“สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือเมื่อได้รับคำขอร้องของหลงเทียนเต๋อ เจ้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบในทันทีโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็อย่าคิด อย่าถาม และอย่าสอดมากเกินไป หากฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างไรก็ทำไปตามนั้น” “แต่เจ้ากลับไม่พูดถึงหลงเทียนเต๋อก่อนรายงาน” เฉินทงหน้าแดง และพูดด้วยความอับอายว่า “จริงๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าคำพูดของหลงเทียนเต๋อค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงอยากแสดงหน้าตัวเองกับฝ่าบาท...”“ดังนั้นมันจึงโง่”ซานเป่าส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตัวเจ้ามีความสามารถแค่ไหน มีหรือฝ่าบาทจะไม่รู้? ยังจะพูดถึงจุดจบสองอย่างของมณฑลซีซานอะไรกัน เรื่องเช่นนี้ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งสามารถพูดได้เหรอ? เจ้าลองบอกสวีฉังชิง แล้วดูสิว่าเขาจะกล้าพูดไหม? กวนจือเหวยล่ะ เขากล้าพูดไหม?” “คนที่ล้ำเส้นก็คือเจ้า พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด” เฉินทงยิ่งได้ฟังก็ยิ่งอับอาย เขาพูดอย่างใจร้อนว่า “ท่านกวางกง ข้าทราบความผิดแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะจัดการเช่นไร?” “ทูตจากตระกูลหลงอยู่ที่นี่กี่คน?” ซานเป่าถาม“ไม่มาก แค่สามคน เมื่อรวมผู้คุ้มกันด้วย ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น” เฉินทงตอบ “ดี” ซานเป่าพยักหน้าแล้วกล่าวคำพูดท
ภายในห้องชุดเทียนจื้อเฮาที่สูงที่สุดในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด มีคนสี่ห้าคนกำลังพูดคุยสนทนากัน คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ คือชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง ขณะที่เขาพูด สีหน้าของคนอื่นๆ ในห้องก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่เหวินซาน ระวังสิ่งที่ท่านพูดด้วย”ชายอีกคนที่สวมเสื้อผ้าจิ่นต่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปที่ประตูที่ปิดสนิทโดยสัญชาตญาณ แล้วพูดว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ ไม่ใช่ซีซาน จะพูดจะจาอะไรก็ระวังกำแพงมีหูบ้าง”แต่เหวินซานกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เมืองหลวงแล้วอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ดี ราชเลขาก็ช่าง คนพวกนั้นล้วนต้องการตัวพวกเรา” “ทัศนคติของพวกเรา คือตัวแทนทัศนคติของผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน หากทำให้พวกเราไม่มีความสุข พวกเราก็จะหันไปหาอีกด้าน ใครจะกล้ารุกรานพวกเรา?”ชายผู้เริ่มเตือนก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ก่อนจะมา ไม่ว่าจะนายท่านหรือท่านโหวน้อย ต่างก็เตือนพวกเราไม่ให้ล่วงเกินคนในเมืองหลวง ท่านลืมคำพูดของนายท่านกับท่านโหวน้อยไปแล้วหรือ?” เหวินซานกลับพูดอย่างเหน็บแนมว่า “ข้าแค่พูดสองสามคำเพื่อตระกูลของพวกเรา”พูดจบ เพื่อคล
“เพราะเจ้ามันพูดมาก ปากใหญ่”“ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตสุนัขอย่างเจ้า เพื่อให้กลับไปบอกตระกูลหลงและคุณชายของพวกเจ้าว่า ฝ่าบาททรงตรัสว่า หากอยากพบฝ่าบาท ก็ให้คนแซ่หลงไสหัวมาด้วยตัวเอง มาที่นอกประตูตำหนักบูรพาและมอบเทียบเชิญตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะได้เข้าเฝ้าหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพระองค์”“แต่ถ้าจะมาวางมาด โดยหวังว่าพระวรกายที่มีค่าดุจทองพันชั่งของฝ่าบาทจะเสด็จมาพบพวกเจ้าด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็กล่าวได้คำเดียวว่า : ไสหัวไป!” พูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินทงก็พลันหายไป และแทนที่ด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว เขาบีบคางของเหวินซานแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ได้ยินชัดหรือไม่!?”เหวินซานตัวสั่นแล้วกล่าวว่า “ดะ ได้ยิน” “ได้ยินชัดแล้วก็ดี อย่าลืมเชียวล่ะ” เฉินทงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืนแล้วตบฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงตามตัว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเมื่อไปถึงหน้าประตู เขาก็เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาพูดกับเหวินซานว่า “อ้อ จริงสิ ยังมีอีกอย่างที่จะพูด ฝ่าบาททรงตรัสว่า ตระกูลหลงอยู่ในมณฑลซีซานมาสามร้อยปีแล้วอย่างไร นั่นเป็นร่มเงาที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าทิ้งไว้ให้ ราชวงศ์หลี
“เจ้าคงรอมาสักพักแล้ว แล้วเหตุใดไม่เข้าไปก่อนล่ะ?” หลี่เฉินถามอีกครั้งหลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ไม่นานหลังจากที่มาถึง ก็ได้ยินจากคนรับใช้ว่า ฝ่าบาทกำลังเยี่ยมเสด็จพ่อในตำหนัก น้องชายจึงรออยู่ข้างนอก ไม่กล้ารบกวน แค่รอเพียงครู่เดียวไม่เป็นไร” หลี่เฉินยิ้มแต่ไม่ออกความคิดเห็น “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เข้าไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” หลี่เฉินพูดจบ ก็เดินนำขบวนจากไป หลี่อิ๋นหู่มองไปทางแผ่นหลังของหลี่เฉิน แล้วก้มหน้าพูดว่า “น้องชายส่งเสด็จองค์รัชทายาท”เมื่อก้าวไปบนถนนที่ถูกหิมะด้วยปกคลุม หลี่เฉินก็พูดกับวั่นเจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ ว่า “รู้ไหมว่าสุนัขอะไรไหนที่ดุร้ายที่สุด?” วั่นเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “บ่าวเคยได้ยินมาว่าบนที่ราบสูงทิเบตนั้น มีสุนัขดุร้ายที่เรียกว่าสุนัขพันธุ์มาสทิฟ ความดุร้ายของมันสามารถฆ่าหมาป่าได้”หลี่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “สัตว์ที่สามารถใช้กระดูกแค่ชิ้นเดียวก็ทำให้เชื่องได้ ไม่ถือว่าดุร้าย สัตว์ที่ดุร้ายที่สุด คือสัตว์ที่มักจะส่ายหัวส่ายหาง ซ่อนเขี้ยว และกัดเจ้าอย่างกะทันหันตอนที่เจ้าไม่ทันป้องกัน กัดเข้าที่หล
ณ.ตำหนักบูรพา ด้านนอกพระที่นั่งสีเจิ้ง จัตุรัสหน้าพระที่นั่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เฉินทงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระที่นั่งสีเจิ้ง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ ทำให้เขาดูเหมือนตุ๊กตาหิมะ ไม่ไกลกันนัก ก็มีทหารองค์รักษ์ยืนเฝ้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในบางครั้งสายตาของพวกเขาก็เหลือบมองไปที่เฉินทง ชายผู้โด่งดังซึ่งอยู่ภายใต้ความโปรดปรานของฝ่าบาทเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่รู้ว่าคุกเข่ามานานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนที่เฉินทงรู้สึกว่าร่างกายของเขาใกล้จะแข็งเต็มที ก็มีหญิงสาวที่งามสง่าในชุดนางกำนัลคนหนึ่ง เดินมาที่ตรงหน้าเขา เฉินทงเงยหน้าขึ้นอย่างแข็งทื่อ ริมฝีปากที่แตกระแหงพลันคลี่ยิ้มออกมา “เป็นแม่นางวั่น”วั่นเจียวเจียวมองไปที่เฉินทงซึ่งมีน้ำแข็งเกาะอยู่บนขนตาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าไป” เฉินทงพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพยายามลุกขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณแม่นางวั่นมาก”ทันทีที่ลุกขึ้นยืน เขาก็เกือบจะล้มลงกับพื้น เพราะร่างกายแข็งทื่อจากการคุกเข่าอยู่บนพื้นมาเป็นเวลานานหลังจากนั้นไม่นาน เฉินทงก็กัดฟัน ค่อยๆ กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง และติดตามวั่นเจียวเจียวเข้าไปในพระที่นั่
สองวันต่อมา สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความเสถียรภาพชั่วคราวทางราชสำนักกำลังมีภารกิจหลักอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางของซูผิงเป่ยอำนาจของต้าฉินกำลังอ่อนแอ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายใต้นโยบายสันติภาพแบบจำยอมของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน อำนาจทางการทหารจึงค่อนข้างเคลื่อนไหวได้น้อยมาก ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิขี้ขลาดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะประเทศชาติไม่สามารถทนความลำบากได้ไหวแต่ความคิดของหลี่เฉินแตกต่างออกไป ยิ่งยากจนเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องต่อสู้มากขึ้นเท่านั้น แม้ต้องรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้น แต่ขอแค่ชนะสงครามได้ก็พอ เพราะความมั่งคั่งจากสงครามหนหนึ่ง เหนือกว่ายุคสมัยที่สงบสุขหรือพัฒนาหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า มองดูประเทศในประวัติศาสตร์ที่ทรงอำนาจและร่ำรวยในชั่วข้ามคืนสิ เกือบทั้งหมดล้วนมีพื้นฐานมาจากการปล้นสะดม ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้คือการช่วยเสียนเฉาต่อสู้กับตงอิ๋ง แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของต้าฉินดังนั้นไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร แต่ราชสำนักทั้งบนและล่างก็ไม่มีใครกล้ากระทำการโดยประมาท อย่างน้อยก็ภายใต้สายตาของหลี่เฉินในขณะที่ราชสำนัก
“หม่อมฉัน ถวายบังคมองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี”เมื่อเห็นหลี่เฉิน หลิวซือฉุนและคนอื่นๆ ก็รีบวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำในทันที และเข้ามาแสดงความเคารพ เมื่อมองดูชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังหลิวซือฉุนซึ่งมีท่าทางเคารพและตื่นเต้น ซึ่งชายคนนั้นรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับตัวเอง หลี่เฉินจึงพูดว่า “ไม่ต้องพิธีการ”“ฝ่าบาท นี่คือพี่รองของหม่อมฉัน การเดินทางไปเจ้อเจียงและฝูเจี้ยนเพื่อซื้อต้นกล้ามันเทศในครั้งนี้ ต้องขอบคุณการทำงานหนักของเขา”ด้วยการแนะนำของหลิวซือฉุน หลิวซือต๋าจึงเดินมาหาหลี่เฉิน โค้งคำนับด้วยความเคารพ และกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “กระหม่อมหลิวซือต๋า ถวายบังคมองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่เฉินเหลือบมองหลิวซือฉุนอย่างครุ่นคิดแล้วก็พูดว่า “คราวนี้ซื้อต้นกล้ากลับมากี่ต้น?”หลิวซือต๋ารีบตอบว่า “มีต้นกล้าทั้งหมด 400 กว่าต้น หากไม่รวมต้นที่สูญหายระหว่างทาง ต้นที่ยังรอดอยู่ตอนนี้ มีทั้งหมด 380 ต้น นอกจากนี้ กระหม่อมยังได้เชิญชาวนาที่มีประสบการณ์ในการเพาะปลูกจากท้องถิ่น มาหว่านเมล็ดพืชด้วยตัวเอง” หลี่เฉินพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าวว่า “ไม่เลว
เมื่อฟังการแนะนำของหลี่เฉิน ดวงตาของซูจิ่นพ่าก็เบิกกว้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความไม่เชื่อที่ไม่อาจระงับได้ จากการแนะนำของหลี่เฉิน นางจับใจความได้สองอย่าง ข้อแรกคือพืชชนิดนี้เรียกว่ามันเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารหลักได้ อีกข้อคือมันให้ผลผลิตมากกว่าธัญพืชธรรมดาถึงสิบถึงยี่สิบเท่า แนวคิดนี้คืออะไร?หากเป็นความจริง อาจกล่าวได้ว่ามันช่วยบรรเทาปัญหาที่รบกวนหัวเซี่ยมานานนับพันปีได้อย่างมาก นั่นก็คือ : ความอดอยาก! ตั้งแต่สมัยโบราณ อาหารถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คน ผู้คนจะก่อกบฏหากพวกเขามีอาหารไม่เพียงพอ แต่ถ้าหากทุกคนมีอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวม แล้วใครจะยอมเสี่ยงเสียหัวเพื่อก่อกบฏ? หากผู้ใดสามารถแก้ปัญหาเรื่องอาหารได้ ผู้นั้นย่อมเป็นนักปราชญ์ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ และถ้าหากบุคคลนี้คือองค์รัชทายาท ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจของจักรพรรดิและความตั้งใจของประชาชน ใต้หล้านี้จะมีใครต่อต้านเขาได้? ใครจะกล้าต่อต้านเขา!?ในช่วงเวลาสั้นๆ ซูจิ่นพ่าก็คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างถึงแม้ว่านางจะมีนิสัยถือดีและเย็นชา แต่เวลานี้ก็อดหายใจไม่ออก“ฝ่าบาท ทรงจริงจังหรือไม