ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เหล่าราชาภาพยนตร์กำลังขึ้นแสดงบนเวทีอยู่ใบหน้าของหลี่เฉินดูราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายใดๆ ส่วนทางด้านของโจวผิงอันนั้นก็กำลังขมวดคิ้ว ท่าทางดูกังวลมากแต่การแสดงของหลี่อิ๋นหู่นั้นดูเกินจริงไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเจ็บปวด ซึ่งพยายามอย่างหนักที่จะแสดงถึงความตกอกตกใจและความโกรธภายในใจด้วยการแสดงออกที่เกินจริง “ช่างไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา! ราวกับใต้หล้าไร้ซึ่งกฎหมาย!”“เมืองหลวงอยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงการลอบสังหารที่เกิดขึ้นติดต่อกัน คืนนี้พวกโจรชั่วบางคนได้ทำการปล้นคุกของกรมยุติธรรม ราชวงศ์ฉินก่อตั้งมานานกว่า 300 ปี เรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฝ่าบาท โปรดให้กระหม่อมดำเนินการสืบสวนคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อลากตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังออกมา และนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม!”หลี่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ โดยวางศอกบนหมอนอิงนุ่มๆ และมองไปที่หลี่อิ๋นหู่แวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเสียใจกับทักษะการแสดงที่เกินจริงของเขาการแสดงที่ย่ำแย่เช่นนี้ ทำให้มาตรฐานของการแสดงลดลง เขายกมือขึ้น วั่นเจียวเ
ทันทีที่ประโยคเหล่านี้หลุดออกมา หัวใจของหลี่อิ๋นหู่ก็เด้งไปที่ลำคอวินาทีนั้น ความคิดแรกของเขาก็คือหรือว่านักโทษในเรือนจำถูกสับเปลี่ยนออกไปแล้ว ส่วนคนที่ตัวเองช่วยออกมานั้นคือตัวปลอม!?ความคิดนี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่สับสนและทำอะไรไม่ถูก “จ้าวอ๋องยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ?”เสียงของหลี่เฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้หลี่อิ๋นหู่หลุดจากภวังค์ หลี่เฉินเดินมาหยุดตรงหน้าของหลี่อิ๋นหู่หลี่อิ๋นหู่เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ และมองไปที่หลี่เฉินซึ่งมีสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มตรงหน้า ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของเขา ได้กลายเป็นความรู้สึกที่วิกฤตอย่างแท้จริง ทำให้ร่างกายของเขาพลันเกร็งตัวขึ้นมาความกลัวราวกับงูพิษที่เลื้อยขึ้นมาตามขาของเขาไปที่คอ ทำให้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหนาวไปทั้งตัวหลี่อิ๋นหู่พยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าของเขา โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เขาแสดงรอยยิ้มที่น่าเกลียดออกมา และพูดด้วยความยากลำบากว่า “กระหม่อม กระหม่อมเพียงสงสัยคำพูดของฝ่าบาทจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน”“แน่นอน เจ้าจะรู้ทีหลัง”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตามีเลศนัย จากนั้นจึงเดินผ่านเขาไปโดยเอามือไพล่หลังหลี่อิ๋นหู่
ค่ำคืนที่หนาวเย็นราวกับสายน้ำ และแสงจันทร์ที่ปกคลุมทั่วพื้นโลก ในมุมที่ห่างไกลและเงียบสงบของเมืองหลวง ปรากฏศพหลายศพขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คนที่เห็นต่างรู้สึกขนลุกขนชันแต่สำหรับหลี่อิ๋นหู่นั้นเขาตกใจจนขวัญกระเจิงไปหมดเขาไม่เคยคิดว่าหลี่เฉินจะพาเขามาดูศพ ซึ่งเป็นศพของนักโทษจากสำนักบัวขาว!ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือจากคนของเขาและหนีไปแล้วหรือ!? แล้วเหตุใดถึงมาตายกันตรงนี้!?แล้วหลี่เฉินควบคุมเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร!คำถามนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในจิตใจ ทำให้หลี่อิ๋นหู่ยืนอึ้งอยู่กับที่“จ้าวอ๋องมานี่สิ”หลี่เฉินที่อยู่ข้างหน้าโบกมือเรียกหลี่อิ๋นหู่ให้เข้ามาทั้งสองยืนเคียงข้างกัน และหลี่เฉินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร แม้ว่าภาพจะไม่สวยนัก แต่ก็น่าประทับใจมากใช่หรือไม่?”หลี่อิ๋นหู่มุมปากกระตุก และถามออกมาอย่างยากลำบากว่า “ฝ่า ฝ่าบาท นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”ทันใดนั้นหลี่เฉินก็ยกมือขึ้น และโอบไหล่ของหลี่อิ๋นหู่ ทำให้ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากในขณะเดียวกัน หลี่เฉินก็ลดเสียงลงและพูดว่า “แน่นอนว่ามันคือแผนการ”“เสนาบดีกรมยุติธรรมโจวผิงอันของข้าได้คาดการณ์ว่าจะมีคนมาป
“บัดซบเอ๊ย!”ทันใดนั้นหลี่อิ๋นหู่ก็หันศีรษะและจ้องมองโจวผิงอันตาขวาง เขากัดฟันพูดว่า “พวกเจ้าทำงานหนักกันจริงๆ!”โจวผิงอันยิ้มและเพิกเฉยต่อคำพูดแดกดันของหลี่อิ๋นหู่ เขากล่าวว่า “ขอบพระทัยจ้าวอ๋องสำหรับคำชม แต่กระหม่อมยังพูดไม่จบ”“โลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นในกรณีนี้กระหม่อมจึงขอให้ฝ่าบาทป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งกระหม่อมต้องขอให้จ้าวอ๋องทรงทอดพระเนตรดูดีๆ”ขณะที่พูด โจวผิงอันก็ชี้นิ้ววนไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีดวงตาสักกี่คู่ที่จ้องมองสถานที่แห่งนี้กัน? จ้าวอ๋องตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้ว ดังนั้นกระหม่อมขอใช้ภาษาชาวบ้านที่ไม่น่าฟังสักประโยค ฉี่หกใส่กางเกง จะซักอย่างไรก็ไม่สะอาด” “ฮ่าๆ!”หลี่อิ๋นหู่ที่ในใจตึงเครียดถึงขีดสุดอยู่แล้วเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะส่งท้ายของโจวผิงอัน ก็ทำให้เขาสูญเสียความยับยั้งชั่งใจไป เขาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด แล้วกระชากคอเสื้อของโจวผิงอัน ก่อนจะตะคอกใส่อย่างรุนแรงว่า “โจวผิงอัน! เจ้าไม่กลัวข้าสังหารเจ้ารึ!?”แม้จะถูกหลี่อิ๋นหู่กระชากคอเสื้อ แต่โจวผิงอันก็ไม่ได้โกรธหรือวิตกกังวลแต่อย่างใด เขาแค่มองหลี่อิ๋นหู่อย่างเงียบๆ ร
เมื่อเห็นตัวเองถูกวางอุบายใส่ หลี่อิ๋นหู่ก็ตระหนักได้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาได้อย่างไรทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในจวนอ๋อง เขาก็เห็นหลงไหวอวี้เดินเข้ามาหา “ท่านอ๋อง...” เมื่อเห็นสีหน้าของหลี่อิ๋นหู่ หัวใจของหลงไหวอวี้ก็เต้นรัว หลี่อิ๋นหู่ไปที่ตำหนักบูรพาเมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นมาตรการรับมือที่พวกเขาได้พูดคุยกันแล้ว การแสดงคือสิ่งจำเป็นเพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบคืนนี้เรือนจำของกรมยุติธรรมถูกปล้น ไม่เพียงแต่จะไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้ว ยังเป็นการไปตรวจสอบปฏิกิริยาของตำหนักบูรพาอีกด้วย ดังนั้นคืนนี้หลี่อิ๋นหู่จึงต้องไป แต่อย่างไรก็ตาม หลี่อิ๋นหู่ใช้เวลานานเกินไป และสีหน้าตอนกลับมา ก็ทำให้หลงไหวอวี้ตระหนักได้ว่าสิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด“สถานการณ์พลิกผัน?” หลี่อิ๋นหู่หัวเราะเยาะ เมื่อได้ยินคำถามของหลงไหวอวี้ “พลิกผัน?”หลี่อิ๋นหู่ไม่เข้าใจเลยว่าลูกน้องประเภทเดียวกันแท้ๆ แต่หลงไหวอวี้ที่ตัวเองหามากับโจวผิงอันที่หลี่เฉินหามา กลับมีช่องว่างที่ใหญ่ถึงขนาดนี้!“มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย เร
“ตอนนี้ ถ้าท่านอ๋องไม่ขอความช่วยเหลือจากสำนักราชเลขา แล้วจะหันไปหาใครได้อีก?”“สิ่งที่ท่านอ๋องต้องทำก็คือขอให้จ้าวเสวียนจีช่วยแย่งอำนาจส่วนหนึ่งมาให้ท่าน และอำนาจนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสำนักบัวขาว มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้สำนักบัวขาวหวาดกลัวท่านอ๋อง และไม่กล้าฉีกหน้าท่านอ๋องตรงๆ ” เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลี่อิ๋นหู่ก็เข้าใจมากขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว!”เขาลุกขึ้นยืนทันทีแล้วพูดว่า “ข้าจะรีบไปที่จวนจ้าวทันที” เวลาไม่เคยคอยท่า หลี่อิ๋นหู่รีบออกเดินทางทันที ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่อิ๋นหู่ซึ่งกำลังปลอมตัวได้เข้ามาในจวนจ้าวจากประตูข้างภายใต้การนำทางของพ่อบ้าน เขาก็มาทันเห็นจ้าวเสวียนลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมตัวนอก “จ้าวอ๋องมาเยี่ยมตอนกลางดึก ต้องมีเรื่องสำคัญแน่ๆ”หลี่อิ๋นหู่ประสานมือโค้งคำนับเก้าสิบองศา และพูดอย่างจริงใจว่า “ท่านราชเลขาโปรดช่วยข้าด้วย”จ้าวเสวียนจียกมือประคองหลี่อิ๋นหู่ ปากก็พูดว่า “ไม่ได้ๆ จ้าวอ๋องมีสถานะเป็นถึงจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์ จะมาคำนับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้ามีเรื่องอันใดอยากให้ช่วย จ้าวอ๋องก็เชิญพูดออกมาเถิด หากข้าช่วยได้ ข้าก็จะช่วย”หลี่อิ๋นหู่ฟังคำพูดที่
“ท่านกลับไปก่อน” จ้าวเสวียนจีพูดอย่างช้าๆ “ข้าจะหาทางแก้ไขเรื่องนี้”หลี่อิ๋นหู่มีความสุขมากเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาโค้งคำนับอีกครั้งและพูดว่า “ขอบคุณท่านราชเลขา ขอบคุณท่านราชเลขา!” เมื่อเห็นท่าทางดีใจจนเนื้อเต้นของหลี่อิ๋นหู่ จ้าวเสวียนจีก็กล่าวเรียบๆ ว่า “จ้าวอ๋อง ข้ามีคำพูดหนึ่งที่จำเป็นต้องเตือนท่าน” “ท่านราชเลขาโปรดบอก ข้าจะล้างหูฟังอย่างตั้งใจ” หลี่อิ๋นหู่พูดอย่างนอบน้อม“หลังจากพยายามมาหลายครั้ง จ้าวอ๋องก็คงจะรู้แล้วว่า ท่านที่อยู่ในตำหนักบูรพาไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่าย ถึงแม้ว่าเขาจะอายุยังน้อย แต่ความคิดและกลเม็ด รวมถึงกลยุทธ์ทางการเมือง ทุกอย่างล้วนอยู่ในจุดสูงสุด ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกจ้าวอ๋อง แต่จ้าวอ๋องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านนั้นจริงๆ”ใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่พลันมืดมนแต่ดูเหมือนจ้าวเสวียนจีจะไม่ทันสังเกตเห็น เขายังพูดต่อไปว่า “จ้าวอ๋องเป็นคนฉลาด ท่านรู้ไหมว่าทำไมชายที่อยู่ในตำหนักบูรพาจึงยอมทนกับจ้าวอ๋อง และไม่ลงฆ่ามือสักที?” หลี่อิ๋นหู่กล่าวอย่างสงบว่า “ข้าไม่รู้”จ้าวเสวียนจียิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเสแสร้ง แต่วันนี้ข้ายินดีที่จะ
หลังจากสั่งสอนไปสักพัก จ้าวเสวียนจีก็ปล่อยให้หลี่อิ๋นหู่จากไปถึงแม้ว่าเขาจะรังเกียจหลี่อิ๋นหู่มาก แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน เขากลับไม่สามารถเฝ้าดูหลี่อิ๋นหู่ถูกตำหนักบูรพาบีบจนจนมุมได้ อย่างที่เขาวิเคราะห์หลี่อิ๋นหู่ไว้ก่อนหน้านี้ ในบรรดาองค์ชายในปัจจุบัน มีเพียงหลี่อิ๋นหู่เท่านั้นที่เหมาะสมที่จะสนับสนุน แต่หลี่อิ๋นหู่มีบุคลิกที่มืดมนและดุร้ายเกินไป จึงไม่ใช่ตัวเลือกหุ่นเชิดที่สมบูรณ์แบบหุ่นเชิดที่ดีที่สุดคือองค์ชายเก้าผู้ขี้ขลาดนี่เป็นเหตุผลที่จ้าวเสวียนจีเลือกองค์ชายเก้าตั้งแต่แรก แทนที่จะเลือกฝึกฝนองค์ชายแปด น่าเสียดายที่องค์ชายเก้าเสียชีวิตไปแล้ว จึงเหลือแค่หลี่อิ๋นหู่เท่านั้น และไม่มีทางเลือกอื่นเลยอย่างไรก็ตาม ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จึงทำให้จ้าวเสวียนจีเข้าใจอย่างชัดเจนว่า หลี่อิ๋นหู่ไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาต้องทิ้งทางถอยไว้บ้างเขาลุกขึ้นและเดินไปที่ด้านหลังโต๊ะ เขียนสาส์นกราบทูลเพื่อขออำนาจให้หลี่อิ๋นหู่ หลังจากเป่าหมึกจนแห้งแล้วก็วางไว้ข้างๆ จากนั้นก็เปิดลิ้นชัก ซึ่งด้านในมีเทียบเชิญฉบับหนึ่งเทียบเชิญนี้มาจากรัฐทายาทเ
ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้สวีฉังชิงอยากชักดาบออกมาฆ่าหลานชายของตัวเองทันที จากนั้นก็ฆ่าตัวตายต่อหน้าองค์รัชทายาทแม้ว่าชีวิตของเขาและหลานชายจะต้องจบลง แต่ตระกูลสวียังอาจมีโอกาสรอดพ้นจากการถูกทำลายล้างคำพูดประโยคแรกของสวีจวินโหลวหมายความว่าอย่างไร!?เข้าใจง่ายมากนั่นก็คือ มนุษย์ล้วนต้องตาย และแคว้นย่อมมีวันล่มสลาย เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันกลางคืน และการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้!คำพูดนี้ ไม่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดได้ยิน ย่อมถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรงไม่ใช่แค่ตัดหัวแต่ถึงขั้นล้างโคตรตระกูล!หากเจอกษัตริย์ที่มีอารมณ์ร้อน อาจถึงขั้นสังหารเก้าชั่วโคตรโดยไม่มีใครกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมนี่มันการดูหมิ่นที่ร้ายแรงที่สุด!แม้เข่าของสวีฉังชิงจะอ่อนจนแทบทรุดลงไปกับพื้น แต่เขาก็พยายามอดทนไม่คุกเข่าต่อหน้าองค์รัชทายาทเขาแอบเหลือบมองสีหน้าของหลี่เฉิน แต่กลับเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แสดงความโกรธใดๆ แถมยังมีท่าทีสนุกสนาน หยิบลิ้นจี่ที่นางกำนัลยื่นให้เข้าปากด้วยความผ่อนคลายในมุมมองของหลี่เฉิน ประโยคเปิดเรื่องนี้แม้จะดูเหมือนเป็นการดูหมิ่
เวลาสอบทั้งหมดกำหนดไว้หนึ่งชั่วยาม หรือราวๆ สองชั่วโมงในหน่วยเวลาสมัยใหม่แต่โจทย์ที่ยากลำบากขนาดนี้ กลับมีคนส่งกระดาษคำตอบตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ ย่อมดึงดูดความสนใจจากทุกคนในทันทีองครักษ์รีบรับกระดาษคำตอบของเขา นำส่งให้เสนาบดีกรมขุนนาง หูพี่ ก่อนที่หูพี่จะหมุนตัวและนำเสนอด้วยความเคารพต่อหลี่เฉินหลี่เฉินหยุดการเขียนนิยายของตน ช้อนตามองนักศึกษาร่างเล็กหน้าตาเรียบๆ คนหนึ่งที่ยืนเก็บของเตรียมตัวออกจากสนามสอบ ก่อนจะรับกระดาษคำตอบมาเมื่อเห็นตัวอักษรบนกระดาษคำตอบเป็นครั้งแรก หลี่เฉินเอ่ยชมออกมาเบาๆ ว่า "ลายมือช่างงดงามยิ่งนัก"ไม่ว่าจะเป็นการสอบจอหงวนในยุคโบราณหรือการสอบระดับชาติในยุคปัจจุบัน การที่มีคะแนนจากความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบย่อมมีส่วนสำคัญ และลายมือที่สวยงามย่อมทำให้ผู้ตรวจรู้สึกชื่นชมเพราะอย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเวลาอ่านในยุคโบราณยิ่งเป็นเช่นนั้นนักศึกษาจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีฝึกฝนลายมือ ถ้าหากพวกเขาไม่มีลายมือที่สวยงาม ก็ย่อมไม่มีทางก้าวมาถึงการสอบจอหงวนรอบสุดท้าย"นักศึกษาจากแคว้นเจียงเจ๋อ ฟู่หมิ่นชิง ตอบคำถามในหัวข้อ 'ปรัชญาแห่งชาติ' ต่อเบ
มีขุนนางที่กล้ากล่าวความจริงและตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา สามารถช่วยกษัตริย์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเองและนโยบายและยังมีขุนนางที่มีความสามารถเฉพาะด้านสูงมาก งานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมอบหมายให้พวกเขาแล้วแทบไม่ต้องกังวลนอกจากนี้ ยังมีขุนนางประเภทที่สามารถช่วยกษัตริย์จัดการเรื่องที่กษัตริย์ไม่สะดวกจะลงมือเอง แม้ว่าคนเหล่านี้อาจมีความสามารถระดับปานกลาง หรือแม้แต่มีข้อเสียหลายประการ พวกเขาก็ยังนับเป็นคนสำคัญ เช่น เหอคุนจักรวรรดิที่กว้างใหญ่เกินไป ย่อมต้องการผู้คนที่หลากหลายมาช่วยหลี่เฉินบริหารจัดการ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเซียนก็คงไม่สามารถขับเคลื่อนจักรวรรดิได้ด้วยตัวเองสำหรับสถานการณ์ที่ต้าฉินกำลังเผชิญ หลี่เฉินต้องการคนที่มีสายตากว้างไกลและความสามารถเชิงกลยุทธ์ระดับสูงบุคคลประเภทนี้ โจวผิงอันถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นๆ อย่างสวีฉังชิงและกวนจือเหวยเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้นคนเหล่านี้ หากใช้อย่างเหมาะสม จะกลายเป็นอาวุธสำคัญ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นหายนะ ดูได้จากตัวอย่างของจ้าวเสวียนจีแม้ว่าหลี่เฉินอยากให้จ้าวเสวียนจีตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เข
"เมื่อข้าอ่านโจทย์การสอบจบแล้ว นักศึกษาทุกคนจึงจะเริ่มเขียนคำตอบได้ เวลาที่กำหนดคือหนึ่งชั่วยาม เมื่อครบเวลา ทุกคนต้องหยุดเขียนและส่งกระดาษคำตอบ อนุญาตให้ส่งก่อนเวลาได้ แต่ห้ามส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนด""ต่อไป ข้าจะอ่านโจทย์การสอบ"เมื่อคำกล่าวของหูพี่จบลง ไม่เพียงแต่นักศึกษาทุกคนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมดก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในอดีต การสอบจอหงวนรอบสุดท้าย โจทย์จะถูกจัดเตรียมโดยสำนักราชเลขา ซึ่งมักเสนอโจทย์หลายชุดให้ฮ่องเต้เลือกหนึ่งชุดเป็นโจทย์สอบแต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนสำหรับการสอบครั้งนี้ โจทย์ทั้งหมดถูกตัดสินโดยองค์รัชทายาท โดยไม่มีการเกี่ยวข้องจากสำนักราชเลขาเลยดังนั้น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักหรือสำนักราชเลขาก็ยังไม่รู้ว่าโจทย์จะเป็นเช่นไรกระทั่งหูพี่เองก็ไม่ทราบเนื้อหาโจทย์จนกระทั่งซานเป่ามอบซองปิดผนึกให้แก่เขาหลังจากเปิดซองออก หูพี่ก็กลายเป็นบุคคลที่สองรองจากหลี่เฉินที่รู้เนื้อหาโจทย์เมื่อเห็นเนื้อหาโจทย์ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่กลุ่มนักศึกษาด้วยสีหน้าประหลาดใจปนความเห็นใจเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมองค์รัชทายาทจึงเลือกให้เขาเ
"พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นยอดคนที่ถูกคัดเลือกจากนับร้อยในพัน หากมองทั่วแผ่นดินที่มีประชากรนับสิบล้าน พวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งในแสน!"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้เลือดลมของเหล่านักศึกษาเดือดพล่านทุกคนล้วนตระหนักดีว่าหนทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย บางคนถึงกับต้องขายสมบัติทั้งครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้หากการสอบจอหงวนล้มเหลว พวกเขาส่วนใหญ่อาจต้องจบชีวิตไปพร้อมกับความยากจนและไร้หนทางดังนั้น แม้ว่าการสอบจอหงวนจะไม่ใช่สมรภูมิที่มีคมดาบ แต่ความโหดร้ายของมันก็แทบไม่แตกต่างจากสนามรบเมื่อย้อนระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา นักศึกษาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนเหล่าขุนนางที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเพราะในอดีต พวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเดินมาบนเส้นทางการสอบจอหงวนเช่นเดียวกันแต่โชคชะตาของพวกเขาดีกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก เพราะในวันนี้ พวกเขาสามารถยืนอยู่หน้าพระที่นั่งไท่เหอ และเข้าร่วมราชสำนักได้เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันในรุ่นเดียวกันนั้น บัดนี้เหลืออยู่ข้างกายน้อยมาก"การสอบจอหงวนเป็นเส้นทางที่ราชสำนักใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีค
เสียงเขาสัตว์อันแสนเศร้าสร้อยดังก้องไปทั่วบริเวณเหล่านักศึกษาค่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่จากสำนักฮั่นหลิน พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับอย่างเหมาะสมและมายืนประจำตำแหน่งในจัตุรัสสะพานจินสุ่ยในเวลานั้น ราชสำนักช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกย้ายออกจากพระที่นั่งไท่เหอ มาจัดขึ้นภายนอกแทน หลี่เฉินนั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ของพระที่นั่งบริเวณนี้เองคือสถานที่ที่เขาเคยใช้ปืนจ่อยิงฮาเล่ย์ต้าลี่จนเสียชีวิตในวันนั้นเมื่อทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว จ้าวเสวียนจีและถานไถจิ้งจือในฐานะผู้นำฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงในฐานะผู้นำฝ่ายบู๊ ทั้งสามคนโค้งคำนับพร้อมเปล่งเสียงดังว่า"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"เมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ องค์รัชทายาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมเป็นผู้แทนของฮ่องเต้ในสถานการณ์อันเป็นทางการเช่นนี้หลังจากนั้น บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาที่เข้าสอบจอหงวนต่างก็กล่าวถวายบังคมไม่มีผู้ใดกล้าละเลย"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"ที่จัตุรัสสะพานจินส
กงฮุยอวี่ที่แสดงท่าทางออกมานั้น หลี่เฉินมองเห็นทุกสิ่งในสายตา แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงให้กระจ่าง ในใจนั้นกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่ากลับไม่คิดสนใจนางต่อไปกงฮุยอวี่มองหลี่เฉินที่หันหลังกลับไปจัดการงานราชการในทันที ดวงตาที่เย็นเยียบของนางปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาส่วนวั่นเจียวเจียวนั้น... นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางมีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นกงฮุยอวี่ การเร่งร้อนย่อมไม่เป็นผลดีไม่เช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดอาจสิ้นเปลืองจนกลายเป็นแรงเกินไป ทำให้ทุกอย่างย้อนกลับและต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอึดอัดหลี่เฉินในตอนนี้ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว สำเร็จในการก่อกวนจิตใจของกงฮุยอวี่ ดังนั้นต่อไปจึงควรปล่อยให้อารมณ์คลี่คลายไปก่อน ทิ้งให้นางได้ครุ่นคิด จะได้ไม่เร่งร้อนเกินไปในมุมมองของหลี่เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกงฮุยอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักล่าและเหยื่อนักล่าต้องการจับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับระแวดระวังสูงมาก หากผิดพลาดเพียงนิด ไม่เพียงแค่เหยื่อจะหนีไป แต่อาจจะหันกลับมาเล่นงานนักล่าเ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เฉินที่จะเอาชนะใจของกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในชีวิตของผู้ชาย ย่อมต้องการผู้หญิงหลากหลายแบบอ่อนโยนและมีเสน่ห์อย่างจ้าวหรุ่ย เด็ดเดี่ยวและมั่นคงอย่างซูจิ่นพ่า และดื้อรั้นไม่ยอมคนอย่างกงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงหน้า"นิยายเล่มนั้น สนุกไหม?" หลี่เฉินถามเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกงฮุยอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ดี"หลี่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะบอกให้วั่นเจียวเจียวไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมา แล้วส่งให้กงฮุยอวี่ "ลองดูนี่สิ"กงฮุยอวี่มองสมุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นงานเขียนด้วยมือ แล้วมองหน้าหลี่เฉิน แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ"ข้าเขียนเอง"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องตกใจวั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาโตนางรู้ดีว่าหลี่เฉินยุ่งแค่ไหน งานราชกิจในพระที่นั่งสีเจิ้งแทบจะทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ แล้วเขายังมีเวลามาเขียนนิยายได้ด้วยหรือ?และยิ่งไปกว่านั้น … องค์รัชทายาทยังเขียนนิยายเป็น!วั่นเจียวเจียวมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะไร้ที่ติ ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริงรูปงาม สถานะสูงส่ง มีความ
ซูผิงเป่ยยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าว และเพียงเปิดปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ซูเจิ้นถิงก็ยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า "เรื่องพวกนี้ เจ้าเดินตามข้ากับองค์ชายไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจเอง ตอนนี้เจ้าคิดไม่ออก ต่อให้ข้าอธิบายมากเท่าใด เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี""การเมืองนั้นแตกต่างจากการรบ มันต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างช้าๆ""ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ฟังให้มาก ดูให้มาก พูดให้น้อย และถามให้น้อยเข้าไว้""เอาล่ะ ในช่วงนี้ หากเจ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็อย่ากลับบ้าน จงไปอยู่ในค่ายทหาร เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าทหารให้มากขึ้น การเมืองถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งกำลังทหาร""รู้ไหมว่าทำไมองค์ชายถึงฝากคนหนึ่งพันนายที่เจ้าพามาไว้กับหน่วยบูรพา? นั่นเพราะเพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เจ้าต้องรับรองได้ว่า ในยามจำเป็น คนหนึ่งพันนายนี้ต้องยอมตายเพื่อองค์ชายโดยไม่ลังเล"ซูผิงเป่ยกลืนคำถามทั้งหมดกลับไป และรับคำอย่างนอบน้อม…เมื่อหลี่เฉินกลับถึง พระที่นั่งสีเจิ้ง วั่นเจียวเจียวกำลังสั่งการให้เหล่าขันทีนำก้อนน้ำแข็งมาวางทั่วทั้งท้องพระโรงในยุคโบราณ การผลิตน้