เห็นได้ชัดว่าเนื้อหาของสาส์นกราบทูลฉบับนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง จนไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือหวังจะใช้ตำแหน่งของจ้าวหรุ่ยที่อยู่ข้างกายหลี่เฉิน อำนวยความสะดวกในการเกริ่นเนื้อหาที่อยู่ด้านในของสาส์นกราบทูล หลี่เฉินรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี “อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงลงไปคุกเข่าที่พื้นทั้งที่เปลือยเปล่าเล่า ลุกขึ้นมาเถอะ”หลี่เฉินรับสาส์นกราบทูล พลางจับข้อมือของจ้าวหรุ่ยแล้วดึงนางขึ้นมาบนเตียงหลี่เฉินวางแขนของเขาโอบรอบเอวของจ้าวหรุ่ย และปล่อยให้นางเอนตัวในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “แต่ทิวทัศน์เมื่อครู่ก็น่าชมมาก”ใบหน้าที่สวยงามของจ้าวหรุ่ยแดงเล็กน้อย เมื่อสักครู่นี้นางรู้สึกหวาดกลัวเกินไป และยังถูกกระตุ้นด้วยลมหนาว เวลานี้ร่างกายที่บอบบางอยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใย นางหวังแค่ว่าจะรวมร่างของนางเข้าไปในร่างกายขององค์รัชทายาทได้ยิ่งดี แม้จะปลอบใจจ้าวหรุ่ย แต่ในใจของหลี่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายเมื่อจำนวนคนที่อยู่ใต้เขาเพิ่มขึ้น ทุกคนก็มีความคิดและวิธีการของตัวเองเช่นกัน ความจริงที่ว่าจ้าวเหอซานยืมมือของจ้าวหรุ่ยเพื่อส่งมอบสาส์นกราบทูลให้นั้น จะว่
“เรื่องนี้มีข้อดีสามประการ”“ประการที่หนึ่ง ทุ่งนาร้างสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จะได้ไม่ไร้คนมาปลูกนา”“ประการที่สอง เราสามารถกำจัดผู้ประสบภัยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่รวมตัวกันอยู่ในมณฑลซีซาน แบ่งที่นาให้กับพวกเขา เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้”“ประการที่สาม เรื่องนี้จะส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่มกบฏ ทำให้พวกเขาวางอาวุธลง หยิบจอบขึ้นมา และหยุดการก่อกบฏ ท้ายที่สุดแล้วกฎหมายไม่ได้ลงโทษมวลชน และคนที่ราชสำนักต้องการจะลงโทษคือพวกผู้นำในการก่อกบฏ ไม่ใช่ชาวนาเหล่านี้” “แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อย”“ประการที่หนึ่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์นี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจากการสังหารหมู่ที่ด่านอวี้เหมิน เมืองชายแดนหลายแห่งเกือบจะกลายเป็นเมืองผี ราชสำนักจึงย้ายคน 300,000 คนไปอาศัยอยู่ที่นั่นและแบ่งพื้นที่ทำนา แต่ครั้งนั้นและครั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้วแตกต่างกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไม่มีตัวอย่างในการแบ่งที่นาใหม่หลังภัยพิบัติ มิหนำซ้ำ ถ้าหากใช้วิธีการนี้จริงๆ แล้วมณฑลอื่นๆ ทั่วทั้งจักรวรรดิจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่ามณฑลซีซานจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามณฑลอื่นจะเบากว่า”“ประการที่สอง หากแบ่งที
เมื่อโจวผิงอันเห็นหลี่เฉินเรียกชื่อของเขา เขาก็ประสานมือขึ้นแล้วพูดว่า “กระหม่อมเห็นด้วยกับข้อเสนอของใต้เท้าจ้าวเหอซาน แบ่งที่นา!” แม้ว่าสวีฉังชิงและกวนจือเหวยจะคัดค้าน แต่พวกเขาก็ทำอย่างอ้อมค้อมและมีไหวพริบแต่เมื่อเห็นโจวผิงอันแสดงทัศนคติเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด ท่าทางของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปสวีฉังชิงกล่าวเสียงแข็งว่า “ใต้เท้าโจวมีความคิดเห็นอันยอดเยี่ยมอะไรหรือ?”ตัวเองติดตามองค์รัชทายาทมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่รองเสนาบดีกรมครัวเรือน ยังไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นสักที แต่โจวผิงอันผู้นี้เข้ารับราชการปุ๊บก็ได้เป็นเสนาบดีแล้ว กุมอำนาจขนาดใหญ่ไว้ในมือ กลายเป็นปาฏิหาริย์ที่ยังมีชีวิตของเวทีการเมืองต้าฉินดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่สวีฉังชิงและกวนจือเหวยจะรู้สึกพอใจ พวกเขาไม่กล้าแสดงความคิดต่อหน้าตำหนักบูรพา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโจวผิงอัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ให้ดูกวนจือเว่ยพูดเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าโจวเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ จะต้องมีคำพูดที่น่าทึ่งอยู่แน่ๆ ข้ากำลังล้างหูฟัง”หลี่เฉินมองเห็นความขัดแย้งระหว่างทั้งสามคน แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปแทรกแซงสำหรับเบื้องบนแล้ว
หลี่เฉินกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็สมเหตุสมผลดี แต่แล้วการต่อต้านจากเหล่าขุนนางล่ะ? เรื่องการแบ่งที่ดิน เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากเกินไป และกระตุ้นให้ทุกฝ่ายต่อต้าน จะจัดการอย่างไร?”เห็นได้ชัดว่าโจวผิงอันได้พิจารณาประเด็นนี้อย่างชัดเจนแล้ว เขากล่าวว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่ชนะใจผู้คนได้ก็จะชนะใต้หล้า และใจของผู้คนก็แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามหัวใจของประชาชนก็คือหัวใจของคนในใต้หล้า แต่สายตาของประชาชนนั้นคับแคบ และสามารถถูกหลอกได้ง่ายด้วยข่าวลือ ส่วนหัวใจของขุนนางนั้น แม้จะมีหัวใจของประชาชนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางก็มีความรู้สึกส่วนตัว จึงจำเป็นจะต้องมีคนดีมาคอยชี้นำ”“เรื่องนี้มีอุปสรรคมากมายจริงๆ พูดได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็จะถูกเหล่าขุนนางรุมโจมตี ดังนั้นฝ่าบาทต้องไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเอง”“ผู้ชี้นำจะต้องมีสถานะที่สูงพอ และมีบารมีเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจได้ ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องรอให้มันเกิดขึ้น”หลี่เฉินถาม “เจ้ามีใครจะแนะนำไหม?”โจวผิงอันโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมองทุกอย่างอย่างชัดแจ้ง ย่อมต้องมีคนในใจอยู่แล้ว กระหม่อมไม่กล้าพูดไร้สาร
ซานเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เกรงว่า...อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ”หลี่เฉินเลิกคิ้วและพูดว่า “ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เขาตกลงรับราชการ ดูสิ เจิ้งเป่าหรงก็มาจากเวยไห่เว่ยเช่นกัน แต่ก็มาถึงเมืองหลวงเพื่อเข้ารับตำแหน่งในวันรุ่งขึ้นได้”“ต่อให้ถานไถจะเดินทางช้าแค่ไหน สัมภาระมากมายเพียงใด ก็ควรจะคืบคลานจากเวยไห่เว่ยมายังเมืองหลวงในครึ่งเดือนได้แล้ว ยังจะมาขอเวลาอีกสักพักงั้นเหรอ?”ซานเป่ายิ้มอย่างขมขื่น “ท่านจิ้งจือผู้นี้ มีหนังสือที่ซ่อนอยู่ในบ้านซึ่งสามารถใส่รถได้ถึงยี่สิบคัน แค่จัดหนังสือก็ใช้เวลาไปหกเจ็ดวันแล้ว”“ได้ยินมาว่าตามสถาบันศึกษาอื่นๆ ของเขามีหนังสือซ่อนไว้มากกว่านี้ ซึ่งเขาได้กำชับให้คนของเขาไปขนพวกมันทั้งหมดมาที่เมืองหลวง”“นอกจากนี้ ความลับที่ว่าเขาเข้ารับราชการก็ถูกเปิดเผยไปแล้ว จึงมีบัณฑิตและนักวิชาการนับไม่ถ้วน พากันแห่มาแสดงความยินดีกับเขา”“ตลอดการเดินทางของท่านจิ้งจือ มีพวกนักวิชาการคอยรายล้อม วันหนึ่งสามารถเดินทางได้ถึงสามสิบลี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”หลี่เฉินนวดขมับแล้วกล่าวว่า “ตาเฒ่าผู้นี้ช่างลำบากจริงๆ และการจะสั่งให้เขารีบมาที่เมืองหลวงก็เป
“หลังจากกระหม่อมกลับไปแล้วจะดำเนินการวางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งกระหม่อมเคยประมาณไว้ก่อนหน้านี้แล้ว มันจะช่วยราชสำนักประหยัดเงินไปได้หนึ่งปี”“แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้น[footnoteRef:1]ซึ่งกระหม่อมก็ทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้” [1: ขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้น หมายถึง เพิ่มรายได้] หลี่เฉินได้ฟังก็เหลือบมองสวีฉังชิง จากนั้นก็พูดว่า “การลดค่าใช้จ่ายมีแต่จะทำให้คนขุ่นเคือง ไม่ว่าเจ้าจะตัดค่าใช้จ่ายส่วนไหนก็ตาม มันจะดึงดูดแรงต่อต้าน” สวีฉังชิงกัดฟันพูดว่า “แต่ท้องพระคลังว่างเปล่า พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน กระหม่อมไม่มีทางเลือก ได้แต่ต้องทนรับการตำหนิ” หลี่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องที่สวีฉังชิงจะต้องแบกรับคำด่าคนเบื้องล่างรับความผิดแทนเจ้านาย มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ แต่สิ่งที่เขากำลังพิจารณาก็คือขยายต้นสายน้ำให้ไหลมากขึ้นแม้ว่าตัวเขาจะได้รับเงินจำนวนมากจากงานแต่งงานของเขา แต่เงินจำนวนนี้ก็ถูกใช้ไปสร้างราชบัณฑิตยสถานแล้วซึ่งเงินจำนวนนี้ไม่สามารถโยกย้ายได้ มิฉะนั้นถานไถจิ้งจือจะเป็นคนแร
เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินได้ตัดสินใจไปแล้ว สวีฉังชิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่ไม่ได้โต้แย้งตรงๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องลำบากใจก็คงจะเป็นตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น สวีฉังชิงก็ยังคงพูดว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงยืนกรานที่จะเปิดธนาคาร ถึงแม้ว่าธนาคารจะมีเงินมากมาย แต่มันก็เป็นของผู้ฝากเงิน เท่าที่ข้ารู้ คนที่เปิดธนาคารไม่ได้กำไรมากนัก และยังต้องแบกรับความเสี่ยงในการฝากเงินอีก หากมีการสูญหายหรือถูกขโมย ทางธนาคารก็ต้องรับผิดชอบ”สวีฉังชิงไม่เข้าใจ แต่หลี่เฉินนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนธนาคารคืออะไร? นี่มันธนาคาร!ธนาคารไม่สามารถทำเงินได้? นั่นไม่ใช่เรื่องตลกเหรอ!ดูเผินๆ ถึงแม้ว่าการขอให้คนฝากเงินและจ่ายดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินออมนั้น เป็นเรื่องที่ขาดทุนมากแต่ธนาคารสามารถรับกระแสเงินสดมหาศาลได้ แม้ว่าธนาคารจะรับผิดชอบเพียงการดูแลความปลอดภัย แต่เมื่อเงินของประชาชนถูกฝากไปแล้ว เงินนั้นจะไม่ถูกถอนออกไป เว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นเมื่อธนาคารได้รับกระแสเงินสดจำนวนมากเช่นนี้ ก็สามารถนำเงินไปต่อยอดได้ เช่น การกู้ยืม ดอกเบี้ยเงินกู้มีโอกาสทางธุรกิจมากมายธุรกิจนี้เป็นเรื่องยา
“มีกฎหมายในราชวงศ์ของเราที่กำหนดให้ดอกเบี้ยรายเดือนสำหรับเงินส่วนตัว หนี้ หรือทรัพย์สินจำนำจะต้องไม่เกินสามส่วน ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายนี้จะถูกต้องลงโทษด้วยการโบยสี่สิบไม้ และกำไรที่เหลือจะถูกบันทึกว่าเป็นของที่ถูกขโมย ในกรณีที่ร้ายแรงจะถือเป็นความผิดฐานลักขโมย และจะถูกโบยหนึ่งร้อยไม้”“นั่นเป็นดอกเบี้ย 3 ส่วน หากวงเงินกู้มีขนาดใหญ่พอและรักษาหนี้เสียให้เหลือน้อยที่สุด กำไรนี้ก็เพียงพอสำหรับราชสำนัก ที่จะบรรเทาการขาดดุลได้อย่างมาก”สวีฉังชิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในฐานะพ่อบ้านใหญ่ที่ดูแลถุงเงินของทางการ เขาเบื่อหน่ายกับการถูกตามตื้อเพื่อเงินทุกวัน เพราะในกระเป๋านั้นไม่มีเงินเลยสักกะเฟินเดียว“พระปรีชาของฝ่าบาทคือพรของใต้หล้าและปวงประชา! ”หลี่เฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้รับคำชมจากใจของสวีฉังชิง“ไปเรียกหลิวซือฉุนมาที่ตำหนักบูรพา”ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิวซือฉุนได้มาถึงพระที่นั่งสีเจิ้งของตำหนักบูรพา“หม่อมฉันหลิวซือฉุน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท” เรือนร่างของหลิวซือฉุนยังคงมีเสน่ห์น่าดึงดูดเช่นเคย หลี่เฉินนั่งอยู่ด้านบนและมองลงมาที่หลิวซือฉุน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องมาก
ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้สวีฉังชิงอยากชักดาบออกมาฆ่าหลานชายของตัวเองทันที จากนั้นก็ฆ่าตัวตายต่อหน้าองค์รัชทายาทแม้ว่าชีวิตของเขาและหลานชายจะต้องจบลง แต่ตระกูลสวียังอาจมีโอกาสรอดพ้นจากการถูกทำลายล้างคำพูดประโยคแรกของสวีจวินโหลวหมายความว่าอย่างไร!?เข้าใจง่ายมากนั่นก็คือ มนุษย์ล้วนต้องตาย และแคว้นย่อมมีวันล่มสลาย เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันกลางคืน และการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้!คำพูดนี้ ไม่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดได้ยิน ย่อมถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรงไม่ใช่แค่ตัดหัวแต่ถึงขั้นล้างโคตรตระกูล!หากเจอกษัตริย์ที่มีอารมณ์ร้อน อาจถึงขั้นสังหารเก้าชั่วโคตรโดยไม่มีใครกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมนี่มันการดูหมิ่นที่ร้ายแรงที่สุด!แม้เข่าของสวีฉังชิงจะอ่อนจนแทบทรุดลงไปกับพื้น แต่เขาก็พยายามอดทนไม่คุกเข่าต่อหน้าองค์รัชทายาทเขาแอบเหลือบมองสีหน้าของหลี่เฉิน แต่กลับเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แสดงความโกรธใดๆ แถมยังมีท่าทีสนุกสนาน หยิบลิ้นจี่ที่นางกำนัลยื่นให้เข้าปากด้วยความผ่อนคลายในมุมมองของหลี่เฉิน ประโยคเปิดเรื่องนี้แม้จะดูเหมือนเป็นการดูหมิ่
เวลาสอบทั้งหมดกำหนดไว้หนึ่งชั่วยาม หรือราวๆ สองชั่วโมงในหน่วยเวลาสมัยใหม่แต่โจทย์ที่ยากลำบากขนาดนี้ กลับมีคนส่งกระดาษคำตอบตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ ย่อมดึงดูดความสนใจจากทุกคนในทันทีองครักษ์รีบรับกระดาษคำตอบของเขา นำส่งให้เสนาบดีกรมขุนนาง หูพี่ ก่อนที่หูพี่จะหมุนตัวและนำเสนอด้วยความเคารพต่อหลี่เฉินหลี่เฉินหยุดการเขียนนิยายของตน ช้อนตามองนักศึกษาร่างเล็กหน้าตาเรียบๆ คนหนึ่งที่ยืนเก็บของเตรียมตัวออกจากสนามสอบ ก่อนจะรับกระดาษคำตอบมาเมื่อเห็นตัวอักษรบนกระดาษคำตอบเป็นครั้งแรก หลี่เฉินเอ่ยชมออกมาเบาๆ ว่า "ลายมือช่างงดงามยิ่งนัก"ไม่ว่าจะเป็นการสอบจอหงวนในยุคโบราณหรือการสอบระดับชาติในยุคปัจจุบัน การที่มีคะแนนจากความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบย่อมมีส่วนสำคัญ และลายมือที่สวยงามย่อมทำให้ผู้ตรวจรู้สึกชื่นชมเพราะอย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเวลาอ่านในยุคโบราณยิ่งเป็นเช่นนั้นนักศึกษาจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีฝึกฝนลายมือ ถ้าหากพวกเขาไม่มีลายมือที่สวยงาม ก็ย่อมไม่มีทางก้าวมาถึงการสอบจอหงวนรอบสุดท้าย"นักศึกษาจากแคว้นเจียงเจ๋อ ฟู่หมิ่นชิง ตอบคำถามในหัวข้อ 'ปรัชญาแห่งชาติ' ต่อเบ
มีขุนนางที่กล้ากล่าวความจริงและตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา สามารถช่วยกษัตริย์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเองและนโยบายและยังมีขุนนางที่มีความสามารถเฉพาะด้านสูงมาก งานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมอบหมายให้พวกเขาแล้วแทบไม่ต้องกังวลนอกจากนี้ ยังมีขุนนางประเภทที่สามารถช่วยกษัตริย์จัดการเรื่องที่กษัตริย์ไม่สะดวกจะลงมือเอง แม้ว่าคนเหล่านี้อาจมีความสามารถระดับปานกลาง หรือแม้แต่มีข้อเสียหลายประการ พวกเขาก็ยังนับเป็นคนสำคัญ เช่น เหอคุนจักรวรรดิที่กว้างใหญ่เกินไป ย่อมต้องการผู้คนที่หลากหลายมาช่วยหลี่เฉินบริหารจัดการ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเซียนก็คงไม่สามารถขับเคลื่อนจักรวรรดิได้ด้วยตัวเองสำหรับสถานการณ์ที่ต้าฉินกำลังเผชิญ หลี่เฉินต้องการคนที่มีสายตากว้างไกลและความสามารถเชิงกลยุทธ์ระดับสูงบุคคลประเภทนี้ โจวผิงอันถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นๆ อย่างสวีฉังชิงและกวนจือเหวยเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้นคนเหล่านี้ หากใช้อย่างเหมาะสม จะกลายเป็นอาวุธสำคัญ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นหายนะ ดูได้จากตัวอย่างของจ้าวเสวียนจีแม้ว่าหลี่เฉินอยากให้จ้าวเสวียนจีตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เข
"เมื่อข้าอ่านโจทย์การสอบจบแล้ว นักศึกษาทุกคนจึงจะเริ่มเขียนคำตอบได้ เวลาที่กำหนดคือหนึ่งชั่วยาม เมื่อครบเวลา ทุกคนต้องหยุดเขียนและส่งกระดาษคำตอบ อนุญาตให้ส่งก่อนเวลาได้ แต่ห้ามส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนด""ต่อไป ข้าจะอ่านโจทย์การสอบ"เมื่อคำกล่าวของหูพี่จบลง ไม่เพียงแต่นักศึกษาทุกคนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมดก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในอดีต การสอบจอหงวนรอบสุดท้าย โจทย์จะถูกจัดเตรียมโดยสำนักราชเลขา ซึ่งมักเสนอโจทย์หลายชุดให้ฮ่องเต้เลือกหนึ่งชุดเป็นโจทย์สอบแต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนสำหรับการสอบครั้งนี้ โจทย์ทั้งหมดถูกตัดสินโดยองค์รัชทายาท โดยไม่มีการเกี่ยวข้องจากสำนักราชเลขาเลยดังนั้น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักหรือสำนักราชเลขาก็ยังไม่รู้ว่าโจทย์จะเป็นเช่นไรกระทั่งหูพี่เองก็ไม่ทราบเนื้อหาโจทย์จนกระทั่งซานเป่ามอบซองปิดผนึกให้แก่เขาหลังจากเปิดซองออก หูพี่ก็กลายเป็นบุคคลที่สองรองจากหลี่เฉินที่รู้เนื้อหาโจทย์เมื่อเห็นเนื้อหาโจทย์ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่กลุ่มนักศึกษาด้วยสีหน้าประหลาดใจปนความเห็นใจเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมองค์รัชทายาทจึงเลือกให้เขาเ
"พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นยอดคนที่ถูกคัดเลือกจากนับร้อยในพัน หากมองทั่วแผ่นดินที่มีประชากรนับสิบล้าน พวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งในแสน!"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้เลือดลมของเหล่านักศึกษาเดือดพล่านทุกคนล้วนตระหนักดีว่าหนทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย บางคนถึงกับต้องขายสมบัติทั้งครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้หากการสอบจอหงวนล้มเหลว พวกเขาส่วนใหญ่อาจต้องจบชีวิตไปพร้อมกับความยากจนและไร้หนทางดังนั้น แม้ว่าการสอบจอหงวนจะไม่ใช่สมรภูมิที่มีคมดาบ แต่ความโหดร้ายของมันก็แทบไม่แตกต่างจากสนามรบเมื่อย้อนระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา นักศึกษาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนเหล่าขุนนางที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเพราะในอดีต พวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเดินมาบนเส้นทางการสอบจอหงวนเช่นเดียวกันแต่โชคชะตาของพวกเขาดีกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก เพราะในวันนี้ พวกเขาสามารถยืนอยู่หน้าพระที่นั่งไท่เหอ และเข้าร่วมราชสำนักได้เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันในรุ่นเดียวกันนั้น บัดนี้เหลืออยู่ข้างกายน้อยมาก"การสอบจอหงวนเป็นเส้นทางที่ราชสำนักใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีค
เสียงเขาสัตว์อันแสนเศร้าสร้อยดังก้องไปทั่วบริเวณเหล่านักศึกษาค่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่จากสำนักฮั่นหลิน พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับอย่างเหมาะสมและมายืนประจำตำแหน่งในจัตุรัสสะพานจินสุ่ยในเวลานั้น ราชสำนักช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกย้ายออกจากพระที่นั่งไท่เหอ มาจัดขึ้นภายนอกแทน หลี่เฉินนั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ของพระที่นั่งบริเวณนี้เองคือสถานที่ที่เขาเคยใช้ปืนจ่อยิงฮาเล่ย์ต้าลี่จนเสียชีวิตในวันนั้นเมื่อทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว จ้าวเสวียนจีและถานไถจิ้งจือในฐานะผู้นำฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงในฐานะผู้นำฝ่ายบู๊ ทั้งสามคนโค้งคำนับพร้อมเปล่งเสียงดังว่า"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"เมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ องค์รัชทายาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมเป็นผู้แทนของฮ่องเต้ในสถานการณ์อันเป็นทางการเช่นนี้หลังจากนั้น บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาที่เข้าสอบจอหงวนต่างก็กล่าวถวายบังคมไม่มีผู้ใดกล้าละเลย"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"ที่จัตุรัสสะพานจินส
กงฮุยอวี่ที่แสดงท่าทางออกมานั้น หลี่เฉินมองเห็นทุกสิ่งในสายตา แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงให้กระจ่าง ในใจนั้นกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่ากลับไม่คิดสนใจนางต่อไปกงฮุยอวี่มองหลี่เฉินที่หันหลังกลับไปจัดการงานราชการในทันที ดวงตาที่เย็นเยียบของนางปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาส่วนวั่นเจียวเจียวนั้น... นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางมีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นกงฮุยอวี่ การเร่งร้อนย่อมไม่เป็นผลดีไม่เช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดอาจสิ้นเปลืองจนกลายเป็นแรงเกินไป ทำให้ทุกอย่างย้อนกลับและต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอึดอัดหลี่เฉินในตอนนี้ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว สำเร็จในการก่อกวนจิตใจของกงฮุยอวี่ ดังนั้นต่อไปจึงควรปล่อยให้อารมณ์คลี่คลายไปก่อน ทิ้งให้นางได้ครุ่นคิด จะได้ไม่เร่งร้อนเกินไปในมุมมองของหลี่เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกงฮุยอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักล่าและเหยื่อนักล่าต้องการจับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับระแวดระวังสูงมาก หากผิดพลาดเพียงนิด ไม่เพียงแค่เหยื่อจะหนีไป แต่อาจจะหันกลับมาเล่นงานนักล่าเ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เฉินที่จะเอาชนะใจของกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในชีวิตของผู้ชาย ย่อมต้องการผู้หญิงหลากหลายแบบอ่อนโยนและมีเสน่ห์อย่างจ้าวหรุ่ย เด็ดเดี่ยวและมั่นคงอย่างซูจิ่นพ่า และดื้อรั้นไม่ยอมคนอย่างกงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงหน้า"นิยายเล่มนั้น สนุกไหม?" หลี่เฉินถามเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกงฮุยอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ดี"หลี่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะบอกให้วั่นเจียวเจียวไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมา แล้วส่งให้กงฮุยอวี่ "ลองดูนี่สิ"กงฮุยอวี่มองสมุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นงานเขียนด้วยมือ แล้วมองหน้าหลี่เฉิน แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ"ข้าเขียนเอง"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องตกใจวั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาโตนางรู้ดีว่าหลี่เฉินยุ่งแค่ไหน งานราชกิจในพระที่นั่งสีเจิ้งแทบจะทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ แล้วเขายังมีเวลามาเขียนนิยายได้ด้วยหรือ?และยิ่งไปกว่านั้น … องค์รัชทายาทยังเขียนนิยายเป็น!วั่นเจียวเจียวมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะไร้ที่ติ ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริงรูปงาม สถานะสูงส่ง มีความ
ซูผิงเป่ยยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าว และเพียงเปิดปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ซูเจิ้นถิงก็ยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า "เรื่องพวกนี้ เจ้าเดินตามข้ากับองค์ชายไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจเอง ตอนนี้เจ้าคิดไม่ออก ต่อให้ข้าอธิบายมากเท่าใด เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี""การเมืองนั้นแตกต่างจากการรบ มันต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างช้าๆ""ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ฟังให้มาก ดูให้มาก พูดให้น้อย และถามให้น้อยเข้าไว้""เอาล่ะ ในช่วงนี้ หากเจ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็อย่ากลับบ้าน จงไปอยู่ในค่ายทหาร เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าทหารให้มากขึ้น การเมืองถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งกำลังทหาร""รู้ไหมว่าทำไมองค์ชายถึงฝากคนหนึ่งพันนายที่เจ้าพามาไว้กับหน่วยบูรพา? นั่นเพราะเพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เจ้าต้องรับรองได้ว่า ในยามจำเป็น คนหนึ่งพันนายนี้ต้องยอมตายเพื่อองค์ชายโดยไม่ลังเล"ซูผิงเป่ยกลืนคำถามทั้งหมดกลับไป และรับคำอย่างนอบน้อม…เมื่อหลี่เฉินกลับถึง พระที่นั่งสีเจิ้ง วั่นเจียวเจียวกำลังสั่งการให้เหล่าขันทีนำก้อนน้ำแข็งมาวางทั่วทั้งท้องพระโรงในยุคโบราณ การผลิตน้