“สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือเมื่อได้รับคำขอร้องของหลงเทียนเต๋อ เจ้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบในทันทีโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็อย่าคิด อย่าถาม และอย่าสอดมากเกินไป หากฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างไรก็ทำไปตามนั้น” “แต่เจ้ากลับไม่พูดถึงหลงเทียนเต๋อก่อนรายงาน” เฉินทงหน้าแดง และพูดด้วยความอับอายว่า “จริงๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าคำพูดของหลงเทียนเต๋อค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงอยากแสดงหน้าตัวเองกับฝ่าบาท...”“ดังนั้นมันจึงโง่”ซานเป่าส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตัวเจ้ามีความสามารถแค่ไหน มีหรือฝ่าบาทจะไม่รู้? ยังจะพูดถึงจุดจบสองอย่างของมณฑลซีซานอะไรกัน เรื่องเช่นนี้ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งสามารถพูดได้เหรอ? เจ้าลองบอกสวีฉังชิง แล้วดูสิว่าเขาจะกล้าพูดไหม? กวนจือเหวยล่ะ เขากล้าพูดไหม?” “คนที่ล้ำเส้นก็คือเจ้า พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด” เฉินทงยิ่งได้ฟังก็ยิ่งอับอาย เขาพูดอย่างใจร้อนว่า “ท่านกวางกง ข้าทราบความผิดแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะจัดการเช่นไร?” “ทูตจากตระกูลหลงอยู่ที่นี่กี่คน?” ซานเป่าถาม“ไม่มาก แค่สามคน เมื่อรวมผู้คุ้มกันด้วย ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น” เฉินทงตอบ “ดี” ซานเป่าพยักหน้าแล้วกล่าวคำพูดท
ภายในห้องชุดเทียนจื้อเฮาที่สูงที่สุดในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด มีคนสี่ห้าคนกำลังพูดคุยสนทนากัน คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ คือชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง ขณะที่เขาพูด สีหน้าของคนอื่นๆ ในห้องก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่เหวินซาน ระวังสิ่งที่ท่านพูดด้วย”ชายอีกคนที่สวมเสื้อผ้าจิ่นต่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปที่ประตูที่ปิดสนิทโดยสัญชาตญาณ แล้วพูดว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ ไม่ใช่ซีซาน จะพูดจะจาอะไรก็ระวังกำแพงมีหูบ้าง”แต่เหวินซานกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เมืองหลวงแล้วอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ดี ราชเลขาก็ช่าง คนพวกนั้นล้วนต้องการตัวพวกเรา” “ทัศนคติของพวกเรา คือตัวแทนทัศนคติของผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน หากทำให้พวกเราไม่มีความสุข พวกเราก็จะหันไปหาอีกด้าน ใครจะกล้ารุกรานพวกเรา?”ชายผู้เริ่มเตือนก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ก่อนจะมา ไม่ว่าจะนายท่านหรือท่านโหวน้อย ต่างก็เตือนพวกเราไม่ให้ล่วงเกินคนในเมืองหลวง ท่านลืมคำพูดของนายท่านกับท่านโหวน้อยไปแล้วหรือ?” เหวินซานกลับพูดอย่างเหน็บแนมว่า “ข้าแค่พูดสองสามคำเพื่อตระกูลของพวกเรา”พูดจบ เพื่อคล
“เพราะเจ้ามันพูดมาก ปากใหญ่”“ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตสุนัขอย่างเจ้า เพื่อให้กลับไปบอกตระกูลหลงและคุณชายของพวกเจ้าว่า ฝ่าบาททรงตรัสว่า หากอยากพบฝ่าบาท ก็ให้คนแซ่หลงไสหัวมาด้วยตัวเอง มาที่นอกประตูตำหนักบูรพาและมอบเทียบเชิญตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะได้เข้าเฝ้าหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพระองค์”“แต่ถ้าจะมาวางมาด โดยหวังว่าพระวรกายที่มีค่าดุจทองพันชั่งของฝ่าบาทจะเสด็จมาพบพวกเจ้าด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็กล่าวได้คำเดียวว่า : ไสหัวไป!” พูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินทงก็พลันหายไป และแทนที่ด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว เขาบีบคางของเหวินซานแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ได้ยินชัดหรือไม่!?”เหวินซานตัวสั่นแล้วกล่าวว่า “ดะ ได้ยิน” “ได้ยินชัดแล้วก็ดี อย่าลืมเชียวล่ะ” เฉินทงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืนแล้วตบฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงตามตัว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเมื่อไปถึงหน้าประตู เขาก็เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาพูดกับเหวินซานว่า “อ้อ จริงสิ ยังมีอีกอย่างที่จะพูด ฝ่าบาททรงตรัสว่า ตระกูลหลงอยู่ในมณฑลซีซานมาสามร้อยปีแล้วอย่างไร นั่นเป็นร่มเงาที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าทิ้งไว้ให้ ราชวงศ์หลี
“เจ้าคงรอมาสักพักแล้ว แล้วเหตุใดไม่เข้าไปก่อนล่ะ?” หลี่เฉินถามอีกครั้งหลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ไม่นานหลังจากที่มาถึง ก็ได้ยินจากคนรับใช้ว่า ฝ่าบาทกำลังเยี่ยมเสด็จพ่อในตำหนัก น้องชายจึงรออยู่ข้างนอก ไม่กล้ารบกวน แค่รอเพียงครู่เดียวไม่เป็นไร” หลี่เฉินยิ้มแต่ไม่ออกความคิดเห็น “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เข้าไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” หลี่เฉินพูดจบ ก็เดินนำขบวนจากไป หลี่อิ๋นหู่มองไปทางแผ่นหลังของหลี่เฉิน แล้วก้มหน้าพูดว่า “น้องชายส่งเสด็จองค์รัชทายาท”เมื่อก้าวไปบนถนนที่ถูกหิมะด้วยปกคลุม หลี่เฉินก็พูดกับวั่นเจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ ว่า “รู้ไหมว่าสุนัขอะไรไหนที่ดุร้ายที่สุด?” วั่นเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “บ่าวเคยได้ยินมาว่าบนที่ราบสูงทิเบตนั้น มีสุนัขดุร้ายที่เรียกว่าสุนัขพันธุ์มาสทิฟ ความดุร้ายของมันสามารถฆ่าหมาป่าได้”หลี่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “สัตว์ที่สามารถใช้กระดูกแค่ชิ้นเดียวก็ทำให้เชื่องได้ ไม่ถือว่าดุร้าย สัตว์ที่ดุร้ายที่สุด คือสัตว์ที่มักจะส่ายหัวส่ายหาง ซ่อนเขี้ยว และกัดเจ้าอย่างกะทันหันตอนที่เจ้าไม่ทันป้องกัน กัดเข้าที่หล
ณ.ตำหนักบูรพา ด้านนอกพระที่นั่งสีเจิ้ง จัตุรัสหน้าพระที่นั่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เฉินทงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระที่นั่งสีเจิ้ง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ ทำให้เขาดูเหมือนตุ๊กตาหิมะ ไม่ไกลกันนัก ก็มีทหารองค์รักษ์ยืนเฝ้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในบางครั้งสายตาของพวกเขาก็เหลือบมองไปที่เฉินทง ชายผู้โด่งดังซึ่งอยู่ภายใต้ความโปรดปรานของฝ่าบาทเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่รู้ว่าคุกเข่ามานานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนที่เฉินทงรู้สึกว่าร่างกายของเขาใกล้จะแข็งเต็มที ก็มีหญิงสาวที่งามสง่าในชุดนางกำนัลคนหนึ่ง เดินมาที่ตรงหน้าเขา เฉินทงเงยหน้าขึ้นอย่างแข็งทื่อ ริมฝีปากที่แตกระแหงพลันคลี่ยิ้มออกมา “เป็นแม่นางวั่น”วั่นเจียวเจียวมองไปที่เฉินทงซึ่งมีน้ำแข็งเกาะอยู่บนขนตาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าไป” เฉินทงพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพยายามลุกขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณแม่นางวั่นมาก”ทันทีที่ลุกขึ้นยืน เขาก็เกือบจะล้มลงกับพื้น เพราะร่างกายแข็งทื่อจากการคุกเข่าอยู่บนพื้นมาเป็นเวลานานหลังจากนั้นไม่นาน เฉินทงก็กัดฟัน ค่อยๆ กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง และติดตามวั่นเจียวเจียวเข้าไปในพระที่นั่
สองวันต่อมา สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความเสถียรภาพชั่วคราวทางราชสำนักกำลังมีภารกิจหลักอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางของซูผิงเป่ยอำนาจของต้าฉินกำลังอ่อนแอ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายใต้นโยบายสันติภาพแบบจำยอมของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน อำนาจทางการทหารจึงค่อนข้างเคลื่อนไหวได้น้อยมาก ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิขี้ขลาดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะประเทศชาติไม่สามารถทนความลำบากได้ไหวแต่ความคิดของหลี่เฉินแตกต่างออกไป ยิ่งยากจนเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องต่อสู้มากขึ้นเท่านั้น แม้ต้องรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้น แต่ขอแค่ชนะสงครามได้ก็พอ เพราะความมั่งคั่งจากสงครามหนหนึ่ง เหนือกว่ายุคสมัยที่สงบสุขหรือพัฒนาหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า มองดูประเทศในประวัติศาสตร์ที่ทรงอำนาจและร่ำรวยในชั่วข้ามคืนสิ เกือบทั้งหมดล้วนมีพื้นฐานมาจากการปล้นสะดม ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้คือการช่วยเสียนเฉาต่อสู้กับตงอิ๋ง แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของต้าฉินดังนั้นไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร แต่ราชสำนักทั้งบนและล่างก็ไม่มีใครกล้ากระทำการโดยประมาท อย่างน้อยก็ภายใต้สายตาของหลี่เฉินในขณะที่ราชสำนัก
“หม่อมฉัน ถวายบังคมองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี”เมื่อเห็นหลี่เฉิน หลิวซือฉุนและคนอื่นๆ ก็รีบวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำในทันที และเข้ามาแสดงความเคารพ เมื่อมองดูชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังหลิวซือฉุนซึ่งมีท่าทางเคารพและตื่นเต้น ซึ่งชายคนนั้นรีบก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับตัวเอง หลี่เฉินจึงพูดว่า “ไม่ต้องพิธีการ”“ฝ่าบาท นี่คือพี่รองของหม่อมฉัน การเดินทางไปเจ้อเจียงและฝูเจี้ยนเพื่อซื้อต้นกล้ามันเทศในครั้งนี้ ต้องขอบคุณการทำงานหนักของเขา”ด้วยการแนะนำของหลิวซือฉุน หลิวซือต๋าจึงเดินมาหาหลี่เฉิน โค้งคำนับด้วยความเคารพ และกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “กระหม่อมหลิวซือต๋า ถวายบังคมองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่เฉินเหลือบมองหลิวซือฉุนอย่างครุ่นคิดแล้วก็พูดว่า “คราวนี้ซื้อต้นกล้ากลับมากี่ต้น?”หลิวซือต๋ารีบตอบว่า “มีต้นกล้าทั้งหมด 400 กว่าต้น หากไม่รวมต้นที่สูญหายระหว่างทาง ต้นที่ยังรอดอยู่ตอนนี้ มีทั้งหมด 380 ต้น นอกจากนี้ กระหม่อมยังได้เชิญชาวนาที่มีประสบการณ์ในการเพาะปลูกจากท้องถิ่น มาหว่านเมล็ดพืชด้วยตัวเอง” หลี่เฉินพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าวว่า “ไม่เลว
เมื่อฟังการแนะนำของหลี่เฉิน ดวงตาของซูจิ่นพ่าก็เบิกกว้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความไม่เชื่อที่ไม่อาจระงับได้ จากการแนะนำของหลี่เฉิน นางจับใจความได้สองอย่าง ข้อแรกคือพืชชนิดนี้เรียกว่ามันเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารหลักได้ อีกข้อคือมันให้ผลผลิตมากกว่าธัญพืชธรรมดาถึงสิบถึงยี่สิบเท่า แนวคิดนี้คืออะไร?หากเป็นความจริง อาจกล่าวได้ว่ามันช่วยบรรเทาปัญหาที่รบกวนหัวเซี่ยมานานนับพันปีได้อย่างมาก นั่นก็คือ : ความอดอยาก! ตั้งแต่สมัยโบราณ อาหารถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คน ผู้คนจะก่อกบฏหากพวกเขามีอาหารไม่เพียงพอ แต่ถ้าหากทุกคนมีอาหารให้กินและมีเสื้อผ้าให้สวม แล้วใครจะยอมเสี่ยงเสียหัวเพื่อก่อกบฏ? หากผู้ใดสามารถแก้ปัญหาเรื่องอาหารได้ ผู้นั้นย่อมเป็นนักปราชญ์ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ และถ้าหากบุคคลนี้คือองค์รัชทายาท ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจของจักรพรรดิและความตั้งใจของประชาชน ใต้หล้านี้จะมีใครต่อต้านเขาได้? ใครจะกล้าต่อต้านเขา!?ในช่วงเวลาสั้นๆ ซูจิ่นพ่าก็คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างถึงแม้ว่านางจะมีนิสัยถือดีและเย็นชา แต่เวลานี้ก็อดหายใจไม่ออก“ฝ่าบาท ทรงจริงจังหรือไม
หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าย่อมไม่อาจปลงพระชนม์ได้”สำหรับหลี่เฉิน นี่ถือเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความจริงใจโจวผิงอันยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แปลกใจกับคำปฏิเสธนั้น และตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีอีกวิธี”“บีบให้จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ”น้ำเสียงของโจวผิงอันเยือกเย็น “ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์หรือวิธีอื่น เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้จ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือก จนต้องก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถูกประณามจากทั่วหล้า และไม่ว่าองค์ชายจะปลดหรือประหารเขา ก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม”“ขุนนางก่อกบฏ องค์ชายทรงสังหาร นั่นคือความชอบธรรมที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”“เช่นนี้ จะช่วยให้ราษฎรสงบปากสงบคำ และยังป้องกันไม่ให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งหลายใช้ข้ออ้างว่าราชสำนักสั่นคลอนเพื่อยกทัพมาปราบด้วย”คำพูดนี้กระแทกใจหลี่เฉินโดยตรงทำไมเขาไม่กำจัดจ้าวเสวียนจีตั้งแต่ต้น?เพราะหากใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการกำจัดจ้าวเสวียนจี ราชสำนักจะเข้าสู่ภาวะอัมพาตทันทีแผ่นดินจะวุ่นวาย
คำพูดสั้นๆ ของโจวผิงอัน เปรียบได้กับพายุที่ทำแผ่นดินสั่นคลอนแม้แต่หลี่เฉินเองก็ยังต้องขมวดคิ้วคำพูดนี้ หากผู้ใดกล่าวออกไป ย่อมถูกนับเป็นกบฏและต้องโทษประหารชีวิต ไม่เพียงตัวเอง แต่ถึงขั้นล้างโคตรทั้งตระกูลแต่ในพระที่นั่งสีเจิ้งที่เงียบสงัดและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนอึดอัด กลับรู้สึกว่าเหมาะสมอย่างน่าประหลาดโจวผิงอันดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความผิดร้ายแรงในคำพูดของตนเอง เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสงบ “ในตอนนี้ องค์ชายมีทั้งทำเลที่เหมาะสมและผู้คนที่สนับสนุน สิ่งที่ขาดไปคือโอกาสฟ้าประทาน ซึ่งโอกาสนั้นก็คือการที่ฝ่าบาทเสด็จสวรรคต เมื่อถึงตอนนั้น เส้นทางขึ้นครองบัลลังก์ขององค์ชายจะไร้อุปสรรค และเมื่อขึ้นครองราชย์ได้ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะสามารถใช้โอกาสแห่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินกวาดล้างจ้าวเสวียนจีได้อย่างเบ็ดเสร็จ”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ เพียงคำเดียว “กบฏ”โจวผิงอันโค้งตัวคำนับ “องค์ชายทรงพระปรีชา”“จ้าวเสวียนจีผู้นี้ เปรียบได้กับจอมคนในยุคปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์สามก๊ก มีคำกล่าวเกี่ยวกับโจโฉว่า ‘เป็นขุนนางที่มีฝีมือในยุคแห่งความสงบ และจอมคนในยุคแห่งความปั่นป่วน’ จ้าวเสวียนจีก็คือโจโฉแห่งต้าฉิ
คำพูดของหลี่เฉิน หากพูดให้ใครฟังก็คงทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แต่โจวผิงอันกลับไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างจริงจังหลี่เฉินไม่ได้เร่งรัด ปล่อยให้โจวผิงอันใช้เวลาครุ่นคิดโจวผิงอันเป็นคนที่มาพร้อมกับความลึกลับ หน่วยบูรพาที่เก่งกาจยังสืบได้เพียงข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับระหว่างเขาและพี่น้องอีกสองคนเท่านั้น และข้อมูลนี้ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเองด้วยส่วนเรื่องที่พวกเขามาจากไหน มีเป้าหมายอะไร และเป็นศิษย์ของใคร กลับไม่มีใครรู้ในแผ่นดินต้าฉิน คนที่ทำให้หน่วยบูรพาทำอะไรไม่ได้มีน้อยมาก และพี่น้องตระกูลโจวก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความลึกลับนี้ไม่ได้ขัดขวางความร่วมมือระหว่างหลี่เฉินกับโจวผิงอันโจวผิงอันเป็นผู้มีสติปัญญาและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการสำหรับเป้าหมายและแผนการเบื้องหลังของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ เรื่องในอนาคตก็ไม่มีความหมายหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน โจวผิงอันจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลี่เฉินว่า “ทำได้ แต่ความเสี่ยงสูงมาก”หลี่เฉิน
“อย่าทำตัวเหมือนผู้ชนะที่ได้ใจในสงครามต่อหน้าข้า บอกมาเถอะว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”คำพูดที่แข็งกร้าวของจ้าวชิงหลาน ทำให้รอยยิ้มอันภาคภูมิของหลี่เฉินหุบลง“อย่าทำหน้าบึ้งตึงไปเลย สิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำนั้นง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวชิงหลานหัวเราะเยาะ ไม่เชื่อคำพูดนั้นแม้แต่น้อยหลี่เฉินจึงพูดต่อทันที“สิ่งที่ข้าต้องการ คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย”คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจ้าวชิงหลานหยุดนิ่งนางมองหลี่เฉินด้วยความตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่แน่ใจ“ชัดเจนหรือยัง? สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านคือ…ไม่ต้องทำอะไรเลย”หลี่เฉินกล่าวเสริมอีกครั้งจ้าวชิงหลานมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา“ท่านต้องการให้ข้าไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับท่านพ่อของข้า ใช่หรือไม่?” จ้าวชิงหลานกัดฟันถามหลี่เฉินเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ เพราะเขารู้ดีว่า จ้าวชิงหลานเข้าใจความหมายของเขาแล้ว“สำหรับจ้าวไท่ไหล ข้าจะจัดการเอง ตราบใดที่เขาว่านอนสอนง่าย ก็จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้”พูดจบ หลี่เฉินก็ยืดเส้นยืดสายแล้วเดินออกจากตำหนัก“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะขอตัวก่อน ช่วงนี้งานยุ่งมาก”จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปาก ม
คำพูดของจ้าวไท่ไหลทำให้จ้าวชิงหลานถึงกับนิ่งอึ้งนางมองดูจ้าวไท่ไหลที่กำลังหมดหนทาง เบื้องหน้านางคือน้องชายที่ไร้ความหวัง จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะโทษใครได้? หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตก่อปัญหาไปวันๆ”“ถ้าเจ้าทำให้เขาเห็นความหวังบ้าง เขาจะทำเช่นนี้หรือ?”“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”จ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกดดันมาทั้งวัน ทนฟังคำตำหนิของจ้าวชิงหลานไม่ไหว ความโกรธของเขาพุ่งพล่านเขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ต่อให้ข้าไร้ค่าเพียงใด ข้าก็ยังเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา! ข้าเป็นสายเลือดตระกูลจ้าว เป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูลของเขา แล้วนี่เขาตอบแทนข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?”“ที่ผ่านมา ต่อให้เขาตีข้าหรือด่าข้า ข้าก็ยังเคารพและชื่นชมเขาอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เล่า? เขาคิดจะส่งข้าไปให้เหวินอ๋องระบายความโกรธ นี่เขาเสียสติไปแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ?”“ตั้งแต่ตำหนักบูรพาเรืองอำนาจ องค์รัชทายาทแย่งอำนาจไปจากมือเขาแทบทั้งหมด เขาก็กลัวมาตลอด กลัวว่าตัวเองจะหมดสิ้นทุกสิ่ง เขาเคยเสวยสุขกับอำนาจมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับคลุ้มคลั่งเพื่อปกป้องมัน!”“เขาส่งพี่ไปให้ฮ่องเต้ก่อน แต่แล้วฮ่อง
แม้หลี่เฉินจะไม่ได้รับสั่งใดๆ หรืออธิบายเพิ่มเติม แต่เฉินทงก็รู้ดีว่างานที่องค์รัชทายาททรงมอบหมายให้เขาดูแลด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นเรื่องลับแน่นอนยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและจ้าวไท่ไหลเพื่อความปลอดภัย เฉินทงจึงไม่ได้พาจ้าวไท่ไหลเข้าประตูใหญ่ แต่ใช้เส้นทางลับที่พวกขันที นางกำนัล และผู้ดูแลวังใช้เข้าออก โดยอ้อมเข้าประตูด้านข้างของพระราชวังหลวงระหว่างทาง เฉินทงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงนำทางจ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกังวลเดินไปอย่างเงียบๆส่วนจ้าวไท่ไหลนั้น ใจยังคงสับสนวุ่นวาย ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องที่บิดาของเขาต้องการฆ่าเขาได้เต็มที่ เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกันทั้งสองเดินกันอย่างเงียบงันเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งสี่ทหารรักษาการณ์ นางกำนัล และขันทีในตำหนักเฟิ่งสี่ล้วนถูกเปลี่ยนให้เป็นคนของตำหนักบูรพา เฉินทงจึงสามารถพาจ้าวไท่ไหลเข้าไปได้โดยไม่มีอุปสรรคเมื่อเข้ามาในตำหนักเฟิ่งสี่แล้ว จ้าวชิงหลานที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเห็นจ้าวไท่ไหลในชุดปลอมตัวก็ถึงกับประหลาดใจ“ท่านพี่!”เมื่อเห็นจ้าวชิงหลาน จ้าวไท่ไหลก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อซูผิงเป่ยได้ยินคำพูดนี้ เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “กระหม่อม…น้อมรับพระบัญชา”“นี่ไม่ใช่คำสั่งทหาร”หลี่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “การตกหลุมรักเป็นเรื่องของเจ้าเอง งานสมรสนี้ข้าจัดหาให้ แต่ความรู้สึกเป็นของเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าต้องสมรส”แม้ว่าหลี่เฉินจะได้ประโยชน์จากการสมรส แต่เขายังคงมีจิตวิญญาณอย่างคนสมัยใหม่ จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึกส่วนตัวในเรื่องการสมรสเขาคิดในใจว่าหากซูจิ่นพ่าเป็นคนที่หน้าตาน่าเกลียดมาก ต่อให้ผลประโยชน์ทางการเมืองจะมากเพียงใด เขาก็อาจจะยอมสมรสเพื่อผูกมิตรกับซูเจิ้นถิง แต่ซูจิ่นพ่าคงได้เป็นเพียงเครื่องหมายประดับในตำหนักหลังเท่านั้น คงไม่มีทางได้ขึ้นเป็นชายาองค์รัชทายาทเพราะการสมรสคือเรื่องสำคัญตลอดชีวิต เมื่อสมรสแล้ว หากไม่มีเหตุผลอันใหญ่หลวง จะต้องอยู่ร่วมกับคนๆ นั้นไปตลอด หลี่เฉินจึงเปิดโอกาสไว้เล็กน้อยสำหรับซูผิงเป่ยและหลี่เพ่ยเพ่ยถ้าหากไม่ชอบจริงๆ การบังคับสมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่ดูเหมือนว่าซูผิงเป่ยจะเข้าใจความหมายของหลี่เฉินผิดไป เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน
เมื่อได้ยินคำถามของหลี่เฉิน หลี่เพ่ยเพ่ยที่พอจะเตรียมใจไว้แล้วก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าตอบเบาๆ ว่า “ยังไม่มีเพคะ”การสมรสขององค์ชายและองค์หญิงส่วนใหญ่ มักไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง โดยเฉพาะองค์หญิงที่ใช้ชีวิตในวังลึกมาตลอด มีโอกาสได้พบปะชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันน้อยมาก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในดวงใจยิ่งไปกว่านั้น ในยุคสมัยนี้ หญิงที่มีอิสระในความคิดเหมือนกับซูจิ่นพ่า เรียกได้ว่าเป็นส่วนน้อยมาก คำตอบของหลี่เพ่ยเพ่ยจึงเป็นสิ่งที่หลี่เฉินคาดไว้อยู่แล้วหลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าก็ถึงวัยแล้ว หากไม่รีบออกเรือน เกรงว่าจะกลายเป็นสาวแก่ นั่นไม่เหมาะสมทั้งในด้านความรู้สึกและเหตุผล เสด็จพี่รองจึงคิดจะหาเจ้าบ่าวให้เจ้า คนที่ข้าหมายตาไว้คือซูผิงเป่ย บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ซู เขาเพิ่งกลับจากชัยชนะในสนามรบ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราววีรกรรมของเขามาบ้าง?”หลี่เพ่ยเพ่ยตอบเบาๆ ว่า “เพ่ยเพ่ยเคยได้ยินถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของแม่ทัพซูอยู่บ้างเพคะ”หลี่เฉินยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี แม่ทัพใหญ่ซูมีบุตรเพียงสองคน คือซูผิงเป่ยและซูจิ่นพ่า ซึ่งอีกไม่นานซูจิ่นพ่าก็จะเข้ามาเป็นชายาองค์รัชทาย
เมื่อเห็นสวีหยวนต๋าและคนอื่นๆ แสดงท่าทีตอบรับ หลี่เฉินลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้จัดการตามนี้แล้วกัน”จากนั้นเขาก็เอามือไพล่หลังเดินออกจากหลันเยว่เซวียน ก่อนจะเหลือบมองเหล่าหนุ่มน้อยที่ยังคุกเข่าอยู่หน้าประตู ในยามกลางวันเช่นนี้ การให้พวกเขาคุกเข่าอยู่นั้นก็เท่ากับเป็นการลงโทษให้ผู้คนเห็น คนเหล่านั้นต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบสายตาใคร ทั้งยังมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง“คุกเข่าให้ครบสองชั่วยามแล้วค่อยลุก จากนั้นส่งตัวตรงไปยังค่ายทหาร”หลี่เฉินกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเขาเชื่อว่าสวีหยวนต๋าและพวกจะไม่กล้าทำท่าทีตีสองหน้าเพราะหน่วยบูรพาเฝ้าจับตาอยู่ใกล้ๆใครกล้าเล่นตุกติก ไม่ใช่แค่ลูกชายจะถูกส่งไป แม้แต่พ่อก็อาจจะต้องตามไปด้วยเมื่อหลี่เฉินจากไป สวีหยวนต๋าและบรรดาบิดาจึงเดินมายังหน้าลูกชายของตน ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่พวกเขาด้วยความโกรธสวีหยวนต๋าไม่ฟาดลูกชายตัวเอง เพราะใบหน้าของลูกชายเขาก็เหมือนหัวหมูอยู่แล้วเขาชี้ไปที่ลูกชายตนพร้อมกล่าวด้วยความเจ็บใจว่า “เจ้ามันไร้ความสามารถโดยแท้ วันนี้ถือว่าโชคดีนัก ไม่เช่นนั้น ตระกูลเราคงต้องถูกเจ้าทำให้พินาศหมดสิ้นแน่!”ลูกชายเขาถามด