“บ่าวขอบพระทัยนางสนมเพคะ” วั่นเจียวเจียวกล่าวอีกครั้ง จ้าวหรุ่ยพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท เช่นนี้ได้หรือไม่?” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ “ไม่เลวเลย” เมื่อมองไปที่จ้าวหรุ่ยซึ่งกำลังอมยิ้มจางๆ ขณะตักซุปให้ตัวเอง ความคิดของหลี่เฉินก็โลดแล่นขึ้นมา ตอนนี้จ้าวหรุ่ยและจ้าวชิงหลานได้แตกคอกันแล้ว นางจึงเอาความคิดและความใส่ใจทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเขา ดูเหมือนว่าคุณลักษณะการต่อสู้ในวังหลังจะถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้วประโยคเมื่อครู่ ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรผิดปรกติ แต่ค่อนข้างจะเน้นย้ำว่าวั่นเจียวเจียวจะต้องจดจำสถานะของตัวเองให้ดี และไม่ควรมีความคิดอื่นที่ไม่ควรมี จ้าวหรุ่ยกำลังมองหาการเปลี่ยนแปลงในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาง ในอนาคต เมื่อพระชายาที่แท้จริงแต่งเข้ามาในวัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีละครดีๆ ให้ชมกัน ถึงแม้ว่าซูจิ่นพ่าจะฉลาด แต่กลับมีนิสัยถือตัวแบบสุดโต่ง เมื่อเข้ามาอยู่ในกำแพงวังหลวง เกรงว่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยที่คุ้นเคยกับกฎการเอาชีวิตรอดที่นี่มานานแล้ววันรุ่งขึ้น หลังจากที่จ้าวหรุ่ยลุกขึ้น เขาก็รับการปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าจากจ้าวหรุ่ยอย่างเกียจคร้าน เมื่อห
แต่สมาธิของคนเรามีจำกัดเมื่ออยู่ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้จนถึงช่วงบ่าย วั่นเจียวเจียวซึ่งตื่นตัวตลอดทั้งวัน จึงรู้สึกเหนื่อยมากจนแทบจะยืนไม่ไหวส่วนหลี่เฉินในตอนนี้กำลังตอบกลับสาส์นกราบทูลหลายฉบับที่รายงานว่าจ้าวเหอซานกำลังฆ่าคนอย่างสนุกสนาน หรือทำตัวกำเริบเสิบสาน เขายกมือขึ้นเพื่อหยิบถ้วยชา แต่กลับพบว่าถ้วยชานั้นว่างเปล่าหลี่เฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแล้วหันหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นวั่นเจียวเจียวกำลังยืนแตกสลายอยู่ข้างๆพูดกันตามตรง เห็นสาวงามถูกทรมานจนเป็นเช่นนี้ หลี่เฉินก็รู้สึกเก้อเขินอยู่ไม่น้อย “ต้องให้ข้าเตือนเจ้า เรื่องการรินชาอยู่หรือเปล่า?” รู้สึกอายมันก็อายอยู่หรอก แต่หลี่เฉินจะไม่ทำให้ตัวเองต้องรู้สึกแย่ วั่นเจียวเจียวรู้สึกตื่นตัวไปทั้งร่าง รีบเร่งรุดเข้ามารินชาให้หลี่เฉินหลังจากจิบชาไปสักพัก หลี่เฉินก็เหลือบมองวั่นเจียวเจียวซึ่งมีสีหน้าที่ตึงเครียดและวิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดว่า “ให้ใครสักคนนำชุดโต๊ะและเก้าอี้เข้ามาสิ เจ้านั่งทางขวามือ หากไม่มีสิ่งใดทำ ก็สามารถอ่านหนังสือบนชั้นหนังสือด้านหลังได้ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์และบทกวี ในเมื่อเจ้า
“นวดไหล่สิ”หลี่เฉินพูดอย่างเกียจคร้านวั่นเจียวเจียวเห็นหลี่เฉินหลับตา นางก็เดินอย่างระมัดระวังไปที่ด้านหลังของหลี่เฉิน ยกนิ้วเรียวงามขึ้นมา และเริ่มบีบไหล่ของหลี่เฉินเห็นได้ชัดว่าซานเป่าค่อนข้างจะโปรดปรานลูกสาวบุญธรรมคนนี้มาก เพราะทักษะการนวดของนางไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย “เมื่อเจ้ากลับบ้านไป ก็อย่าลืมบอกซานเป่าว่าข้าให้เจ้านวดไหล่ให้” หลี่เฉินพูดโพล่งออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทำให้วั่นเจียวเจียวสับสนเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มันสำคัญอย่างไรเมื่อเห็นวั่นเจียวเจียวไม่เข้าใจ หลี่เฉินจึงอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย “ในกรณีนี้ เขาจะไม่กล้าให้เจ้านวดเขาอีกต่อไป อันที่จริงจะพูดหรือไม่มันก็เหมือนกัน เจ้าอยู่ข้างกายข้า และซานเป่าก็เป็นคนฉลาด เขาจะไม่สั่งให้เจ้าทำอีกอย่างแน่นอน” วั่นเจียวเจียวก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลันนางพูดเสียงเบาว่า “บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ” ตอนนี้เองก็มีประกาศดังมาจากด้านนอก เป็นเฉินทงที่มาเมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลี่เฉิน เฉินทงก็ก้าวเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นวั่นเจียวเจียวกำลังนวดไหล่หลี่เ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดของเฉินทงก็ยังคงทำให้หลี่เฉินพอใจ“เมื่อวานข้าได้ยินจากซานเป่าบอกว่า เจ้าไปที่มณฑลซีซานเพื่อคุ้มกันจ้าวเหอซานด้วยตัวเอง?” เฉินทงรีบตอบ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงเมื่อเช้านี้” “สถานการณ์ในมณฑลซีซานซับซ้อนกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มาก อาจกล่าวได้ว่าสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นสูญเสียบทบาทไปแล้ว และผู้ที่เป็นขุนนางก็ถูกใช้โดยผู้ที่มีอำนาจในท้องถิ่น ส่วนคนที่ตกเป็นเหยื่อก็คือประชาชน”“นอกจากนี้ขุนนางและพวกผู้มีอำนาจได้จัดตั้งกองกำลังขนาดใหญ่ขึ้น พวกเขาเลี้ยงดูข้ารับใช้ มิหนำซ้ำอาวุธชุดเกราะของข้ารับใช้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากองทัพเลย” “หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวมาถึงมณฑลซีซาน ก็ใช้มาตรการสูงเพื่อกดดัน ทำให้เกิดการตอบโต้หลายครั้งจากพวกผู้ดีและขุนนางในท้องถิ่น”“ในตอนแรกพวกผู้ดีกับขุนนางเหล่านั้นก็อดทน และพยายามจะติดสินบนใต้เท้าจ้าวให้เข้าร่วมด้วย แต่หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวปฏิเสธสิ่งจูงใจทั้งหมด ทั้งยังสังหารขุนนางหลายคนที่มาติดสินบนเขา จากนั้นพวกผู้ดีและขุนนางในท้องถิ่นก็เริ่มตั้งกลุ่มกันขึ้นมา เพื่อต่อต้านใต้เท้าจ้าว" เห็นได้ชัดว่าในครั้งนี้
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง ราวกับอำนาจมังกรที่อธิบายปลุกคลุมร่างกายของหลี่เฉิน ดังนั้นเมื่อเขายืนอยู่ที่นั่น ก็เหมือนกับเทียนตี้เสด็จประพาส ยามพิโรธขึ้นมาแม้แต่ท้องฟ้าก็ต้องเปลี่ยนสี เฉินทงเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอกของเขา เสียงดังตึกตักๆ นั่น ทำให้เขารู้สึกชาไปทั่วร่าง ใบหน้าพลันตึงเครียด เฉินทงคุกเข่าลงกลางห้องเสียงดังปึก “ฝ่าบาท จริงๆ แล้วมีคนมาขอให้กระหม่อมส่งข้อความถึงฝ่าบาท”“พูดมา ใคร” น้ำเสียงของหลี่เฉินเริ่มเรียบเฉยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ดูไม่ออกว่ามีความสุขหรือว่าโกรธเคือง แต่กลับให้ความรู้สึกที่น่ากลัวซึ่งทำให้เฉินทงรู้สึกเหมือนกับว่ามีหนามแหลมทิ่มแทงที่หลัง ราวกับว่าในวินาทีถัดมา อาจจะมีหายนะหล่นใส่หัว “ตระกูลหลง เป็นตระกูลหลงแห่งซีซาน”น้ำเสียงของเฉินทงสั่นเทาและตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ตระกูลหลงในมณฑลซีซานมีประวัติย้อนกลับไปถึงการก่อตั้งราชวงศ์นี้ บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถคนหนึ่งในการบัญชาของไท่จู ต่อมา เมื่อประเทศนี้ถูกก่อตั้ง บรรพบุรุษคนนั้นจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเฉิงหยางโหว มีศักดินาอย
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เฉินทงก็ตระหนักได้ว่าปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะแก้ไขได้ แต่ตัวเขากลับมีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว หากยังไม่เข้าใจ เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้ เฉินทงจึงกัดฟันลุกขึ้น และกลับไปที่หน่วยบูรพา หลังจากนั้นไม่นาน ซานเป่าก็ได้พบกับเฉินทงในห้องหนังสือ“ผู้บัญชาการเฉินเพิ่งกลับมาจากมณฑลซีซาน พอออกจากตำหนักบูรพามา ก็มาพบข้ากวางกงในทันที มิรู้ว่าฝ่าบาทได้สั่งให้ผู้บัญชาการเฉินถ่ายทอดสิ่งใดให้กับข้า?” ซานเป่าประสานมือกล่าวอย่างสุภาพ ทั้งท่าทางและคำพูด ไม่มีจุดไหนที่แสดงถึงความเย่อหยิ่งของผู้บัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา สีหน้าของเฉินทงเปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่พักหนึ่ง เขาเดินไปตรงหน้าซานเป่า ก่อนจะยกมือขึ้นและโค้งคำนับอย่างจริงใจ “ท่านกวางกงโปรดช่วยข้าด้วย”เมื่อซานเป่าเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกแปลกใจ เขารีบช่วยประคองเฉินทงแล้วถามว่า “ผู้บัญชาการเฉินมีปัญหาอะไรหรือ? ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ผู้บัญชาการเฉินแค่พูดออกมา ถ้าหากข้ากวางกงสามารถช่วยได้ก็จะช่วย” เฉินทงกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านกวางกง เมื่อไม่นานมานี้ ข้าหลงระเริงไปเล็กน้อย โปรดยกโทษให้กับข้าด้วย”ซานเป่าโบกมือด้วยร
“สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือเมื่อได้รับคำขอร้องของหลงเทียนเต๋อ เจ้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบในทันทีโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็อย่าคิด อย่าถาม และอย่าสอดมากเกินไป หากฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างไรก็ทำไปตามนั้น” “แต่เจ้ากลับไม่พูดถึงหลงเทียนเต๋อก่อนรายงาน” เฉินทงหน้าแดง และพูดด้วยความอับอายว่า “จริงๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าคำพูดของหลงเทียนเต๋อค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงอยากแสดงหน้าตัวเองกับฝ่าบาท...”“ดังนั้นมันจึงโง่”ซานเป่าส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตัวเจ้ามีความสามารถแค่ไหน มีหรือฝ่าบาทจะไม่รู้? ยังจะพูดถึงจุดจบสองอย่างของมณฑลซีซานอะไรกัน เรื่องเช่นนี้ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งสามารถพูดได้เหรอ? เจ้าลองบอกสวีฉังชิง แล้วดูสิว่าเขาจะกล้าพูดไหม? กวนจือเหวยล่ะ เขากล้าพูดไหม?” “คนที่ล้ำเส้นก็คือเจ้า พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด” เฉินทงยิ่งได้ฟังก็ยิ่งอับอาย เขาพูดอย่างใจร้อนว่า “ท่านกวางกง ข้าทราบความผิดแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะจัดการเช่นไร?” “ทูตจากตระกูลหลงอยู่ที่นี่กี่คน?” ซานเป่าถาม“ไม่มาก แค่สามคน เมื่อรวมผู้คุ้มกันด้วย ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น” เฉินทงตอบ “ดี” ซานเป่าพยักหน้าแล้วกล่าวคำพูดท
ภายในห้องชุดเทียนจื้อเฮาที่สูงที่สุดในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด มีคนสี่ห้าคนกำลังพูดคุยสนทนากัน คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ คือชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง ขณะที่เขาพูด สีหน้าของคนอื่นๆ ในห้องก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่เหวินซาน ระวังสิ่งที่ท่านพูดด้วย”ชายอีกคนที่สวมเสื้อผ้าจิ่นต่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปที่ประตูที่ปิดสนิทโดยสัญชาตญาณ แล้วพูดว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ ไม่ใช่ซีซาน จะพูดจะจาอะไรก็ระวังกำแพงมีหูบ้าง”แต่เหวินซานกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เมืองหลวงแล้วอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ดี ราชเลขาก็ช่าง คนพวกนั้นล้วนต้องการตัวพวกเรา” “ทัศนคติของพวกเรา คือตัวแทนทัศนคติของผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน หากทำให้พวกเราไม่มีความสุข พวกเราก็จะหันไปหาอีกด้าน ใครจะกล้ารุกรานพวกเรา?”ชายผู้เริ่มเตือนก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ก่อนจะมา ไม่ว่าจะนายท่านหรือท่านโหวน้อย ต่างก็เตือนพวกเราไม่ให้ล่วงเกินคนในเมืองหลวง ท่านลืมคำพูดของนายท่านกับท่านโหวน้อยไปแล้วหรือ?” เหวินซานกลับพูดอย่างเหน็บแนมว่า “ข้าแค่พูดสองสามคำเพื่อตระกูลของพวกเรา”พูดจบ เพื่อคล
หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าย่อมไม่อาจปลงพระชนม์ได้”สำหรับหลี่เฉิน นี่ถือเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความจริงใจโจวผิงอันยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แปลกใจกับคำปฏิเสธนั้น และตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีอีกวิธี”“บีบให้จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ”น้ำเสียงของโจวผิงอันเยือกเย็น “ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์หรือวิธีอื่น เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้จ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือก จนต้องก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถูกประณามจากทั่วหล้า และไม่ว่าองค์ชายจะปลดหรือประหารเขา ก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม”“ขุนนางก่อกบฏ องค์ชายทรงสังหาร นั่นคือความชอบธรรมที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”“เช่นนี้ จะช่วยให้ราษฎรสงบปากสงบคำ และยังป้องกันไม่ให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งหลายใช้ข้ออ้างว่าราชสำนักสั่นคลอนเพื่อยกทัพมาปราบด้วย”คำพูดนี้กระแทกใจหลี่เฉินโดยตรงทำไมเขาไม่กำจัดจ้าวเสวียนจีตั้งแต่ต้น?เพราะหากใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการกำจัดจ้าวเสวียนจี ราชสำนักจะเข้าสู่ภาวะอัมพาตทันทีแผ่นดินจะวุ่นวาย
คำพูดสั้นๆ ของโจวผิงอัน เปรียบได้กับพายุที่ทำแผ่นดินสั่นคลอนแม้แต่หลี่เฉินเองก็ยังต้องขมวดคิ้วคำพูดนี้ หากผู้ใดกล่าวออกไป ย่อมถูกนับเป็นกบฏและต้องโทษประหารชีวิต ไม่เพียงตัวเอง แต่ถึงขั้นล้างโคตรทั้งตระกูลแต่ในพระที่นั่งสีเจิ้งที่เงียบสงัดและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนอึดอัด กลับรู้สึกว่าเหมาะสมอย่างน่าประหลาดโจวผิงอันดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความผิดร้ายแรงในคำพูดของตนเอง เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสงบ “ในตอนนี้ องค์ชายมีทั้งทำเลที่เหมาะสมและผู้คนที่สนับสนุน สิ่งที่ขาดไปคือโอกาสฟ้าประทาน ซึ่งโอกาสนั้นก็คือการที่ฝ่าบาทเสด็จสวรรคต เมื่อถึงตอนนั้น เส้นทางขึ้นครองบัลลังก์ขององค์ชายจะไร้อุปสรรค และเมื่อขึ้นครองราชย์ได้ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะสามารถใช้โอกาสแห่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินกวาดล้างจ้าวเสวียนจีได้อย่างเบ็ดเสร็จ”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ เพียงคำเดียว “กบฏ”โจวผิงอันโค้งตัวคำนับ “องค์ชายทรงพระปรีชา”“จ้าวเสวียนจีผู้นี้ เปรียบได้กับจอมคนในยุคปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์สามก๊ก มีคำกล่าวเกี่ยวกับโจโฉว่า ‘เป็นขุนนางที่มีฝีมือในยุคแห่งความสงบ และจอมคนในยุคแห่งความปั่นป่วน’ จ้าวเสวียนจีก็คือโจโฉแห่งต้าฉิ
คำพูดของหลี่เฉิน หากพูดให้ใครฟังก็คงทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แต่โจวผิงอันกลับไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างจริงจังหลี่เฉินไม่ได้เร่งรัด ปล่อยให้โจวผิงอันใช้เวลาครุ่นคิดโจวผิงอันเป็นคนที่มาพร้อมกับความลึกลับ หน่วยบูรพาที่เก่งกาจยังสืบได้เพียงข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับระหว่างเขาและพี่น้องอีกสองคนเท่านั้น และข้อมูลนี้ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเองด้วยส่วนเรื่องที่พวกเขามาจากไหน มีเป้าหมายอะไร และเป็นศิษย์ของใคร กลับไม่มีใครรู้ในแผ่นดินต้าฉิน คนที่ทำให้หน่วยบูรพาทำอะไรไม่ได้มีน้อยมาก และพี่น้องตระกูลโจวก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความลึกลับนี้ไม่ได้ขัดขวางความร่วมมือระหว่างหลี่เฉินกับโจวผิงอันโจวผิงอันเป็นผู้มีสติปัญญาและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการสำหรับเป้าหมายและแผนการเบื้องหลังของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ เรื่องในอนาคตก็ไม่มีความหมายหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน โจวผิงอันจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลี่เฉินว่า “ทำได้ แต่ความเสี่ยงสูงมาก”หลี่เฉิน
“อย่าทำตัวเหมือนผู้ชนะที่ได้ใจในสงครามต่อหน้าข้า บอกมาเถอะว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”คำพูดที่แข็งกร้าวของจ้าวชิงหลาน ทำให้รอยยิ้มอันภาคภูมิของหลี่เฉินหุบลง“อย่าทำหน้าบึ้งตึงไปเลย สิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำนั้นง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวชิงหลานหัวเราะเยาะ ไม่เชื่อคำพูดนั้นแม้แต่น้อยหลี่เฉินจึงพูดต่อทันที“สิ่งที่ข้าต้องการ คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย”คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจ้าวชิงหลานหยุดนิ่งนางมองหลี่เฉินด้วยความตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่แน่ใจ“ชัดเจนหรือยัง? สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านคือ…ไม่ต้องทำอะไรเลย”หลี่เฉินกล่าวเสริมอีกครั้งจ้าวชิงหลานมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา“ท่านต้องการให้ข้าไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับท่านพ่อของข้า ใช่หรือไม่?” จ้าวชิงหลานกัดฟันถามหลี่เฉินเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ เพราะเขารู้ดีว่า จ้าวชิงหลานเข้าใจความหมายของเขาแล้ว“สำหรับจ้าวไท่ไหล ข้าจะจัดการเอง ตราบใดที่เขาว่านอนสอนง่าย ก็จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้”พูดจบ หลี่เฉินก็ยืดเส้นยืดสายแล้วเดินออกจากตำหนัก“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะขอตัวก่อน ช่วงนี้งานยุ่งมาก”จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปาก ม
คำพูดของจ้าวไท่ไหลทำให้จ้าวชิงหลานถึงกับนิ่งอึ้งนางมองดูจ้าวไท่ไหลที่กำลังหมดหนทาง เบื้องหน้านางคือน้องชายที่ไร้ความหวัง จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะโทษใครได้? หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตก่อปัญหาไปวันๆ”“ถ้าเจ้าทำให้เขาเห็นความหวังบ้าง เขาจะทำเช่นนี้หรือ?”“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”จ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกดดันมาทั้งวัน ทนฟังคำตำหนิของจ้าวชิงหลานไม่ไหว ความโกรธของเขาพุ่งพล่านเขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ต่อให้ข้าไร้ค่าเพียงใด ข้าก็ยังเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา! ข้าเป็นสายเลือดตระกูลจ้าว เป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูลของเขา แล้วนี่เขาตอบแทนข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?”“ที่ผ่านมา ต่อให้เขาตีข้าหรือด่าข้า ข้าก็ยังเคารพและชื่นชมเขาอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เล่า? เขาคิดจะส่งข้าไปให้เหวินอ๋องระบายความโกรธ นี่เขาเสียสติไปแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ?”“ตั้งแต่ตำหนักบูรพาเรืองอำนาจ องค์รัชทายาทแย่งอำนาจไปจากมือเขาแทบทั้งหมด เขาก็กลัวมาตลอด กลัวว่าตัวเองจะหมดสิ้นทุกสิ่ง เขาเคยเสวยสุขกับอำนาจมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับคลุ้มคลั่งเพื่อปกป้องมัน!”“เขาส่งพี่ไปให้ฮ่องเต้ก่อน แต่แล้วฮ่อง
แม้หลี่เฉินจะไม่ได้รับสั่งใดๆ หรืออธิบายเพิ่มเติม แต่เฉินทงก็รู้ดีว่างานที่องค์รัชทายาททรงมอบหมายให้เขาดูแลด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นเรื่องลับแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและจ้าวไท่ไหลเพื่อความปลอดภัย เฉินทงจึงไม่ได้พาจ้าวไท่ไหลเข้าประตูใหญ่ แต่ใช้เส้นทางลับที่พวกขันที นางกำนัล และผู้ดูแลวังใช้เข้าออก โดยอ้อมเข้าประตูด้านข้างของพระราชวังหลวงระหว่างทาง เฉินทงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงนำทางจ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกังวลเดินไปอย่างเงียบๆส่วนจ้าวไท่ไหลนั้น ใจยังคงสับสนวุ่นวาย ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องที่บิดาของเขาต้องการฆ่าเขาได้เต็มที่ เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกันทั้งสองเดินกันอย่างเงียบงันเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งสี่ทหารรักษาการณ์ นางกำนัล และขันทีในตำหนักเฟิ่งสี่ล้วนถูกเปลี่ยนให้เป็นคนของตำหนักบูรพา เฉินทงจึงสามารถพาจ้าวไท่ไหลเข้าไปได้โดยไม่มีอุปสรรคเมื่อเข้ามาในตำหนักเฟิ่งสี่แล้ว จ้าวชิงหลานที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเห็นจ้าวไท่ไหลในชุดปลอมตัวก็ถึงกับประหลาดใจ“ท่านพี่!”เมื่อเห็นจ้าวชิงหลาน จ้าวไท่ไหลก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อซูผิงเป่ยได้ยินคำพูดนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “กระหม่อม…น้อมรับพระบัญชา”“นี่ไม่ใช่คำสั่งทหาร”หลี่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “การตกหลุมรักเป็นเรื่องของเจ้าเอง งานสมรสนี้ข้าจัดหาให้ แต่ความรู้สึกเป็นของเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าต้องสมรส”แม้ว่าหลี่เฉินจะได้ประโยชน์จากการสมรส แต่เขายังคงมีจิตวิญญาณอย่างคนสมัยใหม่ จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึกส่วนตัวในเรื่องการสมรสเขาคิดในใจว่าหากซูจิ่นพ่าเป็นคนที่หน้าตาน่าเกลียดมาก ต่อให้ผลประโยชน์ทางการเมืองจะมากเพียงใด เขาก็อาจจะยอมสมรสเพื่อผูกมิตรกับซูเจิ้นถิง แต่ซูจิ่นพ่าคงได้เป็นเพียงเครื่องหมายประดับในตำหนักหลังเท่านั้น คงไม่มีทางได้ขึ้นเป็นชายาองค์รัชทายาทเพราะการสมรสคือเรื่องสำคัญตลอดชีวิต เมื่อสมรสแล้ว หากไม่มีเหตุผลอันใหญ่หลวง จะต้องอยู่ร่วมกับคนๆ นั้นไปตลอด หลี่เฉินจึงเปิดโอกาสไว้เล็กน้อยสำหรับซูผิงเป่ยและหลี่เพ่ยเพ่ยถ้าหากไม่ชอบจริงๆ การบังคับสมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่ดูเหมือนว่าซูผิงเป่ยจะเข้าใจความหมายของหลี่เฉินผิดไป เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน
เมื่อได้ยินคำถามของหลี่เฉิน หลี่เพ่ยเพ่ยที่พอจะเตรียมใจไว้แล้วก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าตอบเบาๆ ว่า “ยังไม่มีเพคะ”การสมรสขององค์ชายและองค์หญิงส่วนใหญ่ มักไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะองค์หญิงที่ใช้ชีวิตในวังลึกมาตลอด มีโอกาสได้พบปะชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันน้อยมาก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในดวงใจยิ่งไปกว่านั้น ในยุคสมัยนี้ หญิงที่มีอิสระในความคิดเหมือนกับซูจิ่นพ่า เรียกได้ว่าเป็นส่วนน้อยมาก คำตอบของหลี่เพ่ยเพ่ยจึงเป็นสิ่งที่หลี่เฉินคาดไว้อยู่แล้วหลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าก็ถึงวัยแล้ว หากไม่รีบออกเรือน เกรงว่าจะกลายเป็นสาวแก่ นั่นไม่เหมาะสมทั้งในด้านความรู้สึกและเหตุผล เสด็จพี่รองจึงคิดจะหาเจ้าบ่าวให้เจ้า คนที่ข้าหมายตาไว้คือซูผิงเป่ย บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ซู เขาเพิ่งกลับจากชัยชนะในสนามรบ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราววีรกรรมของเขามาบ้าง?”หลี่เพ่ยเพ่ยตอบเบาๆ ว่า “เพ่ยเพ่ยเคยได้ยินถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของแม่ทัพซูอยู่บ้างเพคะ”หลี่เฉินยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี แม่ทัพใหญ่ซูมีบุตรเพียงสองคน คือซูผิงเป่ยและซูจิ่นพ่า ซึ่งอีกไม่นานซูจิ่นพ่าก็จะเข้ามาเป็นชายาองค์รัชทาย
เมื่อเห็นสวีหยวนต๋าและคนอื่นๆ แสดงท่าทีตอบรับ หลี่เฉินลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้จัดการตามนี้แล้วกัน”จากนั้นเขาก็เอามือไพล่หลังเดินออกจากหลันเยว่เซวียน ก่อนจะเหลือบมองเหล่าหนุ่มน้อยที่ยังคุกเข่าอยู่หน้าประตู ในยามกลางวันเช่นนี้ การให้พวกเขาคุกเข่าอยู่นั้นก็เท่ากับเป็นการลงโทษให้ผู้คนเห็น คนเหล่านั้นต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบสายตาใคร ทั้งยังมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง“คุกเข่าให้ครบสองชั่วยามแล้วค่อยลุก จากนั้นส่งตัวตรงไปยังค่ายทหาร”หลี่เฉินกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเขาเชื่อว่าสวีหยวนต๋าและพวกจะไม่กล้าทำท่าทีตีสองหน้าเพราะหน่วยบูรพาเฝ้าจับตาอยู่ใกล้ๆใครกล้าเล่นตุกติก ไม่ใช่แค่ลูกชายจะถูกส่งไป แม้แต่พ่อก็อาจจะต้องตามไปด้วยเมื่อหลี่เฉินจากไป สวีหยวนต๋าและบรรดาบิดาจึงเดินมายังหน้าลูกชายของตน ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่พวกเขาด้วยความโกรธสวีหยวนต๋าไม่ฟาดลูกชายตัวเอง เพราะใบหน้าของลูกชายเขาก็เหมือนหัวหมูอยู่แล้วเขาชี้ไปที่ลูกชายตนพร้อมกล่าวด้วยความเจ็บใจว่า “เจ้ามันไร้ความสามารถโดยแท้ วันนี้ถือว่าโชคดีนัก ไม่เช่นนั้น ตระกูลเราคงต้องถูกเจ้าทำให้พินาศหมดสิ้นแน่!”ลูกชายเขาถามด