งานศพของปรางทิพย์ถูกจัดขึ้นที่ศาลาวัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีดอกไม้ประดับพอให้เห็นเป็นพิธี แขกเหรื่อที่มางานก็เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกันกับลูกค้าประจำของร้านข้าวแกงที่อุดหนุนกันจนสนิทสนม
ส่วนจักรกฤษณ์สามีของผู้ตายซึ่งควรจะเป็นเสาหลักในการจัดการงานศพให้ภรรยาก็เงียบหายไปเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ก่อนที่ปรางทิพย์จะเสียชีวิต ไม่มีใครรู้ข่าวหรือติดต่อได้ ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างตกไปที่พรพรรณผู้เป็นน้องสาวที่รีบ ลางานกลับมาพิษณุโลกหลังจากรู้ข่าวร้ายของพี่สาวตัวเอง
พรพรรณใช้เงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิด รวมกับเงินของเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการงานศพด้วยความเวทนาผู้ตายกับลูกสาวตัวน้อยที่จู่ ๆ ต้องกลายมาเป็นเด็กกำพร้าแม่เช่นนี้
หลังจากพระสวดอภิธรรมศพเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงแขกในงานไม่กี่คนที่ยังนั่งสนทนากันอยู่บนศาลาวัด รินรดาสวมชุดสีดำเก่า ๆ นั่งมองรูปถ่ายของมารดาที่กำลังส่งยิ้มให้อยู่หน้าโลงศพ แววตาของเด็กหญิงทั้งเศร้าสร้อยและแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาหลายต่อหลายครั้ง
พรพรรณมองหลานสาวอย่างเวทนา ก่อนทรุดตัวลง นั่งข้าง ๆ หากยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยสิ่งใด เด็กหญิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน
“น้าอ้อย รูปนี้แม่ดูสวยจังเลย น้าอ้อยรู้ไหม เมื่อก่อนตอนแม่ยังอยู่ แม่แทบจะไม่เคยยิ้มให้หนูเลย ส่วนใหญ่แม่จะยิ้มให้แต่ลูกค้า ส่วนหนูนาน ๆ ครั้งแม่ถึงจะยิ้มให้ หนูชอบแม่ในรูปนี้จัง แม่ดูใจดี ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่แม่ยังอยู่กับหนู หนูชอบแม่แบบนี้จ้ะน้าอ้อย”
แววตาเป็นประกายของหลานสาว ทำให้พรพรรณถึงกับถอนหายใจออกมา พลางปรายตาไปมองภาพถ่ายของพี่สาว
“ริน แม่เราน่ะ เมื่อก่อนสมัยสาว ๆ เป็นผู้หญิงสวยมากเลยนะ ไม่มีใครสวยสู้แม่เราได้เลย ผู้ชายมารุมจีบเช้าถึงเย็นถึงจนหัวกะไดบ้านแทบไม่แห้ง แต่สุดท้ายพี่ปรางก็เลือกมันเป็นผัว ช่างเป็นเวรกรรมจริง ๆ บางที...หากพี่ปรางเลือกคนอื่นเป็นผัว ชีวิตอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบา
อาจเป็นเพราะพรพรรณเห็นชีวิตครอบครัวของพี่สาวที่ทุกข์ยาก จึงทำให้เธอพลอยขยาดไม่อยากจะแต่งงานหรือมีครอบครัว จนไม่ยอมเปิดใจให้กับผู้ชายคนไหนเลยสักคน แม้แต่จักรกฤษณ์สามีของปรางทิพย์ ที่เธอรับรู้มาตลอดว่า เมื่อก่อนปรางทิพย์คิดว่าตัวเองเลือกผู้ชายที่ดีที่สุดมาเป็นสามีแล้ว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าสุดท้าย ผู้ชายที่คิดว่าดี พอลายออกก็กลายเป็นแมงดาดี ๆ นี่เอง
“น้าอ้อยจ๋า แล้วแม่จะรู้ไหมว่าหนูสอบได้ที่หนึ่ง หนูเอาเกรดวางไว้หน้าโลงศพแม่ แม่จะรู้ไหมจ๊ะน้า”
คำถามของเด็กน้อยทำเอาคนเป็นน้าถึงกับน้ำตาซึมขึ้นมาอีกครั้ง
เธอมองไปยังพานหน้าโลงศพที่มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ก็ให้สะท้อนใจ
“ริน น้าว่า ต่อให้แม่เราตายไปแล้ว แม่ก็ต้องรู้ว่าหนูเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนมากแค่ไหน รินอย่าลืมสิ ตอนแม่ยังอยู่ หนูก็ตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เตรียมทำกับข้าวไปขายที่ตลาดทุกวันก่อนไปโรงเรียนไม่ใช่หรือ พอกลับมาถึงบ้านก็ยังช่วยทำงานบ้านอีก น้าว่าแม่คงภาคภูมิใจในตัวหนูมากอยู่แล้วล่ะลูก”
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงมองน้าสาวด้วยความแปลกใจ
“จริงหรือจ๊ะน้า แม่ภูมิใจในตัวหนูจริง ๆ หรือจ๊ะ”
“จริงสิ คนเป็นแม่น่ะ ยังไงก็ต้องภูมิใจในตัวลูก รักลูกอยู่วันยังค่ำ”
“ถ้าแม่รักและภูมิใจในตัวหนูจริง ๆ แล้วทำไมแม่ถึงเอาแต่ดุด่าหนูล่ะจ๊ะน้า”
คำถามไร้เดียงสาทำเอาพรพรรณถึงกับลมหายใจสะดุด
“ดุด่าเหรอ”
“จ้ะน้า แม่เอาแต่ดุด่าว่าหนูทุกวัน ต่อให้หนูพยายามทำดีแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยชมหนูเลย น้ารู้ไหมจ๊ะ...ที่หนูตั้งใจเรียนหนักขนาดนี้เพื่อจะได้เป็นที่หนึ่งของห้อง หนูแค่อยากให้แม่ภูมิใจในตัวหนู ยิ้มให้หนูบ้าง ถ้าจะให้ดีหนูอยากให้แม่ชมหนูบ้างน่ะจ้ะน้า”
เสียงแผ่วเบาของเด็กหญิง ทำเอาพรพรรณตื้อในอก เธอดึงร่างเล็กมากอดด้วยความสงสาร พลางหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งก่อน สมัยที่เธอเคยมาพักอยู่ที่บ้านของพี่สาวในช่วงตกงาน
ปรางทิพย์มักหลุดปากเล่าให้เธอฟังบ่อยครั้งยามเมื่อเหล้าเข้าปากว่า..
พ่อของจักรกฤษณ์เป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย ทางครอบครัวคาดหวังให้เขามีลูกชายไว้สืบสกุล กอปรกับปรางทิพย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อแม่ต้องการให้แต่งงานด้วย การที่เธอมีลูกชายคนแรกจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเขายอมรับได้นอกจากนี้เคยมีหมอดูทำนายดวงปรางทิพย์ไว้ว่า หากเธอได้ลูกชายคนแรก ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นเศรษฐี แต่ถ้าหากเธอมีลูกสาวคนแรกจะนำพาให้ครอบครัวตกต่ำยากจนเข็ญใจ ทั้งสองจึงต้องการให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชายเท่านั้นแต่แล้วความฝันก็พังครืน...เมื่อปรางทิพย์คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง ทั้งที่เธออุ้มท้องลูกแฝด แต่คนที่มีชีวิตรอดกลับมีเพียงรินรดา ขณะที่ฝาแฝดเพศชายเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์สร้างความผิดหวังให้สองสามีภรรยามาก และดูเหมือนว่าคำทำนายของหมอดูก็จะมีเค้าความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากที่รินรดาลืมตาดูโลก เธอก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้งแม้แต่ปรางทิพย์เอง หลังจากคลอดลูก เธอก็มีอาการป่วยจากภาวะหลังคลอด ทำให้เธอหงุดหงิดจนมีเรื่องทะเลาะกับสามี กอปรกับพ่อแม่ของจักรกฤษณ์เสียชีวิตลงหลังจากรินรดาคลอดได้ไม่นาน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหลอลงไปทุกว
“อ้อ...ชื่อเพ็ญเหรอ แหม...ชื่อก็เพราะ หน้าตาก็ดี แต่ทำไมไม่มีปัญญาหาผัวเองล่ะ ต้องมาแย่งผัวคนอื่นเขาแบบนี้ นี่...กูจะบอกให้เอาบุญนะ เมียน้อยยังไงก็เป็นเมียน้อยอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เมียหลวงเขาตายไปแล้ว แต่มึงไม่มีวันลบคำว่าเมียน้อยออกไปจากชีวิตมึงได้หรอก มันจะกลายเป็นตราบาปว่ามึงไปแย่งผัวเขามา ส่วนลูกมึงก็เป็นแค่ลูกชู้ อย่ามาสำคัญตัวผิด”“อีอ้อย อีปากหมา เพ็ญอย่าไปฟังมันนะ สำหรับพี่เพ็ญไม่ใช่เมียน้อย เพ็ญคือผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก ส่วนอีปรางพี่ไม่เคยรักมันเลย”จักรกฤษณ์ออกหน้าปกป้องเมียใหม่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนกระทั่งว่าตนมางานศพของปรางทิพย์ “ถุย! พูดออกมาได้ ไม่เคยรักพี่กูเลย แต่ดันเอากันจนมีลูกกับพี่กูเนี่ยนะ ใครเชื่อก็โง่ตาย แต่กูขอถามมึงหน่อยเหอะ นี่ไอ้ไม้ มึงเป็นผู้ชายแบบไหน ถึงได้กล้าพาเมียน้อยกับลูกมาในงานศพเมียหลวงแบบนี้ อย่างน้อยพี่ปรางก็เคยเป็นเมียมึงนะ เมียที่อยู่กินกับมึงมาก่อนตั้งแต่มึงยังมีแต่ตัว เมียที่คอยช่วยมึงทำมาหากิน เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ศพก็ยังไม่ได้เผาตั้งอยู่ทนโท่ กูว่าดีไม่ดีที่พี่ปรางฆ่าตัวตาย ก็เพราะมึงนี่แหละไอ้ไม้ เพราะมึงมีเมียน้อย พี่ปรางเสียใจเลยคิด
จักรกฤษณ์แทบจะถลาพุ่งตัวเข้ามาต่อยพรพรรณ แต่โดนพวกผู้ชายที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาจับตัวเอาไว้เสียก่อน“กูไม่ใช่เปรต พวกมึงต่างหาก พวกเปรตขอส่วนบุญ!”พรพรรณด่ากราดอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมกับถลาเข้าไปถีบจักรกฤษณ์จนหงายหลัง ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายกันชั่วขณะ ก่อนที่ป้าจุจะรีบตะโกนบอกจักรกฤษณ์เสียงดัง“ไอ้ไม้ กูว่ามึงรีบพาเมียน้อยกับลูกมึงกลับไปก่อนเถอะ ถ้าไม่เห็นกับคนตาย ก็คิดเสียว่าเห็นแก่ไอ้รินลูกมึงบ้างเถอะนะ”คำนั้นทำให้คนฟังหันไปมองลูกสาวที่ยืนมองมาน้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสาร แต่ทว่าเขากลับขัดหูขัดตาเมื่อเห็นลูกคนนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกแต่เป็นตัวซวยที่เขาไม่ต้องการ“พี่ไม้ เรากลับกันเถอะนะพี่ ฉันอายเขา”หญิงสาวข้าง ๆ รีบกระซิบบอก เมื่อสายตาของชาวบ้านรอบข้างที่มองมาอย่างดูถูกและหันไปซุบซิบนินทากัน“เออ...วันนี้กูจะกลับไปก่อนก็ได้ คอยดูนะ กูจะต้องกลับมาเอาเงินของกูให้ได้ มึงคอยดูอีอ้อย”เขาชี้หน้าขณะที่ตัวเองรีบพาลูกเมียเดินจากไปอย่างหัวเสีย“แน่จริงมึงอย่าไปสิ ไอ้ไม้ ขี้ขลาดนี่หว่า ไม่แน่จริงนี่หว่าไอ้ไม้”ทันทีที่พรพรรณหลุดจากการฉุดรั้งของป้าจุได้ เธอก็รีบถลาวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายท
หลังจากงานศพของปรางทิพย์ พรพรรณจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ก่อนพารินรดาย้ายโรงเรียนและมาพักอยู่กับเธอในจังหวัดสมุทรปราการ โดยเธอทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต แม้แต่ห้องเช่าก็มีขนาดเล็กราคาถูก ยิ่งพอรินรดาเข้ามาพักด้วยอีกคน ทำให้ห้องเช่าที่เล็กอยู่แล้วดูคับแคบไปถนัดตาเด็กหญิงมองสำรวจรอบ ๆ ห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เตียงขนาด 3 ฟุตตั้งอยู่ริมผนังห้อง ลึกไปด้านหลังมีห้องน้ำเล็ก ๆ และระเบียงด้านหลังอีกนิดหน่อย “ริน เราเหลือกันสองคนแล้วนะลูก น้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้หนูเอง ต่อไปนี้หนูไม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองมาทำข้าวแกงขายแล้ว ถึงห้องนี้จะคับแคบไปสักหน่อย ไม่ได้กว้างเหมือนบ้านเก่าที่เคยอยู่ แต่ก็อดทนอยู่ไปก่อนนะ หากน้ามีรายได้มากขึ้น เราค่อยขยับขยายกันนะ แต่คงต้องช่วยกันประหยัดสักหน่อย” “น้าอ้อยให้หนูช่วยทำงานหาเงินก็ได้นะจ๊ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย หนูทำงานได้ น้าอ้อยจะได้ไม่เหนื่อยไง”“เฮ้อ...ตัวแค่นี้รู้จักเป็นห่วงน้าด้วยเหรอเนี่ย”“หนูโตแล้วนะจ๊ะน้า หนูอยากทำงานช่วยน้าหาเงินจ
หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง รินรดาเลือกย้ายมาอยู่หอพักราคาถูกใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปเรียน หลังจากที่กลับมาถึงหอพักก็จะไปรับจ้างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แม้รู้ดีว่างานแบบนี้รายได้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอก็บอกตัวเองให้อดทนทำต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีจนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่รินรดากำลังทำงานในร้านสะดวกซื้อก็บังเอิญได้ยินเด็กมัธยมที่เข้ามาซื้อของคุยกับเพื่อนที่มาด้วยว่าต้องการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีเงินจำกัดจึงไม่สามารถไปติวในสถาบันกวดวิชาชื่อดังได้ หญิงสาวก็เกิดไอเดียและเสนอตัวช่วยติวให้ แลกเปลี่ยนกับการให้ชวนเพื่อนนักเรียนมาเรียนพิเศษกับเธอ ซึ่งเธอคิดค่าสอนในราคาถูกกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเริ่มมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกหนึ่งงานหลังจากนั้นเป็นต้นมารินรดาต้องจัดสรรเวลาในแต่ละวัน ทั้งเรียน สอนพิเศษ และทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ โดยที่ไม่ลืมทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน ทำให้หญิงสาวได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงคืนหนึ่งขณะที่รินรดากำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้
“แม่ แม่จ๋า...” เด็กหญิงรินรดาในวัยแปดขวบ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วบ่งบอกถึงอารมณ์ดีใจตั้งแต่หน้าประตูบ้าน ในมือมีใบแสดงผลการเรียนว่าเธอสอบได้ที่หนึ่งหลังจากใช้ความพยายามตั้งใจเรียนและขยันอ่านหนังสือตลอดเทอมที่ผ่านมา ทั้งที่ตัวเองต้องตื่นตั้งแต่ตีสองครึ่งเพื่อช่วยแม่ทำข้าวแกงไปขายที่ตลาดทุกเช้า ทว่าพอเดินเข้ามาในบ้านก็ต้องแปลกใจ วันนี้บ้านช่องเงียบเชียบผิดปกติไม่มีเสียงแม่ตะโกนด่าทอที่เธอทำเสียงดัง ทั้งหม้อ ถาด อุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งใช้ใส่ข้าวแกงไปขายที่ตลาดก็ยังคงวางระเกะระกะไม่ได้ถูกล้างทำความสะอาดอย่างที่ควรจะเป็น ผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมาแม้แต่ขวดเหล้าที่วางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ก็ยังเหลือทิ้งไว้ครึ่งขวด ยิ่งทำให้รินรดารู้สึกผิดสังเกต เธอมองไปรอบกายด้วยความแปลกใจ ปกติขวดเหล้าเมื่อเปิดขวดแล้วแม่ของเธอจะดื่มหมดในเวลาไม่กี่อึดใจจนป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่นี่กลับเหลือไว้อะไรบางอย่างทำให้เด็กหญิงเริ่มร้อนใจ เหลียวมองมองผู้เป็นแม่ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเมาแล้วนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน “แม่...” รินรดาพยายามร้องเรียกอีกครั้ง หากก็ไม่มีเสีย
หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง รินรดาเลือกย้ายมาอยู่หอพักราคาถูกใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปเรียน หลังจากที่กลับมาถึงหอพักก็จะไปรับจ้างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แม้รู้ดีว่างานแบบนี้รายได้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอก็บอกตัวเองให้อดทนทำต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีจนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่รินรดากำลังทำงานในร้านสะดวกซื้อก็บังเอิญได้ยินเด็กมัธยมที่เข้ามาซื้อของคุยกับเพื่อนที่มาด้วยว่าต้องการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีเงินจำกัดจึงไม่สามารถไปติวในสถาบันกวดวิชาชื่อดังได้ หญิงสาวก็เกิดไอเดียและเสนอตัวช่วยติวให้ แลกเปลี่ยนกับการให้ชวนเพื่อนนักเรียนมาเรียนพิเศษกับเธอ ซึ่งเธอคิดค่าสอนในราคาถูกกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเริ่มมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกหนึ่งงานหลังจากนั้นเป็นต้นมารินรดาต้องจัดสรรเวลาในแต่ละวัน ทั้งเรียน สอนพิเศษ และทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ โดยที่ไม่ลืมทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน ทำให้หญิงสาวได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงคืนหนึ่งขณะที่รินรดากำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้
หลังจากงานศพของปรางทิพย์ พรพรรณจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ก่อนพารินรดาย้ายโรงเรียนและมาพักอยู่กับเธอในจังหวัดสมุทรปราการ โดยเธอทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต แม้แต่ห้องเช่าก็มีขนาดเล็กราคาถูก ยิ่งพอรินรดาเข้ามาพักด้วยอีกคน ทำให้ห้องเช่าที่เล็กอยู่แล้วดูคับแคบไปถนัดตาเด็กหญิงมองสำรวจรอบ ๆ ห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เตียงขนาด 3 ฟุตตั้งอยู่ริมผนังห้อง ลึกไปด้านหลังมีห้องน้ำเล็ก ๆ และระเบียงด้านหลังอีกนิดหน่อย “ริน เราเหลือกันสองคนแล้วนะลูก น้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้หนูเอง ต่อไปนี้หนูไม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองมาทำข้าวแกงขายแล้ว ถึงห้องนี้จะคับแคบไปสักหน่อย ไม่ได้กว้างเหมือนบ้านเก่าที่เคยอยู่ แต่ก็อดทนอยู่ไปก่อนนะ หากน้ามีรายได้มากขึ้น เราค่อยขยับขยายกันนะ แต่คงต้องช่วยกันประหยัดสักหน่อย” “น้าอ้อยให้หนูช่วยทำงานหาเงินก็ได้นะจ๊ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย หนูทำงานได้ น้าอ้อยจะได้ไม่เหนื่อยไง”“เฮ้อ...ตัวแค่นี้รู้จักเป็นห่วงน้าด้วยเหรอเนี่ย”“หนูโตแล้วนะจ๊ะน้า หนูอยากทำงานช่วยน้าหาเงินจ
จักรกฤษณ์แทบจะถลาพุ่งตัวเข้ามาต่อยพรพรรณ แต่โดนพวกผู้ชายที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาจับตัวเอาไว้เสียก่อน“กูไม่ใช่เปรต พวกมึงต่างหาก พวกเปรตขอส่วนบุญ!”พรพรรณด่ากราดอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมกับถลาเข้าไปถีบจักรกฤษณ์จนหงายหลัง ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายกันชั่วขณะ ก่อนที่ป้าจุจะรีบตะโกนบอกจักรกฤษณ์เสียงดัง“ไอ้ไม้ กูว่ามึงรีบพาเมียน้อยกับลูกมึงกลับไปก่อนเถอะ ถ้าไม่เห็นกับคนตาย ก็คิดเสียว่าเห็นแก่ไอ้รินลูกมึงบ้างเถอะนะ”คำนั้นทำให้คนฟังหันไปมองลูกสาวที่ยืนมองมาน้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสาร แต่ทว่าเขากลับขัดหูขัดตาเมื่อเห็นลูกคนนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกแต่เป็นตัวซวยที่เขาไม่ต้องการ“พี่ไม้ เรากลับกันเถอะนะพี่ ฉันอายเขา”หญิงสาวข้าง ๆ รีบกระซิบบอก เมื่อสายตาของชาวบ้านรอบข้างที่มองมาอย่างดูถูกและหันไปซุบซิบนินทากัน“เออ...วันนี้กูจะกลับไปก่อนก็ได้ คอยดูนะ กูจะต้องกลับมาเอาเงินของกูให้ได้ มึงคอยดูอีอ้อย”เขาชี้หน้าขณะที่ตัวเองรีบพาลูกเมียเดินจากไปอย่างหัวเสีย“แน่จริงมึงอย่าไปสิ ไอ้ไม้ ขี้ขลาดนี่หว่า ไม่แน่จริงนี่หว่าไอ้ไม้”ทันทีที่พรพรรณหลุดจากการฉุดรั้งของป้าจุได้ เธอก็รีบถลาวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายท
“อ้อ...ชื่อเพ็ญเหรอ แหม...ชื่อก็เพราะ หน้าตาก็ดี แต่ทำไมไม่มีปัญญาหาผัวเองล่ะ ต้องมาแย่งผัวคนอื่นเขาแบบนี้ นี่...กูจะบอกให้เอาบุญนะ เมียน้อยยังไงก็เป็นเมียน้อยอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เมียหลวงเขาตายไปแล้ว แต่มึงไม่มีวันลบคำว่าเมียน้อยออกไปจากชีวิตมึงได้หรอก มันจะกลายเป็นตราบาปว่ามึงไปแย่งผัวเขามา ส่วนลูกมึงก็เป็นแค่ลูกชู้ อย่ามาสำคัญตัวผิด”“อีอ้อย อีปากหมา เพ็ญอย่าไปฟังมันนะ สำหรับพี่เพ็ญไม่ใช่เมียน้อย เพ็ญคือผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก ส่วนอีปรางพี่ไม่เคยรักมันเลย”จักรกฤษณ์ออกหน้าปกป้องเมียใหม่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนกระทั่งว่าตนมางานศพของปรางทิพย์ “ถุย! พูดออกมาได้ ไม่เคยรักพี่กูเลย แต่ดันเอากันจนมีลูกกับพี่กูเนี่ยนะ ใครเชื่อก็โง่ตาย แต่กูขอถามมึงหน่อยเหอะ นี่ไอ้ไม้ มึงเป็นผู้ชายแบบไหน ถึงได้กล้าพาเมียน้อยกับลูกมาในงานศพเมียหลวงแบบนี้ อย่างน้อยพี่ปรางก็เคยเป็นเมียมึงนะ เมียที่อยู่กินกับมึงมาก่อนตั้งแต่มึงยังมีแต่ตัว เมียที่คอยช่วยมึงทำมาหากิน เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ศพก็ยังไม่ได้เผาตั้งอยู่ทนโท่ กูว่าดีไม่ดีที่พี่ปรางฆ่าตัวตาย ก็เพราะมึงนี่แหละไอ้ไม้ เพราะมึงมีเมียน้อย พี่ปรางเสียใจเลยคิด
พ่อของจักรกฤษณ์เป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย ทางครอบครัวคาดหวังให้เขามีลูกชายไว้สืบสกุล กอปรกับปรางทิพย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อแม่ต้องการให้แต่งงานด้วย การที่เธอมีลูกชายคนแรกจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเขายอมรับได้นอกจากนี้เคยมีหมอดูทำนายดวงปรางทิพย์ไว้ว่า หากเธอได้ลูกชายคนแรก ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นเศรษฐี แต่ถ้าหากเธอมีลูกสาวคนแรกจะนำพาให้ครอบครัวตกต่ำยากจนเข็ญใจ ทั้งสองจึงต้องการให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชายเท่านั้นแต่แล้วความฝันก็พังครืน...เมื่อปรางทิพย์คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง ทั้งที่เธออุ้มท้องลูกแฝด แต่คนที่มีชีวิตรอดกลับมีเพียงรินรดา ขณะที่ฝาแฝดเพศชายเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์สร้างความผิดหวังให้สองสามีภรรยามาก และดูเหมือนว่าคำทำนายของหมอดูก็จะมีเค้าความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากที่รินรดาลืมตาดูโลก เธอก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้งแม้แต่ปรางทิพย์เอง หลังจากคลอดลูก เธอก็มีอาการป่วยจากภาวะหลังคลอด ทำให้เธอหงุดหงิดจนมีเรื่องทะเลาะกับสามี กอปรกับพ่อแม่ของจักรกฤษณ์เสียชีวิตลงหลังจากรินรดาคลอดได้ไม่นาน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหลอลงไปทุกว
งานศพของปรางทิพย์ถูกจัดขึ้นที่ศาลาวัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีดอกไม้ประดับพอให้เห็นเป็นพิธี แขกเหรื่อที่มางานก็เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกันกับลูกค้าประจำของร้านข้าวแกงที่อุดหนุนกันจนสนิทสนมส่วนจักรกฤษณ์สามีของผู้ตายซึ่งควรจะเป็นเสาหลักในการจัดการงานศพให้ภรรยาก็เงียบหายไปเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ก่อนที่ปรางทิพย์จะเสียชีวิต ไม่มีใครรู้ข่าวหรือติดต่อได้ ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างตกไปที่พรพรรณผู้เป็นน้องสาวที่รีบ ลางานกลับมาพิษณุโลกหลังจากรู้ข่าวร้ายของพี่สาวตัวเอง พรพรรณใช้เงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิด รวมกับเงินของเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการงานศพด้วยความเวทนาผู้ตายกับลูกสาวตัวน้อยที่จู่ ๆ ต้องกลายมาเป็นเด็กกำพร้าแม่เช่นนี้หลังจากพระสวดอภิธรรมศพเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงแขกในงานไม่กี่คนที่ยังนั่งสนทนากันอยู่บนศาลาวัด รินรดาสวมชุดสีดำเก่า ๆ นั่งมองรูปถ่ายของมารดาที่กำลังส่งยิ้มให้อยู่หน้าโลงศพ แววตาของเด็กหญิงทั้งเศร้าสร้อยและแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาหลายต่อหลายครั้ง พรพรรณมองหลานสาวอย่างเวทนา ก่อนทรุดตัวลง นั่งข้าง ๆ หากยังไ
“แม่ แม่จ๋า...” เด็กหญิงรินรดาในวัยแปดขวบ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วบ่งบอกถึงอารมณ์ดีใจตั้งแต่หน้าประตูบ้าน ในมือมีใบแสดงผลการเรียนว่าเธอสอบได้ที่หนึ่งหลังจากใช้ความพยายามตั้งใจเรียนและขยันอ่านหนังสือตลอดเทอมที่ผ่านมา ทั้งที่ตัวเองต้องตื่นตั้งแต่ตีสองครึ่งเพื่อช่วยแม่ทำข้าวแกงไปขายที่ตลาดทุกเช้า ทว่าพอเดินเข้ามาในบ้านก็ต้องแปลกใจ วันนี้บ้านช่องเงียบเชียบผิดปกติไม่มีเสียงแม่ตะโกนด่าทอที่เธอทำเสียงดัง ทั้งหม้อ ถาด อุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งใช้ใส่ข้าวแกงไปขายที่ตลาดก็ยังคงวางระเกะระกะไม่ได้ถูกล้างทำความสะอาดอย่างที่ควรจะเป็น ผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมาแม้แต่ขวดเหล้าที่วางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ก็ยังเหลือทิ้งไว้ครึ่งขวด ยิ่งทำให้รินรดารู้สึกผิดสังเกต เธอมองไปรอบกายด้วยความแปลกใจ ปกติขวดเหล้าเมื่อเปิดขวดแล้วแม่ของเธอจะดื่มหมดในเวลาไม่กี่อึดใจจนป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่นี่กลับเหลือไว้อะไรบางอย่างทำให้เด็กหญิงเริ่มร้อนใจ เหลียวมองมองผู้เป็นแม่ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเมาแล้วนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน “แม่...” รินรดาพยายามร้องเรียกอีกครั้ง หากก็ไม่มีเสีย