หลี่เฉินไม่รู้ว่าซูจิ่นพ่ากำลังคิดอะไรอยู่เขาอย่างสงบว่า “ก่อนที่จะบรรลุปณิธาน สิ่งแรกที่ข้าต้องทำก็คือการเสริมสร้างอำนาจของข้า ตอนนี้ข้าคือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่บางสิ่งแม้ไม่พูดเจ้าก็คงจะรู้ อำนาจในราชสำนักของข้านั้นมีน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามันถูกดูแลโดยสำนักราชเลขา ดูแลอาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูดี แต่กฤษฎีกาของข้า ถ้าหากจ้าวเสวียนจีไม่พยักหน้า ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้”ในดวงตาของหลี่เฉินฉายแววชั่วร้ายขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า “ดังนั้นข้าต้องการอำนาจ ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ข้าบรรลุปณิธาน”“ในการเมืองการเชื่อมต่อคือสิ่งสำคัญ ข้ากับบิดาของเจ้าเป็นพันธมิตรกัน แต่ความสัมพันธ์เชิงพันธมิตรนี้เปราะบางเกินไป บิดาของเจ้ายังกังวลว่าสักวันหนึ่งข้าอาจจะทำเรื่องเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ดังนั้น การให้เจ้าแต่งเป็นพระชายาเข้ามาในตำหนักบูรพา จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”“ตระกูลซู สามารถเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งไปตลอดชีวิต ในอนาคต เมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าก็จะกลายเป็นฮองเฮา บิดาของเจ้าก็จะกลายเป็นพระสัสส
“ไม่ ไม่ใช่กลุ่มกบฏหรือพวกโจร แต่เป็นเฉินทง เป็นองค์รัชทายาท! เขาฆ่าพวกเขา!” เหวินซานเล่าถึงกระบวนการทั้งหมดและสิ่งที่หลี่เฉินขอให้เขาพูดแบบคำต่อคำภายใต้การเล่าเรื่องของเหวินซาน สีหน้าของหลงเทียนเต๋อและหลงไหวอวี้ ก็ยิ่งตกตะลึงและเย็นชามากขึ้นหลังจากที่เหวินซานพูดจบ หลงเทียนเต๋อก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างอบอุ่นกับเหวินซานว่า “เหวินซาน การเดินทางในครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ หลังจากที่เจ้าฟื้นตัวดีแล้ว ก็ค่อยวางแผนกันอีกที” หลังจากที่ปลอบเหวินซานแล้ว หลงเทียนเต๋อก็ลุกขึ้น และไปห้องหนังสือกับหลงไหวอวี้ รอจนหลงไหวอวี้ปิดประตู ใบหน้าของหลงเทียนเต๋อก็มืดมนโดยสิ้นเชิง เขาตบมือลงกับโต๊ะและตะโกนด้วยความโกรธว่า “องค์รัชทายาทหลี่เฉิน กล้าดีอย่างไรมาทำให้พวกเราอับอายเช่นนี้!” หลงไหวอวี้ปลอบใจเขา “ท่านพ่อ ใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เราต้องพิจารณาว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”หลงเทียนเต๋อกล่าวเสียงเย็นชา “เราจะจัดการอย่างไร? ความหมายของหลี่เฉินก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการจะพูดคุยกับเรา ถึงแม้ว่าเราจะคุยเขา แต่เขาก็จะเป็นผู้นำ เพราะว่าเราไปขอร้องเขา ในเรื่องนี้ มณฑลซีซ
คำแนะนำของหลงไหวอวี้ทำให้หลงเทียนเต๋อขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาแสดงความเคร่งขรึมและครุ่นคิด หลงไหวอวี้กล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านพ่อ จริงๆ แล้วพวกเราประเมินองค์รัชทายาทองค์นี้ต่ำเกินไป”หลงเทียนเต๋อเหลือบมองหลงไหวอวี้แล้วกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลงไหวอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทคนนี้มีแผนการและมีความสามารถอยู่บ้าง”“ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถ้าหากเขาพบกับเหวินซานและคนอื่นๆ โดยตรง มันจะพิสูจน์ได้ว่าเขามีกลยุทธ์ แต่ไร้ซึ่งความกล้าหาญ และทำให้เรามีจุดยืนในการเจรจากับเขาอย่างเท่าเทียม แต่ถ้าหากเขาฆ่าพวกเหวินซานทุกคน เขาจะเป็นพวกที่มีแต่ความกล้าหาญ แต่ไร้ซึ่งกลยุทธ์ เป็นพวกโง่เขลาโดยสิ้นเชิง เพราะว่านี่จะบีบให้พวกเราไปเข้าข้างฝ่ายศัตรู ซึ่งนี่ไม่เป็นผลประโยชน์สำหรับเขา”“ในการแก้ปัญหาเดียวกัน เมื่อยืนอยู่ในความสูงที่ต่างกันก็จะมีความคิดและวิธีการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งผลลัพธ์”หลงไหวอวี้เม้มริมฝีปากแล้วพูดต่อ “สำหรับพวกเรา นี่เป็นเพียงเรื่องรากฐานของครอบครัว อนาคตหรือแม้แต่ความอยู่รอดของกลุ่มผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน แต่จากมุมมองขององค์รัชทายาท วิธีจัดก
“โหดเหี้ยมเช่นนี้ ไม่กลัวที่จะเกิดการโต้กลับหรือความโกรธเคืองของสาธารณชนเลยหรือ?”หลงเทียนเต๋อพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มหลงไหวอวี้ยิ้มและกล่าวว่า “คนเช่นนี้ เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ปกครองใต้หล้า เขาอาจจะเป็นจักรพรรดิที่เลื่องชื่อนานนับพันปี หรือจะเป็นเผด็จการครองอำนาจได้ทั้งนั้น” หลงไหวอวี้ประสานมือคำนับหลงเทียนเต๋อแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ พวกเราควรเดินทางไปด้วยกัน”“การที่เขาฆ่าคนแล้วให้คนมาแจ้งข่าว ความหมายก็คือเขายังไม่มีแผนที่จะใช้ทางเลือกที่สอง อย่างน้อยก็ยังมีช่องว่างให้ประนีประนอมได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปเยือนเมืองหลวงสักรอบหนึ่ง ไปเที่ยวตำหนักบูรพาสักรอบหนึ่ง ให้หน้าเขาสักหน่อยจะเป็นไรไป? ผลประโยชน์ที่แท้จริงก็คือ ชัยชนะของพวกเรา”หลงเทียนเต๋อขมวดคิ้ว “แต่ถ้าไป แล้วเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ล่ะ เราจะปล่อยให้เขาฆ่าตามใจชอบงั้นเหรอ?”หลงไหวอวี้กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า “ท่านพ่อวางใจเถอะ มีลูกอยู่ด้วย แม้จะเป็นองค์รัชทายาท ก็อย่าคิดที่จะบีบพวกเราได้ง่ายๆ” “ในเมื่อข้าเข้าใจจิตใจของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่มีอำนาจเหนือพวกเรานักหรอก ลูกมีวิธีจัดการกับเขา”หลง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่จะหาเงินมาจากไหน?หลี่เฉินขมวดคิ้ว และเกิดความอยากที่จะมีปัญหากับขุนนางคนสำคัญบางคนในราชสำนัก แล้วยึดทรัพย์สักสองสามหลัง แต่ก็ปัดความคิดทิ้งไปในชั่วพริบตา การบุกบ้านยึดทรัพย์เป็นเรื่องสนุก แต่ก็ต้องมีขีดจำกัดนับตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในปีนี้ เขาก็ได้สังหารขุนนางระดับสูงไปเป็นจำนวนมาก และยึดทรัพย์ของคนเหล่านั้น ถ้าหากเขายังสังหารไม่เลิก ก็อาจจะเป็นการบีบให้ขุนนางในราชสำนักคนอื่นๆ ไปอยู่ฝ่ายจ้าวเสวียนจี สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเวทีการเมืองของหลี่เฉิน “วันนี้วันที่เท่าไหร่?” หลี่เฉินถาม “วันที่ 20 ของเดือนจันทรคติที่ 12 แล้ว” สวีฉังชิงตอบ “งั้นเหลือเวลาอีกแค่ห้าวัน?”หลี่เฉินตะคอกอย่างเย็นชา “เหลือเวลาแค่ห้าวัน เจ้าจะขอให้ข้าเสกเงินให้เจ้าเจ็ดแปดแสนตำลึงอย่างไร?”สวีฉังชิงหยิบสาส์นกราบทูลออกมาจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางมีเลศนัย จากนั้นก็พูดว่า “ฝ่าบาท นี่คืองบประมาณในการก่อสร้างจวนจ้าวอ๋อง โปรดทรงทอดพระเนตร”หลี่เฉินอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้วั่นเจียวเจียวไปรับสาส์นกราบทูลมาหลังจากได้รับสาส์นกราบทูลแล้ว
เพล้ง ถ้วยเซรามิกอันประณีตถูกเขวี้ยงลงบนพื้นจนแตกเป็นชิ้นๆ จ้าวไท่ไหลกระโดดลุกขึ้นยืนและสาปแช่ง “รังแกกันเกินไปแล้ว รังแกคนเกินไปแล้ว!”“เงินทั้งหมดที่ข้าทำงานอย่างหนักเพื่อหามา ถูกองค์รัชทายาทปล้นเอาไปจนหมด!? เขาอนุมัติแค่ 300,000 ตำลึง เงิน 300,000 ตำลึงจะทำอะไรได้!?” ภายในห้อง นอกจากจ้าวไท่ไหลที่โกรธแค้นแล้ว ยังมีหลี่อิ๋นหู่ที่นั่งทำหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ด้วยทั้งสองมีอายุใกล้เคียงกัน ต้องขอบคุณการกระทำโดยเจตนาของหลี่อิ๋นหู่ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อย่างน้อย จ้าวไท่ไหลก็ถือว่าองค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องคนแรกของรัชสมัยนี้ เป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา “อดทนและอย่าใจร้อน”หลี่อิ๋นหู่กล่าว “ข้าไม่ร้อนใจ แล้วทำไมเจ้าถึงร้อนใจล่ะ ด้วยเงิน 300,000 ตำลึง ถ้าสร้างตามข้อกำหนดโดยมีงบประมาณ 300,000 ตำลึง มันก็ไม่โทรมมากนัก” จ้าวไท่ไหลพูดด้วยความโกรธ “จ้าวอ๋อง...”“ด้วยความสัมพันธ์ของข้าและเจ้า ยังจะเรียกจ้าวอ๋องอะไรอีก”หลี่อิ๋นหู่พูดด้วยรอยยิ้ม “เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้”จ้าวไท่ไหลได้ยินดังนั้น เ
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลี่อิ๋นหู่จากไปแล้ว จ้าวไท่ไหลซึ่งยังคงรู้สึกโกรธอยู่ ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขารีบกลับบ้านและตรงไปหาบิดาที่ห้องหนังสือทันที ซึ่งก็คือจ้าวเสวียนจี ท่านราชเลขาแห่งสำนักราชเลขา “ท่านพ่อ ท่านทราบเรื่องในวันนี้หรือไม่?”จ้าวไท่ไหลนั่งลงตรงข้ามจ้าวเสวียนจีแล้วถาม จ้าวเสวียนจีก้มหน้าเขียนตัวอักษร โดยมุ่งความสนใจไปที่ปลายพู่กันที่ไม่สั่นคลอน พลังพู่กันนั่นแทบจะทะลุไปหลังกระดาษ ขณะตอบกลับจ้าวไท่ไหล “เรื่องอะไร?” “เรื่องอะไร!?”ดวงตาของจ้าวไท่ไหลเบิกกว้าง และพูดอย่างไม่พอใจว่า “ตำหนักบูรพาส่งลายพระหัตถ์ลงมา เพื่อเปลี่ยนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจวนจ้าวอ๋อง จาก 1.1 ล้านตำลึงเป็น 300,000 ตำลึง! สามแสน! สามแสนเพื่อสร้างจวนจ้าวอ๋อง! เขาต้องการเอาเงินทั้งหมดไป เห็นได้ชัดว่าต้องกลืนเงินที่ข้าหามาได้อย่างยากลำบาก?”“หายไปแปดแสนตำลึง นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้วสินะ ทางราชสำนักกำลังมอบของขวัญปีใหม่ให้กับขุนนางหลายร้อยคน เงินนั่นคงพอดีกับช่องว่างนี้สินะ ไม่น่าแปลกใจเลย”จ้าวเสวียนจีพูดอย่างใจเย็น “สามแสนตำลึงก็ดี 1.1ล้านก็ดี ทั้งหมดก็แค่เรื่องเล็กน้อย
จ้าวเสวียนจีไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นสิ่งนี้ เขาก็กล้าหาญมากขึ้นและรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น“วินาทีแรกที่ข้าสบตากับจิ่นพ่า ข้าก็สาบานแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากนาง!” “หลี่เฉินคือองค์รัชทายาท ข้าไม่กล้าแข่งกับเขา เพราะสู้เขาไม่ได้ แต่ข้าจิ่นพ่าต้องการ!”จ้าวเสวียนจียังคงสงบ เขาถึงกับนั่งลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “พูดมา เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่”จ้าวไท่ไหลตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขากล่าวว่า “นิสัยของจิ่นพ่าเป็นเช่นไรข้ารู้ดี นางหยิ่งในศักดิ์ศรีและเย็นชา ไม่มีชายคนใดในใต้กล้าที่สามารถดึงดูดสายตาของนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาท นอกจากสถานะที่สูงส่งแล้วเขามีอะไรดีอีกล่ะ? อีกอย่าง สิ่งที่จิ่นพ่าไม่ชอบที่สุดก็คือการใช้สถานะมากดดันคนอื่น ดังนั้นการแต่งงานนี้ จิ่นพ่าไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน” จ้าวไท่ไหลปราดเข้ามาหาจ้าวเสวียนจีด้วยความตื่นเต้น เขาพูดอย่างจริงใจ “ท่านพ่อได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าอยากแต่งงานกับจิ่นพ่า!” จ้าวเสวียนจีมองจ้าวไท่ไหลอย่างจริงจังและพูดว่า “เจ้ากลัวข้ามาตั้งแต่เด็ก และไม่ค่อยขออะไรจากข้า นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขอร้องข้า”จ้าวไท่ไหลตา