Share

บทที่ 291

Author: ไห่ตงชิง
ภายในห้องชุดเทียนจื้อเฮาที่สูงที่สุดในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด มีคนสี่ห้าคนกำลังพูดคุยสนทนากัน

คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ คือชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง

ขณะที่เขาพูด สีหน้าของคนอื่นๆ ในห้องก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“พี่เหวินซาน ระวังสิ่งที่ท่านพูดด้วย”

ชายอีกคนที่สวมเสื้อผ้าจิ่นต่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปที่ประตูที่ปิดสนิทโดยสัญชาตญาณ แล้วพูดว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ ไม่ใช่ซีซาน จะพูดจะจาอะไรก็ระวังกำแพงมีหูบ้าง”

แต่เหวินซานกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เมืองหลวงแล้วอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ดี ราชเลขาก็ช่าง คนพวกนั้นล้วนต้องการตัวพวกเรา”

“ทัศนคติของพวกเรา คือตัวแทนทัศนคติของผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน หากทำให้พวกเราไม่มีความสุข พวกเราก็จะหันไปหาอีกด้าน ใครจะกล้ารุกรานพวกเรา?”

ชายผู้เริ่มเตือนก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ก่อนจะมา ไม่ว่าจะนายท่านหรือท่านโหวน้อย ต่างก็เตือนพวกเราไม่ให้ล่วงเกินคนในเมืองหลวง ท่านลืมคำพูดของนายท่านกับท่านโหวน้อยไปแล้วหรือ?”

เหวินซานกลับพูดอย่างเหน็บแนมว่า “ข้าแค่พูดสองสามคำเพื่อตระกูลของพวกเรา”

พูดจบ เพื่อคล
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 292

    “เพราะเจ้ามันพูดมาก ปากใหญ่”“ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตสุนัขอย่างเจ้า เพื่อให้กลับไปบอกตระกูลหลงและคุณชายของพวกเจ้าว่า ฝ่าบาททรงตรัสว่า หากอยากพบฝ่าบาท ก็ให้คนแซ่หลงไสหัวมาด้วยตัวเอง มาที่นอกประตูตำหนักบูรพาและมอบเทียบเชิญตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะได้เข้าเฝ้าหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพระองค์”“แต่ถ้าจะมาวางมาด โดยหวังว่าพระวรกายที่มีค่าดุจทองพันชั่งของฝ่าบาทจะเสด็จมาพบพวกเจ้าด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็กล่าวได้คำเดียวว่า : ไสหัวไป!” พูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินทงก็พลันหายไป และแทนที่ด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว เขาบีบคางของเหวินซานแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ได้ยินชัดหรือไม่!?”เหวินซานตัวสั่นแล้วกล่าวว่า “ดะ ได้ยิน” “ได้ยินชัดแล้วก็ดี อย่าลืมเชียวล่ะ” เฉินทงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืนแล้วตบฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงตามตัว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเมื่อไปถึงหน้าประตู เขาก็เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาพูดกับเหวินซานว่า “อ้อ จริงสิ ยังมีอีกอย่างที่จะพูด ฝ่าบาททรงตรัสว่า ตระกูลหลงอยู่ในมณฑลซีซานมาสามร้อยปีแล้วอย่างไร นั่นเป็นร่มเงาที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าทิ้งไว้ให้ ราชวงศ์หลี

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 293

    “เจ้าคงรอมาสักพักแล้ว แล้วเหตุใดไม่เข้าไปก่อนล่ะ?” หลี่เฉินถามอีกครั้งหลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ไม่นานหลังจากที่มาถึง ก็ได้ยินจากคนรับใช้ว่า ฝ่าบาทกำลังเยี่ยมเสด็จพ่อในตำหนัก น้องชายจึงรออยู่ข้างนอก ไม่กล้ารบกวน แค่รอเพียงครู่เดียวไม่เป็นไร” หลี่เฉินยิ้มแต่ไม่ออกความคิดเห็น “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เข้าไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” หลี่เฉินพูดจบ ก็เดินนำขบวนจากไป หลี่อิ๋นหู่มองไปทางแผ่นหลังของหลี่เฉิน แล้วก้มหน้าพูดว่า “น้องชายส่งเสด็จองค์รัชทายาท”เมื่อก้าวไปบนถนนที่ถูกหิมะด้วยปกคลุม หลี่เฉินก็พูดกับวั่นเจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ ว่า “รู้ไหมว่าสุนัขอะไรไหนที่ดุร้ายที่สุด?” วั่นเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “บ่าวเคยได้ยินมาว่าบนที่ราบสูงทิเบตนั้น มีสุนัขดุร้ายที่เรียกว่าสุนัขพันธุ์มาสทิฟ ความดุร้ายของมันสามารถฆ่าหมาป่าได้”หลี่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “สัตว์ที่สามารถใช้กระดูกแค่ชิ้นเดียวก็ทำให้เชื่องได้ ไม่ถือว่าดุร้าย สัตว์ที่ดุร้ายที่สุด คือสัตว์ที่มักจะส่ายหัวส่ายหาง ซ่อนเขี้ยว และกัดเจ้าอย่างกะทันหันตอนที่เจ้าไม่ทันป้องกัน กัดเข้าที่หล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 294

    ณ.ตำหนักบูรพา ด้านนอกพระที่นั่งสีเจิ้ง จัตุรัสหน้าพระที่นั่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เฉินทงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระที่นั่งสีเจิ้ง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ ทำให้เขาดูเหมือนตุ๊กตาหิมะ ไม่ไกลกันนัก ก็มีทหารองค์รักษ์ยืนเฝ้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในบางครั้งสายตาของพวกเขาก็เหลือบมองไปที่เฉินทง ชายผู้โด่งดังซึ่งอยู่ภายใต้ความโปรดปรานของฝ่าบาทเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่รู้ว่าคุกเข่ามานานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนที่เฉินทงรู้สึกว่าร่างกายของเขาใกล้จะแข็งเต็มที ก็มีหญิงสาวที่งามสง่าในชุดนางกำนัลคนหนึ่ง เดินมาที่ตรงหน้าเขา เฉินทงเงยหน้าขึ้นอย่างแข็งทื่อ ริมฝีปากที่แตกระแหงพลันคลี่ยิ้มออกมา “เป็นแม่นางวั่น”วั่นเจียวเจียวมองไปที่เฉินทงซึ่งมีน้ำแข็งเกาะอยู่บนขนตาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าไป” เฉินทงพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพยายามลุกขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณแม่นางวั่นมาก”ทันทีที่ลุกขึ้นยืน เขาก็เกือบจะล้มลงกับพื้น เพราะร่างกายแข็งทื่อจากการคุกเข่าอยู่บนพื้นมาเป็นเวลานานหลังจากนั้นไม่นาน เฉินทงก็กัดฟัน ค่อยๆ กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง และติดตามวั่นเจียวเจียวเข้าไปในพระที่นั่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 295

    สองวันต่อมา สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความเสถียรภาพชั่วคราวทางราชสำนักกำลังมีภารกิจหลักอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางของซูผิงเป่ยอำนาจของต้าฉินกำลังอ่อนแอ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายใต้นโยบายสันติภาพแบบจำยอมของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน อำนาจทางการทหารจึงค่อนข้างเคลื่อนไหวได้น้อยมาก ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิขี้ขลาดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะประเทศชาติไม่สามารถทนความลำบากได้ไหวแต่ความคิดของหลี่เฉินแตกต่างออกไป ยิ่งยากจนเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องต่อสู้มากขึ้นเท่านั้น แม้ต้องรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้น แต่ขอแค่ชนะสงครามได้ก็พอ เพราะความมั่งคั่งจากสงครามหนหนึ่ง เหนือกว่ายุคสมัยที่สงบสุขหรือพัฒนาหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า มองดูประเทศในประวัติศาสตร์ที่ทรงอำนาจและร่ำรวยในชั่วข้ามคืนสิ เกือบทั้งหมดล้วนมีพื้นฐานมาจากการปล้นสะดม ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้คือการช่วยเสียนเฉาต่อสู้กับตงอิ๋ง แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของต้าฉินดังนั้นไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร แต่ราชสำนักทั้งบนและล่างก็ไม่มีใครกล้ากระทำการโดยประมาท อย่างน้อยก็ภายใต้สายตาของหลี่เฉินในขณะที่ราชสำนัก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 296

    “หม่อมฉัน ถวายบังคมองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี”เมื่อเห็นหลี่เฉิน หลิวซือฉุนและคนอื่นๆ ก็รีบวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำในทันที และเข้ามาแสดงความเคารพ เมื่อมองดูชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังหลิวซือฉุนซึ่งมีท่าทางเคารพและตื่นเต้น ซึ่งชายคนนั้นรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับตัวเอง หลี่เฉินจึงพูดว่า “ไม่ต้องพิธีการ”“ฝ่าบาท นี่คือพี่รองของหม่อมฉัน การเดินทางไปเจ้อเจียงและฝูเจี้ยนเพื่อซื้อต้นกล้ามันเทศในครั้งนี้ ต้องขอบคุณการทำงานหนักของเขา”ด้วยการแนะนำของหลิวซือฉุน หลิวซือต๋าจึงเดินมาหาหลี่เฉิน โค้งคำนับด้วยความเคารพ และกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “กระหม่อมหลิวซือต๋า ถวายบังคมองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่เฉินเหลือบมองหลิวซือฉุนอย่างครุ่นคิดแล้วก็พูดว่า “คราวนี้ซื้อต้นกล้ากลับมากี่ต้น?”หลิวซือต๋ารีบตอบว่า “มีต้นกล้าทั้งหมด 400 กว่าต้น หากไม่รวมต้นที่สูญหายระหว่างทาง ต้นที่ยังรอดอยู่ตอนนี้ มีทั้งหมด 380 ต้น นอกจากนี้ กระหม่อมยังได้เชิญชาวนาที่มีประสบการณ์ในการเพาะปลูกจากท้องถิ่น มาหว่านเมล็ดพืชด้วยตัวเอง” หลี่เฉินพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าวว่า “ไม่เลว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 297

    เมื่อฟังการแนะนำของหลี่เฉิน ดวงตาของซูจิ่นพ่าก็เบิกกว้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความไม่เชื่อที่ไม่อาจระงับได้ จากการแนะนำของหลี่เฉิน นางจับใจความได้สองอย่าง ข้อแรกคือพืชชนิดนี้เรียกว่ามันเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารหลักได้ อีกข้อคือมันให้ผลผลิตมากกว่าธัญพืชธรรมดาถึงสิบถึงยี่สิบเท่า แนวคิดนี้คืออะไร?หากเป็นความจริง อาจกล่าวได้ว่ามันช่วยบรรเทาปัญหาที่รบกวนหัวเซี่ยมานานนับพันปีได้อย่างมาก นั่นก็คือ : ความอดอยาก! ตั้งแต่สมัยโบราณ อาหารถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คน ผู้คนจะก่อกบฏหากพวกเขามีอาหารไม่เพียงพอ แต่ถ้าหากทุกคนมีอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวม แล้วใครจะยอมเสี่ยงเสียหัวเพื่อก่อกบฏ? หากผู้ใดสามารถแก้ปัญหาเรื่องอาหารได้ ผู้นั้นย่อมเป็นนักปราชญ์ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ และถ้าหากบุคคลนี้คือองค์รัชทายาท ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจของจักรพรรดิและความตั้งใจของประชาชน ใต้หล้านี้จะมีใครต่อต้านเขาได้? ใครจะกล้าต่อต้านเขา!?ในช่วงเวลาสั้นๆ ซูจิ่นพ่าก็คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างถึงแม้ว่านางจะมีนิสัยถือดีและเย็นชา แต่เวลานี้ก็อดหายใจไม่ออก“ฝ่าบาท ทรงจริงจังหรือไม

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 298

    หลังจากที่พูดจบ ก่อนที่ซูจิ่นพ่าจะทันได้โต้ตอบ หลี่เฉินก็หันไปหาหลิวซือฉุนซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอด แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ ตระกูลหลิวของเจ้ากับเจ้าก็สามารถจดจำว่ามีผลงานได้”หลิวซือฉุนรีบตอบกลับไปว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามคำแนะนำของฝ่าบาท ตระกูลหลิวและหม่อมฉันเพียงแค่วิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ ทำสิ่งที่ทุกคนก็สามารถทำได้” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ภารกิจในครั้งนี้จัดการได้ดีมาก เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล?”หากต้องการให้คนเบื้องล่างทำงานถวายชีวิตให้ ประการแรกต้องมีรางวัลและการลงโทษที่ชัดเจน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าถ้าทำดีก็จะได้รับรางวัล แต่ถ้าทำงานไม่ดีก็จะถูกลงโทษ ด้วยวิธีนี้จึงจะสามารถสร้างบารมีของคนเป็นผู้นำขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวซือฉุนก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา นางมีประโยชน์มากกว่าผู้หญิงคนไหนที่หลี่เฉินเคยพบมา หลี่เฉินซึ่งรู้ว่าหลิวซือฉุนมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด ก็เตรียมที่จะให้ของหวานแก่นาง แต่กลับไม่คิดว่า หลังจากหลิวซือฉุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางจะกล่าวว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงประทานผลประโยชน์ที่ตระกูลหลิวสมควรได้รับมาทั้งหมดแล้ว เมื่อมั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 299

    “มีหลายคนอยากเป็นนกในกรงแต่ไม่ได้เป็น เจ้าโวยวายเกินเหตุไปแล้ว”หลี่เฉินกล่าวอย่างทนไม่ไหว “เจ้าลองออกไปข้างนอกแล้วดูว่า โลกแห่งความเป็นจริงและปากท้องของประชาชนภายนอกเป็นเช่นไร คนหนุ่มสาวในยุทธภพมีแต่ความสุขและเอาแต่แก้แค้นกัน? นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่นักเล่าเรื่องใช้ในการหาเลี้ยงชีพ” “โลกแห่งความเป็นจริงก็คือ โลกที่ผู้คนยังคงอดอยาก และราษฎรก็ยังหาเลี้ยงชีพไม่ได้ หากเจ้าไม่มีครอบครัวที่ดี เจ้าจะได้เรียนหนังสือรู้ตัวหนังสือไหม ยังจะมีอุดมคติมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?”“ในบ้านของคนธรรมดา หากมีแต่ลูกชายก็ช่างเถอะ แต่ถ้าเป็นลูกสาว คนที่หน้าตาดีหน่อยจะถูกขายให้กับครอบครัวที่ร่ำรวยเพื่อเป็นอนุ ส่วนคนที่หน้าตาธรรมดาจะถูกขายไปเป็นสาวใช้ มีวิธีขายเสมอ แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็ให้แต่งกับครอบครัวที่มีฐานะดีในหมู่บ้าน ข้าวสารหนึ่งกำมือในถังข้าวก็สามารถแลกภรรยากลับบ้านได้ นี่คือชะตากรรมของผู้หญิงธรรมดา” “ลองคิดดีๆ เจ้ามีความสุขมากกว่าพวกนางแค่ไหน?” ซูจิ่นพ่ากัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าเหรอ ที่ผู้คนมีชีวิตแบบนี้?” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ภายในเกี้ยวที่สั่นไหวก็เงียบไป

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 918

    เหล่าแม่ทัพทำงานให้ราชสำนักจนสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ ครอบครัวของพวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เช่นนี้แล้วใครเล่าจะยอมรับได้?ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านเย่ว์หยานั้นมีหน้าที่และอำนาจสำคัญยิ่ง หากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไป และตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือปั่นป่วนเบื้องหลัง ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิต้าฉิน ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรทว่า ความลับเช่นนี้ ไฉนต้าสิงฮ่องเต้จึงบอกกับซูเจิ้นถิงไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน?พระองค์ทรงคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พระองค์ก็ได้ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างของจ้าวเสวียนจีแล้ว?ข่าวที่มาถึงอย่างกะทันหัน ทำให้ความคิดของหลี่เฉินสับสนในทันทีเขารู้สึกอย่างประหลาด ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ล้วนดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การเตรียมการของเสด็จพ่อผู้ที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพระแท่นบรรทมอำนาจของหน่วยบูรพา พันธไมตรีทางการเมืองของตระกูลซู แม้กระทั่งความลับท

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 917

    คำพูดของซูเจิ้นถิงทำให้หลี่เฉินรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือสถานะของซูเจิ้นถิง หากเขาสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าด่านเย่ว์หยาจะไม่ก่อกบฏ เช่นนั้น เรื่องนี้ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่มากหลี่เฉินขบคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "แม่ทัพซู ด่านเย่ว์หยาไม่อาจเกิดเรื่องได้ และยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ให้กองทัพเหลียวบุกเข้ามาได้"ซูเจิ้นถิงยิ้มขื่น กล่าวว่า "หลักการคือเช่นนั้น แต่ด่านเย่ว์หยาเป็นระบบปิดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ราชสำนักเลย แม้แต่หนิงอ๋องที่พยายามทุกวิถีทางมาตลอดหลายปีเพื่อเจาะเข้าไปในด่านเย่ว์หยาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หากจ้าวเสวียนจีได้วางหมากเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เราอยากจะพลิกสถานการณ์ให้ได้ในเวลาอันสั้นก็เป็นเรื่องยากเยี่ยงขึ้นสวรรค์""ภายในด่านเย่ว์หยา มีทหารพร้อมรบหกหมื่นนาย ทั้งหมดล้วนเป็นทหารผ่านศึกและทหารชั้นยอด นอกจากนี้ยังมีทหารสำรองอีกไม่น้อยกว่าสิบหมื่นคน พวกเขาทำงานปกติในยามสงบ แต่ก็ฝึกซ้อมอยู่เสมอ หากแนวป้องกันของด่านเย่ว์หยาตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนเหล่านี้สามารถสวมเกราะ หยิบอาวุธ และเข้าร่วมรบได้ในทันที""นอกจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันด่านเย่ว์หยา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 916

    คำกล่าวของสวีฉังชิงในตอนนี้ ทำให้สวีจวินโหลวรู้แจ้งประหนึ่งเปิดประตูสู่ปัญญาเขารู้สึกราวกับตนได้เปิดมุมมองใหม่ในการทำงาน อีกทั้งยังได้เปิดประตูสู่หัวใจของผู้คน"ท่านลุง หลานได้รับคำสอนแล้ว"สวีจวินโหลวถอยหลังหนึ่งก้าว ค้อมกายคารวะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ก่อนหน้านี้ หลานเคยคิดว่าตนสอบผ่านเป็นทั่นฮวาในการสอบจอหงวน จึงมักมีความเย่อหยิ่งอยู่บ้าง และไม่ค่อยเห็นค่าของเหล่าขันทีและข้ารับใช้ในตำหนักบูรพา""แต่บัดนี้ หลานเข้าใจแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีฐานะหรือที่มาสูงต่ำเพียงใด หากสามารถเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพียงเช่นนี้ การทำงานจึงจะราบรื่น และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ความเย่อหยิ่งของบัณฑิต แท้จริงแล้วไร้ซึ่งประโยชน์โดยสิ้นเชิง"เมื่อเห็นว่าสวีจวินโหลวเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อ สวีฉังชิงก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนักเขาตบไหล่ของสวีจวินโหลวอย่างหนักแน่น พร้อมกล่าวว่า "ไปเถิด วันนี้ลุงหลานเราดื่มกันให้เต็มที่สักหน่อย!"ณ พระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินกำลังจิบชาร่วมกับซูเจิ้นถิง"องค์รัชทายาททรงวางแผนอย่างรอบคอบ คิดว่าใต้เท้าสวีคงเข้าใจได้" ซูเจิ้นถิงรับฟังเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 915

    เมื่อขันทีจากไป สีหน้าหม่นหมองของสวีฉังชิง ก็จางหายไปโดยสิ้นเชิง ในใจของเขาตอนนี้มีเพียง ความรู้สึกขอบคุณและความตื่นเต้นเขารู้สึกขอบคุณองค์รัชทายาทที่ทรงพระเมตตา และรู้สึกตื่นเต้นที่ตระกูลสวีกำลังมีโอกาสรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งการได้รับตำแหน่งภรรยาขุนนางขั้นห้า ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าองค์รัชทายาทยังให้ความสำคัญกับตระกูลของเขาเมื่อนึกถึงอนาคตที่อาจมีกลุ่มขุนนางที่นำโดยตระกูลสวีเกิดขึ้นในราชสำนัก สวีฉังชิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่างเขาโบกมืออย่างตื่นเต้นและกล่าวเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคน! วันนี้เบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกสองเดือน! และให้โรงครัวเตรียมอาหารอย่างดี ทุกคนในจวนสามารถกินดื่มได้เต็มที่!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ข้ารับใช้ในจวนต่างส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจสวีฉังชิงหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็น สวีจวินโหลวทำท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ลังเล“เป็นอะไรไป?” สวีฉังชิงเอ่ยถามสวีจวินโหลวอึกอักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ท่านลุง...ขันทีที่มาส่งพระราชโองการนั้น ในตำหนักบูรพายังมีตำแหน่งต่ำกว่าข้าเสียอีก ถือว่าเป็นคนใต้บังคับบัญชาข้า ข้าควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่าง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 914

    ราชโองการหนึ่งฉบับ เนื้อหาไม่ยาวนักแต่ในคำไม่กี่ประโยคนั้น กลับเป็นสัญลักษณ์ของ พระมหากรุณาธิคุณและความไว้วางพระทัยอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลสวีในราชวงศ์นี้ภรรยาขุนนางชั้นห้า ได้รับการแต่งตั้งเพียงน้อยนิด ต้าสิงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เฉพาะเชื้อพระวงศ์และขุนนางใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้นในช่วงแรกที่ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ไม่มีการแต่งตั้งอีกเลยแต่ภายใต้การปกครองขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน มารดาของจ้าวหรุ่ยเป็นคนแรก นางหลิวแห่งตระกูลสวีเป็นคนที่สองนี่เป็นสัญญาณว่า สถานะของสองลุงหลานแห่งตระกูลสวีในตำหนักบูรพานั้นมั่นคงอย่างยิ่งสวีฉังชิงถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความตื้นตันต่างจากสวีจวินโหลวที่ยังเยาว์วัย คิดเพียงแต่ความปลาบปลื้ม เขากลับคิดไปไกลกว่านั้นเขาตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือรางวัลและการปลอบโยนจากองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทกำลังบอกเขาผ่านสวีจวินโหลวว่า ตำหนักบูรพายังคงไว้วางใจเขา ความพยายามของเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา องค์รัชทายาทล้วนมองเห็นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง เขาคุกเข่ากราบลงกับพื้น ศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างแรง สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "กระหม่อม ขอบพระทัยในพระมห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 913

    สวีจวินโหลวยังเยาว์วัย เมื่อถูกความปลื้มปิติเข้าครอบงำ จึงไม่ได้คิดว่าเหตุใดตนเพียงแค่ได้อันดับสามของการสอบคัดเลือก กลับสามารถทำให้ป้าของตนได้รับตำแหน่งภรรยาขุนนางชั้นห้าได้ ในขณะที่ฟู่หมิ่นชิงและโจวเฉิงหลง ซึ่งมีอันดับสูงกว่ากลับไม่ได้เป็นเพียงเพราะหลี่เฉินกล่าวว่า ต้องการใช้รางวัลนี้กระตุ้นให้ผู้อื่นรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือ หากเป็นเช่นนั้น ก็ดูง่ายดายและลวกเกินไป"กระหม่อม ขอขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์รัชทายาท"เมื่อเห็นสวีจวินโหลวเต็มไปด้วยความปีติ หลี่เฉินก็แย้มยิ้ม กล่าวขึ้นว่า "ฎีกาจะถูกร่างขึ้นในภายหลัง หลังจากที่เจ้าเลิกงานแล้ว จะมีขันทีไปประกาศราชโองการพร้อมกับเจ้า""ขอบพระทัยองค์รัชทายาท"สวีจวินโหลวขอบพระทัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะลาจากพระที่นั่งสีเจิ้งในยุคโบราณ เวลาทำงานของขุนนางก็ถูกกำหนดไว้เช่นกันไม่ต่างจากยุคปัจจุบันนัก โดยจะเริ่มงานในยามเหม่า หรือประมาณเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าเตี้ยนเหม่าส่วนเวลาเลิกงานโดยทั่วไปคือ ยามเซิน หรือประมาณสี่โมงเย็นทำงานเรียกว่าเตี้ยนเหม่า เลิกงานจะเรียกว่าส่านจื๋อ หรือส่านหย่า ซึ่งมีหลากหลายชื่อเรียก แต่ความหมายล้วนคล้ายกัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 912

    ไม่ต้องกังวล?พูดง่ายนักสวีฉังชิงเผยรอยยิ้มขมขื่นเขาเองก็เคยมีปฏิสัมพันธ์กับกวนจือเหวยไม่น้อยโดยเฉพาะเมื่อซูเจิ้นถิง โจวผิงอัน และคนอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง สวีฉังชิงรู้สึกว่าตำแหน่งของตนในฐานะผู้อาวุโสของตำหนักบูรพาเริ่มสั่นคลอน จึงได้ติดต่อกับกวนจือเหวยมากขึ้นกว่าเดิมแต่ตอนนี้ปรากฏว่ากวนจือเหวยเป็นคนของจ้าวเสวียนจี ตอนนี้เขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าองค์รัชทายาทจะสงสัยในตัวเขาด้วยหรือไม่?คิดไปคิดมา เขาก็ไม่อาจหาทางออกที่ดีได้หากรีบชี้แจง ก็จะกลายเป็นว่าไม่มีเงินซุกใต้ดิน แต่กลับรีบปิดฝาไว้หากไม่อธิบาย ก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอึดอัดติดอยู่ในใจสุดท้าย สวีฉังชิงได้แต่กล้ำกลืนความขุ่นเคืองทั้งหมดไว้ แล้วกล่าวลาจากไปหลี่เฉินมองแผ่นหลังของสวีฉังชิงแล้วส่ายศีรษะ จากนั้นจึงหันไปพูดกับวั่นเจียวเจียวว่า "ไม่ต้องนวดแล้ว ไปเรียกสวีจวินโหลวมาหาข้า""เพคะ"วั่นเจียวเจียวรับคำอย่างแจ่มใส ก่อนจะถอยออกไปไม่นานนัก สวีจวินโหลวก็รีบร้อนมาถึงพระที่นั่งสีเจิ้ง คุกเข่ากล่าวคารวะ"กระหม่อม สวีจวินโหลว ขอคารวะองค์รัชทายาท""อืม"หลี่เฉินพ่นเสียงรับเบาๆ ผ่านทางจมูก ยังคงก้มหน้าจัดการราชกิจพลางก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 911

    "ข่าวสารถูกส่งไป จากนั้นทหารใต้บังคับบัญชาก็ดำเนินการต่อ แม้จะเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน และในช่วงเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ แม้คำนวณจากวันนี้ย้อนกลับไป ครึ่งเดือนก่อน ก็คือเวลาที่เย่ลู่เสินเสวียนออกเดินทางกลับพอดี ดังนั้นในแง่ของเวลา อย่างไรก็ไม่เพียงพอ""นี่เป็นเพียงปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น จ้าวเสวียนจีรู้เรื่องล่วงหน้าได้อย่างไร เขาวางแผนหรือจัดเตรียมสิ่งใดไว้ที่ด่านเย่ว์หยา ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ยังไม่อาจทราบได้ ดังนั้นกระหม่อมเห็นว่า ความเป็นไปได้ที่จ้าวเสวียนจีจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้นั้นไม่สูงนัก""กระหม่อมคิดว่า ปัญหาน่าจะมาจากหนิงอ๋องเสียมากกว่า"หลี่เฉินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ กล่าวขึ้นว่า "สิ่งที่เจ้าคิดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง""เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข่าวกรองนี้ ใครเป็นผู้ส่งมา?"สวีฉังชิงได้ยินเช่นนั้นก็ชะงัก รู้สึกตกตะลึงไม่น้อยข่าวนี้ส่งมาถึงตำหนักบูรพาแล้ว จะเป็นใครส่งมาได้อีก?ไม่ใช่หน่วยบูรพาหรอกหรือ?"แคว้นจิน"หลี่เฉินหัวเราะเยาะ กล่าวว่า "ด่านเย่ว์หยาราวกับตายไปแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ หนิงอ๋องวางแผนล้มเหลวก็ไม่มีข่าวตอบกลับ ท้ายที่สุดข้าใ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 910

    ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เมื่อหลี่เฉินทราบว่าสวีฉังชิงขอเข้าเฝ้า ก็อนุญาตให้เข้ามาทันที“กระหม่อมสวีฉังชิง ขอถวายบังคมองค์รัชทายาทพันปี...”“ไม่ต้องมากพิธี”หลี่เฉินนวดขมับเบาๆ แต่ความปวดหัวก็ยังไม่ทุเลา จึงโบกมือให้วั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามานวดผ่อนคลายให้ เขาหลับตาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย แม้เหวินอ๋องจะทำการอันไม่สมควร แต่จัดการเขาเสียก็พอ ขอองค์ชายอย่าได้โกรธจนเสียสุขภาพเลยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินลืมตาขึ้น มองไปที่สวีฉังชิงพร้อมรอยยิ้ม “พวกเจ้ารู้ข่าวไวดีจริง วันนี้เพิ่งเกิดเรื่องก็ลือกันไปทั่วเมืองแล้ว”“หลานของเจ้าคงบอกเจ้าว่าข้าถูกเหวินอ๋องยั่วจนโกรธมาก แล้วกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวีฉังชิงรีบพยายามจะอธิบายเพราะตอนนี้สวีจวินโหลวถือว่าเป็นคนใกล้ชิดในตำหนักบูรพา และในตำแหน่งที่ไวต่อทุกเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันขององค์รัชทายาท การพูดจาไม่ระวังจะทำให้เกิดปัญหาได้ สวีฉังชิงจึงไม่อยากให้หลี่เฉินมีความเห็นไม่ดีต่อหลานของตน“ไม่ต้องอธิบาย”หลี่เฉินขัดคำพูดของสวีฉังชิง “มันเป็นเรื่องธร

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status