เมื่อฟังการแนะนำของหลี่เฉิน ดวงตาของซูจิ่นพ่าก็เบิกกว้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความไม่เชื่อที่ไม่อาจระงับได้ จากการแนะนำของหลี่เฉิน นางจับใจความได้สองอย่าง ข้อแรกคือพืชชนิดนี้เรียกว่ามันเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารหลักได้ อีกข้อคือมันให้ผลผลิตมากกว่าธัญพืชธรรมดาถึงสิบถึงยี่สิบเท่า แนวคิดนี้คืออะไร?หากเป็นความจริง อาจกล่าวได้ว่ามันช่วยบรรเทาปัญหาที่รบกวนหัวเซี่ยมานานนับพันปีได้อย่างมาก นั่นก็คือ : ความอดอยาก! ตั้งแต่สมัยโบราณ อาหารถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คน ผู้คนจะก่อกบฏหากพวกเขามีอาหารไม่เพียงพอ แต่ถ้าหากทุกคนมีอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวม แล้วใครจะยอมเสี่ยงเสียหัวเพื่อก่อกบฏ? หากผู้ใดสามารถแก้ปัญหาเรื่องอาหารได้ ผู้นั้นย่อมเป็นนักปราชญ์ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ และถ้าหากบุคคลนี้คือองค์รัชทายาท ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจของจักรพรรดิและความตั้งใจของประชาชน ใต้หล้านี้จะมีใครต่อต้านเขาได้? ใครจะกล้าต่อต้านเขา!?ในช่วงเวลาสั้นๆ ซูจิ่นพ่าก็คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างถึงแม้ว่านางจะมีนิสัยถือดีและเย็นชา แต่เวลานี้ก็อดหายใจไม่ออก“ฝ่าบาท ทรงจริงจังหรือไม
หลังจากที่พูดจบ ก่อนที่ซูจิ่นพ่าจะทันได้โต้ตอบ หลี่เฉินก็หันไปหาหลิวซือฉุนซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอด แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ ตระกูลหลิวของเจ้ากับเจ้าก็สามารถจดจำว่ามีผลงานได้”หลิวซือฉุนรีบตอบกลับไปว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามคำแนะนำของฝ่าบาท ตระกูลหลิวและหม่อมฉันเพียงแค่วิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ ทำสิ่งที่ทุกคนก็สามารถทำได้” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ภารกิจในครั้งนี้จัดการได้ดีมาก เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล?”หากต้องการให้คนเบื้องล่างทำงานถวายชีวิตให้ ประการแรกต้องมีรางวัลและการลงโทษที่ชัดเจน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าถ้าทำดีก็จะได้รับรางวัล แต่ถ้าทำงานไม่ดีก็จะถูกลงโทษ ด้วยวิธีนี้จึงจะสามารถสร้างบารมีของคนเป็นผู้นำขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวซือฉุนก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา นางมีประโยชน์มากกว่าผู้หญิงคนไหนที่หลี่เฉินเคยพบมา หลี่เฉินซึ่งรู้ว่าหลิวซือฉุนมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด ก็เตรียมที่จะให้ของหวานแก่นาง แต่กลับไม่คิดว่า หลังจากหลิวซือฉุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางจะกล่าวว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงประทานผลประโยชน์ที่ตระกูลหลิวสมควรได้รับมาทั้งหมดแล้ว เมื่อมั
“มีหลายคนอยากเป็นนกในกรงแต่ไม่ได้เป็น เจ้าโวยวายเกินเหตุไปแล้ว”หลี่เฉินกล่าวอย่างทนไม่ไหว “เจ้าลองออกไปข้างนอกแล้วดูว่า โลกแห่งความเป็นจริงและปากท้องของประชาชนภายนอกเป็นเช่นไร คนหนุ่มสาวในยุทธภพมีแต่ความสุขและเอาแต่แก้แค้นกัน? นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่นักเล่าเรื่องใช้ในการหาเลี้ยงชีพ” “โลกแห่งความเป็นจริงก็คือ โลกที่ผู้คนยังคงอดอยาก และราษฎรก็ยังหาเลี้ยงชีพไม่ได้ หากเจ้าไม่มีครอบครัวที่ดี เจ้าจะได้เรียนหนังสือรู้ตัวหนังสือไหม ยังจะมีอุดมคติมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?”“ในบ้านของคนธรรมดา หากมีแต่ลูกชายก็ช่างเถอะ แต่ถ้าเป็นลูกสาว คนที่หน้าตาดีหน่อยจะถูกขายให้กับครอบครัวที่ร่ำรวยเพื่อเป็นอนุ ส่วนคนที่หน้าตาธรรมดาจะถูกขายไปเป็นสาวใช้ มีวิธีขายเสมอ แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็ให้แต่งกับครอบครัวที่มีฐานะดีในหมู่บ้าน ข้าวสารหนึ่งกำมือในถังข้าวก็สามารถแลกภรรยากลับบ้านได้ นี่คือชะตากรรมของผู้หญิงธรรมดา” “ลองคิดดีๆ เจ้ามีความสุขมากกว่าพวกนางแค่ไหน?” ซูจิ่นพ่ากัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าเหรอ ที่ผู้คนมีชีวิตแบบนี้?” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ภายในเกี้ยวที่สั่นไหวก็เงียบไป
หลี่เฉินไม่รู้ว่าซูจิ่นพ่ากำลังคิดอะไรอยู่เขาอย่างสงบว่า “ก่อนที่จะบรรลุปณิธาน สิ่งแรกที่ข้าต้องทำก็คือการเสริมสร้างอำนาจของข้า ตอนนี้ข้าคือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่บางสิ่งแม้ไม่พูดเจ้าก็คงจะรู้ อำนาจในราชสำนักของข้านั้นมีน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามันถูกดูแลโดยสำนักราชเลขา ดูแลอาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูดี แต่กฤษฎีกาของข้า ถ้าหากจ้าวเสวียนจีไม่พยักหน้า ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้”ในดวงตาของหลี่เฉินฉายแววชั่วร้ายขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า “ดังนั้นข้าต้องการอำนาจ ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ข้าบรรลุปณิธาน”“ในการเมืองการเชื่อมต่อคือสิ่งสำคัญ ข้ากับบิดาของเจ้าเป็นพันธมิตรกัน แต่ความสัมพันธ์เชิงพันธมิตรนี้เปราะบางเกินไป บิดาของเจ้ายังกังวลว่าสักวันหนึ่งข้าอาจจะทำเรื่องเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ดังนั้น การให้เจ้าแต่งเป็นพระชายาเข้ามาในตำหนักบูรพา จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”“ตระกูลซู สามารถเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งไปตลอดชีวิต ในอนาคต เมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าก็จะกลายเป็นฮองเฮา บิดาของเจ้าก็จะกลายเป็นพระสัสส
“ไม่ ไม่ใช่กลุ่มกบฏหรือพวกโจร แต่เป็นเฉินทง เป็นองค์รัชทายาท! เขาฆ่าพวกเขา!” เหวินซานเล่าถึงกระบวนการทั้งหมดและสิ่งที่หลี่เฉินขอให้เขาพูดแบบคำต่อคำภายใต้การเล่าเรื่องของเหวินซาน สีหน้าของหลงเทียนเต๋อและหลงไหวอวี้ ก็ยิ่งตกตะลึงและเย็นชามากขึ้นหลังจากที่เหวินซานพูดจบ หลงเทียนเต๋อก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างอบอุ่นกับเหวินซานว่า “เหวินซาน การเดินทางในครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ หลังจากที่เจ้าฟื้นตัวดีแล้ว ก็ค่อยวางแผนกันอีกที” หลังจากที่ปลอบเหวินซานแล้ว หลงเทียนเต๋อก็ลุกขึ้น และไปห้องหนังสือกับหลงไหวอวี้ รอจนหลงไหวอวี้ปิดประตู ใบหน้าของหลงเทียนเต๋อก็มืดมนโดยสิ้นเชิง เขาตบมือลงกับโต๊ะและตะโกนด้วยความโกรธว่า “องค์รัชทายาทหลี่เฉิน กล้าดีอย่างไรมาทำให้พวกเราอับอายเช่นนี้!” หลงไหวอวี้ปลอบใจเขา “ท่านพ่อ ใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เราต้องพิจารณาว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”หลงเทียนเต๋อกล่าวเสียงเย็นชา “เราจะจัดการอย่างไร? ความหมายของหลี่เฉินก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว เขาไม่ต้องการจะพูดคุยกับเรา ถึงแม้ว่าเราจะคุยเขา แต่เขาก็จะเป็นผู้นำ เพราะว่าเราไปขอร้องเขา ในเรื่องนี้ มณฑลซีซ
คำแนะนำของหลงไหวอวี้ทำให้หลงเทียนเต๋อขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาแสดงความเคร่งขรึมและครุ่นคิด หลงไหวอวี้กล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านพ่อ จริงๆ แล้วพวกเราประเมินองค์รัชทายาทองค์นี้ต่ำเกินไป”หลงเทียนเต๋อเหลือบมองหลงไหวอวี้แล้วกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลงไหวอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทคนนี้มีแผนการและมีความสามารถอยู่บ้าง”“ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถ้าหากเขาพบกับเหวินซานและคนอื่นๆ โดยตรง มันจะพิสูจน์ได้ว่าเขามีกลยุทธ์ แต่ไร้ซึ่งความกล้าหาญ และทำให้เรามีจุดยืนในการเจรจากับเขาอย่างเท่าเทียม แต่ถ้าหากเขาฆ่าพวกเหวินซานทุกคน เขาจะเป็นพวกที่มีแต่ความกล้าหาญ แต่ไร้ซึ่งกลยุทธ์ เป็นพวกโง่เขลาโดยสิ้นเชิง เพราะว่านี่จะบีบให้พวกเราไปเข้าข้างฝ่ายศัตรู ซึ่งนี่ไม่เป็นผลประโยชน์สำหรับเขา”“ในการแก้ปัญหาเดียวกัน เมื่อยืนอยู่ในความสูงที่ต่างกันก็จะมีความคิดและวิธีการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งผลลัพธ์”หลงไหวอวี้เม้มริมฝีปากแล้วพูดต่อ “สำหรับพวกเรา นี่เป็นเพียงเรื่องรากฐานของครอบครัว อนาคตหรือแม้แต่ความอยู่รอดของกลุ่มผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน แต่จากมุมมองขององค์รัชทายาท วิธีจัดก
“โหดเหี้ยมเช่นนี้ ไม่กลัวที่จะเกิดการโต้กลับหรือความโกรธเคืองของสาธารณชนเลยหรือ?”หลงเทียนเต๋อพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มหลงไหวอวี้ยิ้มและกล่าวว่า “คนเช่นนี้ เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ปกครองใต้หล้า เขาอาจจะเป็นจักรพรรดิที่เลื่องชื่อนานนับพันปี หรือจะเป็นเผด็จการครองอำนาจได้ทั้งนั้น” หลงไหวอวี้ประสานมือคำนับหลงเทียนเต๋อแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ พวกเราควรเดินทางไปด้วยกัน”“การที่เขาฆ่าคนแล้วให้คนมาแจ้งข่าว ความหมายก็คือเขายังไม่มีแผนที่จะใช้ทางเลือกที่สอง อย่างน้อยก็ยังมีช่องว่างให้ประนีประนอมได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปเยือนเมืองหลวงสักรอบหนึ่ง ไปเที่ยวตำหนักบูรพาสักรอบหนึ่ง ให้หน้าเขาสักหน่อยจะเป็นไรไป? ผลประโยชน์ที่แท้จริงก็คือ ชัยชนะของพวกเรา”หลงเทียนเต๋อขมวดคิ้ว “แต่ถ้าไป แล้วเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ล่ะ เราจะปล่อยให้เขาฆ่าตามใจชอบงั้นเหรอ?”หลงไหวอวี้กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า “ท่านพ่อวางใจเถอะ มีลูกอยู่ด้วย แม้จะเป็นองค์รัชทายาท ก็อย่าคิดที่จะบีบพวกเราได้ง่ายๆ” “ในเมื่อข้าเข้าใจจิตใจของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่มีอำนาจเหนือพวกเรานักหรอก ลูกมีวิธีจัดการกับเขา”หลง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่จะหาเงินมาจากไหน?หลี่เฉินขมวดคิ้ว และเกิดความอยากที่จะมีปัญหากับขุนนางคนสำคัญบางคนในราชสำนัก แล้วยึดทรัพย์สักสองสามหลัง แต่ก็ปัดความคิดทิ้งไปในชั่วพริบตา การบุกบ้านยึดทรัพย์เป็นเรื่องสนุก แต่ก็ต้องมีขีดจำกัดนับตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในปีนี้ เขาก็ได้สังหารขุนนางระดับสูงไปเป็นจำนวนมาก และยึดทรัพย์ของคนเหล่านั้น ถ้าหากเขายังสังหารไม่เลิก ก็อาจจะเป็นการบีบให้ขุนนางในราชสำนักคนอื่นๆ ไปอยู่ฝ่ายจ้าวเสวียนจี สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อเวทีการเมืองของหลี่เฉิน “วันนี้วันที่เท่าไหร่?” หลี่เฉินถาม “วันที่ 20 ของเดือนจันทรคติที่ 12 แล้ว” สวีฉังชิงตอบ “งั้นเหลือเวลาอีกแค่ห้าวัน?”หลี่เฉินตะคอกอย่างเย็นชา “เหลือเวลาแค่ห้าวัน เจ้าจะขอให้ข้าเสกเงินให้เจ้าเจ็ดแปดแสนตำลึงอย่างไร?”สวีฉังชิงหยิบสาส์นกราบทูลออกมาจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางมีเลศนัย จากนั้นก็พูดว่า “ฝ่าบาท นี่คืองบประมาณในการก่อสร้างจวนจ้าวอ๋อง โปรดทรงทอดพระเนตร”หลี่เฉินอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้วั่นเจียวเจียวไปรับสาส์นกราบทูลมาหลังจากได้รับสาส์นกราบทูลแล้ว