“นวดไหล่สิ”หลี่เฉินพูดอย่างเกียจคร้านวั่นเจียวเจียวเห็นหลี่เฉินหลับตา นางก็เดินอย่างระมัดระวังไปที่ด้านหลังของหลี่เฉิน ยกนิ้วเรียวงามขึ้นมา และเริ่มบีบไหล่ของหลี่เฉินเห็นได้ชัดว่าซานเป่าค่อนข้างจะโปรดปรานลูกสาวบุญธรรมคนนี้มาก เพราะทักษะการนวดของนางไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย “เมื่อเจ้ากลับบ้านไป ก็อย่าลืมบอกซานเป่าว่าข้าให้เจ้านวดไหล่ให้” หลี่เฉินพูดโพล่งออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทำให้วั่นเจียวเจียวสับสนเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มันสำคัญอย่างไรเมื่อเห็นวั่นเจียวเจียวไม่เข้าใจ หลี่เฉินจึงอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย “ในกรณีนี้ เขาจะไม่กล้าให้เจ้านวดเขาอีกต่อไป อันที่จริงจะพูดหรือไม่มันก็เหมือนกัน เจ้าอยู่ข้างกายข้า และซานเป่าก็เป็นคนฉลาด เขาจะไม่สั่งให้เจ้าทำอีกอย่างแน่นอน” วั่นเจียวเจียวก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลันนางพูดเสียงเบาว่า “บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ” ตอนนี้เองก็มีประกาศดังมาจากด้านนอก เป็นเฉินทงที่มาเมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลี่เฉิน เฉินทงก็ก้าวเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นวั่นเจียวเจียวกำลังนวดไหล่หลี่เ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดของเฉินทงก็ยังคงทำให้หลี่เฉินพอใจ“เมื่อวานข้าได้ยินจากซานเป่าบอกว่า เจ้าไปที่มณฑลซีซานเพื่อคุ้มกันจ้าวเหอซานด้วยตัวเอง?” เฉินทงรีบตอบ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงเมื่อเช้านี้” “สถานการณ์ในมณฑลซีซานซับซ้อนกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มาก อาจกล่าวได้ว่าสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นสูญเสียบทบาทไปแล้ว และผู้ที่เป็นขุนนางก็ถูกใช้โดยผู้ที่มีอำนาจในท้องถิ่น ส่วนคนที่ตกเป็นเหยื่อก็คือประชาชน”“นอกจากนี้ขุนนางและพวกผู้มีอำนาจได้จัดตั้งกองกำลังขนาดใหญ่ขึ้น พวกเขาเลี้ยงดูข้ารับใช้ มิหนำซ้ำอาวุธชุดเกราะของข้ารับใช้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากองทัพเลย” “หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวมาถึงมณฑลซีซาน ก็ใช้มาตรการสูงเพื่อกดดัน ทำให้เกิดการตอบโต้หลายครั้งจากพวกผู้ดีและขุนนางในท้องถิ่น”“ในตอนแรกพวกผู้ดีกับขุนนางเหล่านั้นก็อดทน และพยายามจะติดสินบนใต้เท้าจ้าวให้เข้าร่วมด้วย แต่หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวปฏิเสธสิ่งจูงใจทั้งหมด ทั้งยังสังหารขุนนางหลายคนที่มาติดสินบนเขา จากนั้นพวกผู้ดีและขุนนางในท้องถิ่นก็เริ่มตั้งกลุ่มกันขึ้นมา เพื่อต่อต้านใต้เท้าจ้าว" เห็นได้ชัดว่าในครั้งนี้
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง ราวกับอำนาจมังกรที่อธิบายปลุกคลุมร่างกายของหลี่เฉิน ดังนั้นเมื่อเขายืนอยู่ที่นั่น ก็เหมือนกับเทียนตี้เสด็จประพาส ยามพิโรธขึ้นมาแม้แต่ท้องฟ้าก็ต้องเปลี่ยนสี เฉินทงเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอกของเขา เสียงดังตึกตักๆ นั่น ทำให้เขารู้สึกชาไปทั่วร่าง ใบหน้าพลันตึงเครียด เฉินทงคุกเข่าลงกลางห้องเสียงดังปึก “ฝ่าบาท จริงๆ แล้วมีคนมาขอให้กระหม่อมส่งข้อความถึงฝ่าบาท”“พูดมา ใคร” น้ำเสียงของหลี่เฉินเริ่มเรียบเฉยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ดูไม่ออกว่ามีความสุขหรือว่าโกรธเคือง แต่กลับให้ความรู้สึกที่น่ากลัวซึ่งทำให้เฉินทงรู้สึกเหมือนกับว่ามีหนามแหลมทิ่มแทงที่หลัง ราวกับว่าในวินาทีถัดมา อาจจะมีหายนะหล่นใส่หัว “ตระกูลหลง เป็นตระกูลหลงแห่งซีซาน”น้ำเสียงของเฉินทงสั่นเทาและตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ตระกูลหลงในมณฑลซีซานมีประวัติย้อนกลับไปถึงการก่อตั้งราชวงศ์นี้ บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถคนหนึ่งในการบัญชาของไท่จู ต่อมา เมื่อประเทศนี้ถูกก่อตั้ง บรรพบุรุษคนนั้นจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเฉิงหยางโหว มีศักดินาอย
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เฉินทงก็ตระหนักได้ว่าปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะแก้ไขได้ แต่ตัวเขากลับมีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว หากยังไม่เข้าใจ เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้ เฉินทงจึงกัดฟันลุกขึ้น และกลับไปที่หน่วยบูรพา หลังจากนั้นไม่นาน ซานเป่าก็ได้พบกับเฉินทงในห้องหนังสือ“ผู้บัญชาการเฉินเพิ่งกลับมาจากมณฑลซีซาน พอออกจากตำหนักบูรพามา ก็มาพบข้ากวางกงในทันที มิรู้ว่าฝ่าบาทได้สั่งให้ผู้บัญชาการเฉินถ่ายทอดสิ่งใดให้กับข้า?” ซานเป่าประสานมือกล่าวอย่างสุภาพ ทั้งท่าทางและคำพูด ไม่มีจุดไหนที่แสดงถึงความเย่อหยิ่งของผู้บัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา สีหน้าของเฉินทงเปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่พักหนึ่ง เขาเดินไปตรงหน้าซานเป่า ก่อนจะยกมือขึ้นและโค้งคำนับอย่างจริงใจ “ท่านกวางกงโปรดช่วยข้าด้วย”เมื่อซานเป่าเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกแปลกใจ เขารีบช่วยประคองเฉินทงแล้วถามว่า “ผู้บัญชาการเฉินมีปัญหาอะไรหรือ? ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ผู้บัญชาการเฉินแค่พูดออกมา ถ้าหากข้ากวางกงสามารถช่วยได้ก็จะช่วย” เฉินทงกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านกวางกง เมื่อไม่นานมานี้ ข้าหลงระเริงไปเล็กน้อย โปรดยกโทษให้กับข้าด้วย”ซานเป่าโบกมือด้วยร
“สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือเมื่อได้รับคำขอร้องของหลงเทียนเต๋อ เจ้าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบในทันทีโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็อย่าคิด อย่าถาม และอย่าสอดมากเกินไป หากฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างไรก็ทำไปตามนั้น” “แต่เจ้ากลับไม่พูดถึงหลงเทียนเต๋อก่อนรายงาน” เฉินทงหน้าแดง และพูดด้วยความอับอายว่า “จริงๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าคำพูดของหลงเทียนเต๋อค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงอยากแสดงหน้าตัวเองกับฝ่าบาท...”“ดังนั้นมันจึงโง่”ซานเป่าส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตัวเจ้ามีความสามารถแค่ไหน มีหรือฝ่าบาทจะไม่รู้? ยังจะพูดถึงจุดจบสองอย่างของมณฑลซีซานอะไรกัน เรื่องเช่นนี้ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งสามารถพูดได้เหรอ? เจ้าลองบอกสวีฉังชิง แล้วดูสิว่าเขาจะกล้าพูดไหม? กวนจือเหวยล่ะ เขากล้าพูดไหม?” “คนที่ล้ำเส้นก็คือเจ้า พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด” เฉินทงยิ่งได้ฟังก็ยิ่งอับอาย เขาพูดอย่างใจร้อนว่า “ท่านกวางกง ข้าทราบความผิดแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะจัดการเช่นไร?” “ทูตจากตระกูลหลงอยู่ที่นี่กี่คน?” ซานเป่าถาม“ไม่มาก แค่สามคน เมื่อรวมผู้คุ้มกันด้วย ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น” เฉินทงตอบ “ดี” ซานเป่าพยักหน้าแล้วกล่าวคำพูดท
ภายในห้องชุดเทียนจื้อเฮาที่สูงที่สุดในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด มีคนสี่ห้าคนกำลังพูดคุยสนทนากัน คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ คือชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง ขณะที่เขาพูด สีหน้าของคนอื่นๆ ในห้องก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่เหวินซาน ระวังสิ่งที่ท่านพูดด้วย”ชายอีกคนที่สวมเสื้อผ้าจิ่นต่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปที่ประตูที่ปิดสนิทโดยสัญชาตญาณ แล้วพูดว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ ไม่ใช่ซีซาน จะพูดจะจาอะไรก็ระวังกำแพงมีหูบ้าง”แต่เหวินซานกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เมืองหลวงแล้วอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็ดี ราชเลขาก็ช่าง คนพวกนั้นล้วนต้องการตัวพวกเรา” “ทัศนคติของพวกเรา คือตัวแทนทัศนคติของผู้มีอำนาจในมณฑลซีซาน หากทำให้พวกเราไม่มีความสุข พวกเราก็จะหันไปหาอีกด้าน ใครจะกล้ารุกรานพวกเรา?”ชายผู้เริ่มเตือนก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “ก่อนจะมา ไม่ว่าจะนายท่านหรือท่านโหวน้อย ต่างก็เตือนพวกเราไม่ให้ล่วงเกินคนในเมืองหลวง ท่านลืมคำพูดของนายท่านกับท่านโหวน้อยไปแล้วหรือ?” เหวินซานกลับพูดอย่างเหน็บแนมว่า “ข้าแค่พูดสองสามคำเพื่อตระกูลของพวกเรา”พูดจบ เพื่อคล
“เพราะเจ้ามันพูดมาก ปากใหญ่”“ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตสุนัขอย่างเจ้า เพื่อให้กลับไปบอกตระกูลหลงและคุณชายของพวกเจ้าว่า ฝ่าบาททรงตรัสว่า หากอยากพบฝ่าบาท ก็ให้คนแซ่หลงไสหัวมาด้วยตัวเอง มาที่นอกประตูตำหนักบูรพาและมอบเทียบเชิญตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะได้เข้าเฝ้าหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพระองค์”“แต่ถ้าจะมาวางมาด โดยหวังว่าพระวรกายที่มีค่าดุจทองพันชั่งของฝ่าบาทจะเสด็จมาพบพวกเจ้าด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็กล่าวได้คำเดียวว่า : ไสหัวไป!” พูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินทงก็พลันหายไป และแทนที่ด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว เขาบีบคางของเหวินซานแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ได้ยินชัดหรือไม่!?”เหวินซานตัวสั่นแล้วกล่าวว่า “ดะ ได้ยิน” “ได้ยินชัดแล้วก็ดี อย่าลืมเชียวล่ะ” เฉินทงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืนแล้วตบฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงตามตัว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเมื่อไปถึงหน้าประตู เขาก็เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาพูดกับเหวินซานว่า “อ้อ จริงสิ ยังมีอีกอย่างที่จะพูด ฝ่าบาททรงตรัสว่า ตระกูลหลงอยู่ในมณฑลซีซานมาสามร้อยปีแล้วอย่างไร นั่นเป็นร่มเงาที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าทิ้งไว้ให้ ราชวงศ์หลี
“เจ้าคงรอมาสักพักแล้ว แล้วเหตุใดไม่เข้าไปก่อนล่ะ?” หลี่เฉินถามอีกครั้งหลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ไม่นานหลังจากที่มาถึง ก็ได้ยินจากคนรับใช้ว่า ฝ่าบาทกำลังเยี่ยมเสด็จพ่อในตำหนัก น้องชายจึงรออยู่ข้างนอก ไม่กล้ารบกวน แค่รอเพียงครู่เดียวไม่เป็นไร” หลี่เฉินยิ้มแต่ไม่ออกความคิดเห็น “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เข้าไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” หลี่เฉินพูดจบ ก็เดินนำขบวนจากไป หลี่อิ๋นหู่มองไปทางแผ่นหลังของหลี่เฉิน แล้วก้มหน้าพูดว่า “น้องชายส่งเสด็จองค์รัชทายาท”เมื่อก้าวไปบนถนนที่ถูกหิมะด้วยปกคลุม หลี่เฉินก็พูดกับวั่นเจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ ว่า “รู้ไหมว่าสุนัขอะไรไหนที่ดุร้ายที่สุด?” วั่นเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจว่า “บ่าวเคยได้ยินมาว่าบนที่ราบสูงทิเบตนั้น มีสุนัขดุร้ายที่เรียกว่าสุนัขพันธุ์มาสทิฟ ความดุร้ายของมันสามารถฆ่าหมาป่าได้”หลี่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “สัตว์ที่สามารถใช้กระดูกแค่ชิ้นเดียวก็ทำให้เชื่องได้ ไม่ถือว่าดุร้าย สัตว์ที่ดุร้ายที่สุด คือสัตว์ที่มักจะส่ายหัวส่ายหาง ซ่อนเขี้ยว และกัดเจ้าอย่างกะทันหันตอนที่เจ้าไม่ทันป้องกัน กัดเข้าที่หล
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี