อม วันหนึ่งสามารถเดินทางได้ถึงสามสิบลี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”หลี่เฉินนวดขมับแล้วกล่าวว่า “ตาเฒ่าผู้นี้ช่างลำบากจริงๆ และการจะสั่งให้เขารีบมาที่เมืองหลวงก็เป
“หลังจากกระหม่อมกลับไปแล้วจะดำเนินการวางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งกระหม่อมเคยประมาณไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มันจะช่วยราชสำนักประหยัดเงินไปได้หนึ่งปี”“แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้น[footnoteRef:1]ซึ่งกระหม่อมก็ทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้” [1: ขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้น หมายถึง เพิ่มรายได้] หลี่เฉินได้ฟังก็เหลือบมองสวีฉังชิง จากนั้นก็พูดว่า “การลดค่าใช้จ่ายมีแต่จะทำให้คนขุ่นเคือง ไม่ว่าเจ้าจะตัดค่าใช้จ่ายส่วนไหนก็ตาม มันจะดึงดูดแรงต่อต้าน” สวีฉังชิงกัดฟันพูดว่า “แต่ท้องพระคลังว่างเปล่า พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน กระหม่อมไม่มีทางเลือก ได้แต่ต้องทนรับการตำหนิ” หลี่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องที่สวีฉังชิงจะต้องแบกรับคำด่าคนเบื้องล่างรับความผิดแทนเจ้านาย มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ แต่สิ่งที่เขากำลังพิจารณาก็คือขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้นแม้ว่าตัวเขาจะได้รับเงินจำนวนมากจากงานแต่งงานของเขา แต่เงินจำนวนนี้ก็ถูกใช้ไปสร้างราชบัณฑิตยสถานแล้วซึ่งเงินจำนวนนี้ไม่สามารถโยกย้ายได้ มิฉะนั้นถานไถจิ้งจือจะเป็นคนแร
เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินได้ตัดสินใจไปแล้ว สวีฉังชิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่ไม่ได้โต้แย้งตรงๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องลำบากใจก็คงจะเป็นตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น สวีฉังชิงก็ยังคงพูดว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงยืนกรานที่จะเปิดธนาคาร ถึงแม้ว่าธนาคารจะมีเงินมากมาย แต่มันก็เป็นของผู้ฝากเงิน เท่าที่ข้ารู้ คนที่เปิดธนาคารไม่ได้กำไรมากนัก และยังต้องแบกรับความเสี่ยงในการฝากเงินอีก หากมีการสูญหายหรือถูกขโมย ทางธนาคารก็ต้องรับผิดชอบ”สวีฉังชิงไม่เข้าใจ แต่หลี่เฉินนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนธนาคารคืออะไร? นี่มันธนาคาร!ธนาคารไม่สามารถทำเงินได้? นั่นไม่ใช่เรื่องตลกเหรอ!ดูเผินๆ ถึงแม้ว่าการขอให้คนฝากเงินและจ่ายดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินออมนั้น เป็นเรื่องที่ขาดทุนมากแต่ธนาคารสามารถรับกระแสเงินสดมหาศาลได้ แม้ว่าธนาคารจะรับผิดชอบเพียงการดูแลความปลอดภัย แต่เมื่อเงินของประชาชนถูกฝากไปแล้ว เงินนั้นจะไม่ถูกถอนออกไป เว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นเมื่อธนาคารได้รับกระแสเงินสดจำนวนมากเช่นนี้ ก็สามารถนำเงินไปต่อยอดได้ เช่น การกู้ยืม ดอกเบี้ยเงินกู้มีโอกาสทางธุรกิจมากมายธุรกิจนี้เป็นเรื่องยา
“มีกฎหมายในราชวงศ์ของเราที่กำหนดให้ดอกเบี้ยรายเดือนสำหรับเงินส่วนตัว หนี้ หรือทรัพย์สินจำนำจะต้องไม่เกินสามส่วน ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายนี้จะถูกต้องลงโทษด้วยการโบยสี่สิบไม้ และกำไรที่เหลือจะถูกบันทึกว่าเป็นของที่ถูกขโมย ในกรณีที่ร้ายแรงจะถือเป็นความผิดฐานลักขโมย และจะถูกโบยหนึ่งร้อยไม้”“นั่นเป็นดอกเบี้ย 3 ส่วน หากวงเงินกู้มีขนาดใหญ่พอและรักษาหนี้เสียให้เหลือน้อยที่สุด กำไรนี้ก็เพียงพอสำหรับราชสำนัก ที่จะบรรเทาการขาดดุลได้อย่างมาก”สวีฉังชิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในฐานะพ่อบ้านใหญ่ที่ดูแลถุงเงินของทางการ เขาเบื่อหน่ายกับการถูกตามตื้อเพื่อเงินทุกวัน เพราะในกระเป๋านั้นไม่มีเงินเลยสักกะเฟินเดียว“พระปรีชาของฝ่าบาทคือพรของใต้หล้าและปวงประชา! ”หลี่เฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้รับคำชมจากใจของสวีฉังชิง“ไปเรียกหลิวซือฉุนมาที่ตำหนักบูรพา”ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิวซือฉุนได้มาถึงพระที่นั่งสีเจิ้งของตำหนักบูรพา“หม่อมฉันหลิวซือฉุน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท” เรือนร่างของหลิวซือฉุนยังคงมีเสน่ห์น่าดึงดูดเช่นเคย หลี่เฉินนั่งอยู่ด้านบนและมองลงมาที่หลิวซือฉุน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องมาก
“เจ้าลองคิดดูสิ เรื่องนี้ถ้าตระกูลหลิวทำไม่ได้ เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไป คงไม่มีพ่อค้าคนใดในใต้หล้าจะปฏิเสธโอกาสที่จะได้ร่วมมือกับราชสำนักโดยตรง แม้จะเห็นชัดๆ ว่ายังขาดเงินอีกหกล้านตำลึง แต่ก็คงมีคนจำนวนมากนำเงินมาให้”หลี่เฉินมองไปที่หลิวซือฉุนด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วพูดว่า “เจ้าคิดให้ดีๆ”หลิวซือฉุนกัดฟัน นางรู้ว่าสิ่งที่หลี่เฉินพูดนั้นเป็นความจริงสังคมทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้า โดยข้าราชการขุนนางเป็นอันดับแรก และชาวนาเป็นอันดับสอง มีเพียงพ่อค้าเท่านั้นที่ไม่ว่าพวกเขาจะหาเงินได้มากแค่ไหน แต่สถานะทางสังคมของพวกเขาก็ต่ำที่สุดไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน แต่ก็ต้องสวมผ้ากระสอบเมื่อออกไปข้างนอกอยู่ดี ใครก็ตามที่กล้าสวมผ้าไหมออกไปจะถูกแจ้งความกับทางการ สถานเบาโดนโบยสามสิบไม้ สถานหนักคือจำคุกนอกจากนี้ ระบบทะเบียนบ้านของต้าฉินยังเข้มงวดมาก เมื่อเข้าสู่ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรุ่นต่อไปจะเปลี่ยนใจได้ลูกหลานของพ่อค้าก็เป็นได้แค่พ่อค้า แม้แต่คุณสมบัติที่จะซื้อที่ดินสักผืนเพื่อเป็นชาวนาก็ไม่มี ส่วนเจ้าของที่ดินรายใหญ่เหล่าน
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า
บางครั้ง คำพูดก็เป็นอาวุธที่ทำร้ายได้ลึกยิ่งกว่าคมดาบโดยเฉพาะเมื่อใช้จัดการกับคนอย่างเย่ลู่กู่จ้านฉีเขาเคยอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาต้องอดทนต่อความอัปยศแต่หลังจากถูกนำตัวมายังเมืองหลวงต้าฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง ความลำบากใจประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นเพียงเชลยศึกถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถือดีว่าหลี่เฉินจะไม่ฆ่าเขา และพยายามรักษาศักดิ์ศรีในฐานะท่านอ๋องเอาไว้แต่ศักดิ์ศรีนั้นถูกหลี่เฉินบดขยี้จนป่นปี้เย่ลู่กู่จ้านฉีจ้องหลี่เฉินด้วยสายตาแข็งกร้าว หากไม่ใช่เพราะกำลังพลด้อยกว่า เขาคงได้ฉีกหลี่เฉินเป็นชิ้นๆ ไปแล้วเขาแสยะยิ้มเยือกเย็น ก่อนเอ่ยว่า "ดีๆๆ! แต่หากข้าจับโอกาสได้สักครั้ง ข้าจะบีบกระดูกเจ้าทีละข้อจนแหลกคามือ!""พูดจาข่มขู่ ใครๆ ก็พูดได้"หลี่เฉินหัวเราะเยาะ พลางกล่าวว่า "หากการพูดเพียงอย่างเดียวทำให้ชนะได้ แคว้นเหลียวของเจ้าไม่ต้องเลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าแล้ว แค่นั่งอยู่ในบ้านแล้วปล่อยคำพูดลอยลมออกไป ก็คงครองแผ่นดินได้ทั้งปวง"กร็อบเย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วลั่นเสียงดังเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ม
การมาถึงของหลี่เฉิน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรในบริเวณตำหนักบูรพาคุกเข่าลงราวกับคลื่นลูกใหญ่กงฮุยอวี่ที่อยู่บนหลังคาเหลือบมองหลี่เฉินเพียงครู่เดียว ก่อนจะหมุนตัวหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยหญิงผู้นี้ยังคงเย็นชา และดูเหมือนจะไม่เป็นมิตร นางพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับหลี่เฉินอยู่เสมอ ซึ่งหลี่เฉินเองก็หาได้ใส่ใจไม่เขาคิดในใจว่าน้ำอุ่นต้มกบ ค่อยๆ ทนรอไป สักวันคงมีโอกาสส่วนซานเป่าซึ่งอยู่หน้าประตูตำหนัก กลับไม่มีท่าทียโสเช่นนั้น เมื่อเห็นหลี่เฉินที่พาวั่นเจียวเจียวมาด้วย เขารีบลุกขึ้นมาทักทายทันที"บ่าวขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า "ข้าจะไปพบเย่ลู่กู่จ้านฉี จดหมายของเขา ส่งออกไปแล้วหรือยัง?"ซานเป่ากล่าวตอบด้วยความเคารพว่า "ส่งออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเขาเองที่สั่งให้หนึ่งในองครักษ์ของเขาดำเนินการ บ่าวปฏิบัติตามรับสั่งขององค์ชาย จึงไม่ได้ขัดขวางพ่ะย่ะค่ะ""สายลับของแคว้นเหลียวในเมืองหลวงมีอยู่ไม่น้อย ให้เขาใช้ช่องทางของเขาเองก็ดี พวกเขาถึงจะเชื่อ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย"พูดพลาง หลี่เฉินก้าวเข้าไปในตำหนักปีกแม้จะเป็นตำหนักปีก แต่การตกแต่ง
"นำรายงานจากกรมครัวเรือนมาให้ข้าดู"หลี่เฉินสั่งวั่นเจียวเจียวให้นำรายงานจากกรมครัวเรือนที่ส่งมาช่วงเช้าออกมา พลางเปิดอ่านดูเพียงครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นทันทีรายจ่ายอื่น ๆ ยังถือว่าอยู่ในงบประมาณตามปกติ แต่วันนี้ที่ต้องจัดเลี้ยงทหารทั้งสามกองทัพ เพียงวันแรกก็หมดเงินไปหลายหมื่นตำลึงแล้วอย่ามองว่าเป็นตัวเลขน้อย นี่เพียงแค่วันเริ่มต้นเท่านั้น ตามธรรมเนียม ทัพผู้ชนะจะต้องจัดเลี้ยงตามขนาดของศึก หากศึกเล็กจัดเจ็ดวัน หากศึกใหญ่จัดเลี้ยงได้นานถึงหนึ่งเดือน ของใช้ต่าง ๆ อาหาร สุรา สำหรับคนหลายหมื่นคน เพียงแค่ค่าใช้จ่ายปกติในหนึ่งวันก็มหาศาลแล้ว ยังไม่นับถึงอาหารเลี้ยงฉลอง เช่น ปลาตัวใหญ่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ต้องเชือดวัว เชือดแกะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเงินของราชสำนักประกอบกับภัยพิบัติยังไม่ได้รับการฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ราคาสินค้าต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นยิ่งกว่าที่เคย ไม่เพียงชาวบ้านทั่วไปที่ลำบาก แม้แต่ราชสำนักเองยังแทบรับไม่ไหวตามที่กรมครัวเรือนคำนวณไว้ ค่าเลี้ยงฉลองทั้งหมดจะต้องใช้เงินอย่างน้อยสามถึงสี่แสนตำลึง และนี่เป็นเพียงค่าเลี้ยงฉลองเท่านั้น ยังมีค่าตอบแทนวีรกรรมรบ ค่าชดเชยสำห
สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล