งานศพของปรางทิพย์ถูกจัดขึ้นที่ศาลาวัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีดอกไม้ประดับพอให้เห็นเป็นพิธี แขกเหรื่อที่มางานก็เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกันกับลูกค้าประจำของร้านข้าวแกงที่อุดหนุนกันจนสนิทสนม
ส่วนจักรกฤษณ์สามีของผู้ตายซึ่งควรจะเป็นเสาหลักในการจัดการงานศพให้ภรรยาก็เงียบหายไปเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ก่อนที่ปรางทิพย์จะเสียชีวิต ไม่มีใครรู้ข่าวหรือติดต่อได้ ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างตกไปที่พรพรรณผู้เป็นน้องสาวที่รีบ ลางานกลับมาพิษณุโลกหลังจากรู้ข่าวร้ายของพี่สาวตัวเอง
พรพรรณใช้เงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิด รวมกับเงินของเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการงานศพด้วยความเวทนาผู้ตายกับลูกสาวตัวน้อยที่จู่ ๆ ต้องกลายมาเป็นเด็กกำพร้าแม่เช่นนี้
หลังจากพระสวดอภิธรรมศพเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงแขกในงานไม่กี่คนที่ยังนั่งสนทนากันอยู่บนศาลาวัด รินรดาสวมชุดสีดำเก่า ๆ นั่งมองรูปถ่ายของมารดาที่กำลังส่งยิ้มให้อยู่หน้าโลงศพ แววตาของเด็กหญิงทั้งเศร้าสร้อยและแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาหลายต่อหลายครั้ง
พรพรรณมองหลานสาวอย่างเวทนา ก่อนทรุดตัวลง นั่งข้าง ๆ หากยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยสิ่งใด เด็กหญิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน
“น้าอ้อย รูปนี้แม่ดูสวยจังเลย น้าอ้อยรู้ไหม เมื่อก่อนตอนแม่ยังอยู่ แม่แทบจะไม่เคยยิ้มให้หนูเลย ส่วนใหญ่แม่จะยิ้มให้แต่ลูกค้า ส่วนหนูนาน ๆ ครั้งแม่ถึงจะยิ้มให้ หนูชอบแม่ในรูปนี้จัง แม่ดูใจดี ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่แม่ยังอยู่กับหนู หนูชอบแม่แบบนี้จ้ะน้าอ้อย”
แววตาเป็นประกายของหลานสาว ทำให้พรพรรณถึงกับถอนหายใจออกมา พลางปรายตาไปมองภาพถ่ายของพี่สาว
“ริน แม่เราน่ะ เมื่อก่อนสมัยสาว ๆ เป็นผู้หญิงสวยมากเลยนะ ไม่มีใครสวยสู้แม่เราได้เลย ผู้ชายมารุมจีบเช้าถึงเย็นถึงจนหัวกะไดบ้านแทบไม่แห้ง แต่สุดท้ายพี่ปรางก็เลือกมันเป็นผัว ช่างเป็นเวรกรรมจริง ๆ บางที...หากพี่ปรางเลือกคนอื่นเป็นผัว ชีวิตอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบา
อาจเป็นเพราะพรพรรณเห็นชีวิตครอบครัวของพี่สาวที่ทุกข์ยาก จึงทำให้เธอพลอยขยาดไม่อยากจะแต่งงานหรือมีครอบครัว จนไม่ยอมเปิดใจให้กับผู้ชายคนไหนเลยสักคน แม้แต่จักรกฤษณ์สามีของปรางทิพย์ ที่เธอรับรู้มาตลอดว่า เมื่อก่อนปรางทิพย์คิดว่าตัวเองเลือกผู้ชายที่ดีที่สุดมาเป็นสามีแล้ว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าสุดท้าย ผู้ชายที่คิดว่าดี พอลายออกก็กลายเป็นแมงดาดี ๆ นี่เอง
“น้าอ้อยจ๋า แล้วแม่จะรู้ไหมว่าหนูสอบได้ที่หนึ่ง หนูเอาเกรดวางไว้หน้าโลงศพแม่ แม่จะรู้ไหมจ๊ะน้า”
คำถามของเด็กน้อยทำเอาคนเป็นน้าถึงกับน้ำตาซึมขึ้นมาอีกครั้ง
เธอมองไปยังพานหน้าโลงศพที่มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ก็ให้สะท้อนใจ
“ริน น้าว่า ต่อให้แม่เราตายไปแล้ว แม่ก็ต้องรู้ว่าหนูเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนมากแค่ไหน รินอย่าลืมสิ ตอนแม่ยังอยู่ หนูก็ตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เตรียมทำกับข้าวไปขายที่ตลาดทุกวันก่อนไปโรงเรียนไม่ใช่หรือ พอกลับมาถึงบ้านก็ยังช่วยทำงานบ้านอีก น้าว่าแม่คงภาคภูมิใจในตัวหนูมากอยู่แล้วล่ะลูก”
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงมองน้าสาวด้วยความแปลกใจ
“จริงหรือจ๊ะน้า แม่ภูมิใจในตัวหนูจริง ๆ หรือจ๊ะ”
“จริงสิ คนเป็นแม่น่ะ ยังไงก็ต้องภูมิใจในตัวลูก รักลูกอยู่วันยังค่ำ”
“ถ้าแม่รักและภูมิใจในตัวหนูจริง ๆ แล้วทำไมแม่ถึงเอาแต่ดุด่าหนูล่ะจ๊ะน้า”
คำถามไร้เดียงสาทำเอาพรพรรณถึงกับลมหายใจสะดุด
“ดุด่าเหรอ”
“จ้ะน้า แม่เอาแต่ดุด่าว่าหนูทุกวัน ต่อให้หนูพยายามทำดีแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยชมหนูเลย น้ารู้ไหมจ๊ะ...ที่หนูตั้งใจเรียนหนักขนาดนี้เพื่อจะได้เป็นที่หนึ่งของห้อง หนูแค่อยากให้แม่ภูมิใจในตัวหนู ยิ้มให้หนูบ้าง ถ้าจะให้ดีหนูอยากให้แม่ชมหนูบ้างน่ะจ้ะน้า”
เสียงแผ่วเบาของเด็กหญิง ทำเอาพรพรรณตื้อในอก เธอดึงร่างเล็กมากอดด้วยความสงสาร พลางหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งก่อน สมัยที่เธอเคยมาพักอยู่ที่บ้านของพี่สาวในช่วงตกงาน
ปรางทิพย์มักหลุดปากเล่าให้เธอฟังบ่อยครั้งยามเมื่อเหล้าเข้าปากว่า..
พ่อของจักรกฤษณ์เป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย ทางครอบครัวคาดหวังให้เขามีลูกชายไว้สืบสกุล กอปรกับปรางทิพย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อแม่ต้องการให้แต่งงานด้วย การที่เธอมีลูกชายคนแรกจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของเขายอมรับได้นอกจากนี้เคยมีหมอดูทำนายดวงปรางทิพย์ไว้ว่า หากเธอได้ลูกชายคนแรก ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นเศรษฐี แต่ถ้าหากเธอมีลูกสาวคนแรกจะนำพาให้ครอบครัวตกต่ำยากจนเข็ญใจ ทั้งสองจึงต้องการให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชายเท่านั้นแต่แล้วความฝันก็พังครืน...เมื่อปรางทิพย์คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง ทั้งที่เธออุ้มท้องลูกแฝด แต่คนที่มีชีวิตรอดกลับมีเพียงรินรดา ขณะที่ฝาแฝดเพศชายเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์สร้างความผิดหวังให้สองสามีภรรยามาก และดูเหมือนว่าคำทำนายของหมอดูก็จะมีเค้าความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากที่รินรดาลืมตาดูโลก เธอก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้งแม้แต่ปรางทิพย์เอง หลังจากคลอดลูก เธอก็มีอาการป่วยจากภาวะหลังคลอด ทำให้เธอหงุดหงิดจนมีเรื่องทะเลาะกับสามี กอปรกับพ่อแม่ของจักรกฤษณ์เสียชีวิตลงหลังจากรินรดาคลอดได้ไม่นาน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหลอลงไปทุกว
“อ้อ...ชื่อเพ็ญเหรอ แหม...ชื่อก็เพราะ หน้าตาก็ดี แต่ทำไมไม่มีปัญญาหาผัวเองล่ะ ต้องมาแย่งผัวคนอื่นเขาแบบนี้ นี่...กูจะบอกให้เอาบุญนะ เมียน้อยยังไงก็เป็นเมียน้อยอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เมียหลวงเขาตายไปแล้ว แต่มึงไม่มีวันลบคำว่าเมียน้อยออกไปจากชีวิตมึงได้หรอก มันจะกลายเป็นตราบาปว่ามึงไปแย่งผัวเขามา ส่วนลูกมึงก็เป็นแค่ลูกชู้ อย่ามาสำคัญตัวผิด”“อีอ้อย อีปากหมา เพ็ญอย่าไปฟังมันนะ สำหรับพี่เพ็ญไม่ใช่เมียน้อย เพ็ญคือผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก ส่วนอีปรางพี่ไม่เคยรักมันเลย”จักรกฤษณ์ออกหน้าปกป้องเมียใหม่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนกระทั่งว่าตนมางานศพของปรางทิพย์ “ถุย! พูดออกมาได้ ไม่เคยรักพี่กูเลย แต่ดันเอากันจนมีลูกกับพี่กูเนี่ยนะ ใครเชื่อก็โง่ตาย แต่กูขอถามมึงหน่อยเหอะ นี่ไอ้ไม้ มึงเป็นผู้ชายแบบไหน ถึงได้กล้าพาเมียน้อยกับลูกมาในงานศพเมียหลวงแบบนี้ อย่างน้อยพี่ปรางก็เคยเป็นเมียมึงนะ เมียที่อยู่กินกับมึงมาก่อนตั้งแต่มึงยังมีแต่ตัว เมียที่คอยช่วยมึงทำมาหากิน เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ศพก็ยังไม่ได้เผาตั้งอยู่ทนโท่ กูว่าดีไม่ดีที่พี่ปรางฆ่าตัวตาย ก็เพราะมึงนี่แหละไอ้ไม้ เพราะมึงมีเมียน้อย พี่ปรางเสียใจเลยคิด
จักรกฤษณ์แทบจะถลาพุ่งตัวเข้ามาต่อยพรพรรณ แต่โดนพวกผู้ชายที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาจับตัวเอาไว้เสียก่อน“กูไม่ใช่เปรต พวกมึงต่างหาก พวกเปรตขอส่วนบุญ!”พรพรรณด่ากราดอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมกับถลาเข้าไปถีบจักรกฤษณ์จนหงายหลัง ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายกันชั่วขณะ ก่อนที่ป้าจุจะรีบตะโกนบอกจักรกฤษณ์เสียงดัง“ไอ้ไม้ กูว่ามึงรีบพาเมียน้อยกับลูกมึงกลับไปก่อนเถอะ ถ้าไม่เห็นกับคนตาย ก็คิดเสียว่าเห็นแก่ไอ้รินลูกมึงบ้างเถอะนะ”คำนั้นทำให้คนฟังหันไปมองลูกสาวที่ยืนมองมาน้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสาร แต่ทว่าเขากลับขัดหูขัดตาเมื่อเห็นลูกคนนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกแต่เป็นตัวซวยที่เขาไม่ต้องการ“พี่ไม้ เรากลับกันเถอะนะพี่ ฉันอายเขา”หญิงสาวข้าง ๆ รีบกระซิบบอก เมื่อสายตาของชาวบ้านรอบข้างที่มองมาอย่างดูถูกและหันไปซุบซิบนินทากัน“เออ...วันนี้กูจะกลับไปก่อนก็ได้ คอยดูนะ กูจะต้องกลับมาเอาเงินของกูให้ได้ มึงคอยดูอีอ้อย”เขาชี้หน้าขณะที่ตัวเองรีบพาลูกเมียเดินจากไปอย่างหัวเสีย“แน่จริงมึงอย่าไปสิ ไอ้ไม้ ขี้ขลาดนี่หว่า ไม่แน่จริงนี่หว่าไอ้ไม้”ทันทีที่พรพรรณหลุดจากการฉุดรั้งของป้าจุได้ เธอก็รีบถลาวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายท
หลังจากงานศพของปรางทิพย์ พรพรรณจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ก่อนพารินรดาย้ายโรงเรียนและมาพักอยู่กับเธอในจังหวัดสมุทรปราการ โดยเธอทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต แม้แต่ห้องเช่าก็มีขนาดเล็กราคาถูก ยิ่งพอรินรดาเข้ามาพักด้วยอีกคน ทำให้ห้องเช่าที่เล็กอยู่แล้วดูคับแคบไปถนัดตาเด็กหญิงมองสำรวจรอบ ๆ ห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เตียงขนาด 3 ฟุตตั้งอยู่ริมผนังห้อง ลึกไปด้านหลังมีห้องน้ำเล็ก ๆ และระเบียงด้านหลังอีกนิดหน่อย “ริน เราเหลือกันสองคนแล้วนะลูก น้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้หนูเอง ต่อไปนี้หนูไม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองมาทำข้าวแกงขายแล้ว ถึงห้องนี้จะคับแคบไปสักหน่อย ไม่ได้กว้างเหมือนบ้านเก่าที่เคยอยู่ แต่ก็อดทนอยู่ไปก่อนนะ หากน้ามีรายได้มากขึ้น เราค่อยขยับขยายกันนะ แต่คงต้องช่วยกันประหยัดสักหน่อย” “น้าอ้อยให้หนูช่วยทำงานหาเงินก็ได้นะจ๊ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย หนูทำงานได้ น้าอ้อยจะได้ไม่เหนื่อยไง”“เฮ้อ...ตัวแค่นี้รู้จักเป็นห่วงน้าด้วยเหรอเนี่ย”“หนูโตแล้วนะจ๊ะน้า หนูอยากทำงานช่วยน้าหาเงินจ
หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง รินรดาเลือกย้ายมาอยู่หอพักราคาถูกใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปเรียน หลังจากที่กลับมาถึงหอพักก็จะไปรับจ้างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ แม้รู้ดีว่างานแบบนี้รายได้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอก็บอกตัวเองให้อดทนทำต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีจนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่รินรดากำลังทำงานในร้านสะดวกซื้อก็บังเอิญได้ยินเด็กมัธยมที่เข้ามาซื้อของคุยกับเพื่อนที่มาด้วยว่าต้องการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีเงินจำกัดจึงไม่สามารถไปติวในสถาบันกวดวิชาชื่อดังได้ หญิงสาวก็เกิดไอเดียและเสนอตัวช่วยติวให้ แลกเปลี่ยนกับการให้ชวนเพื่อนนักเรียนมาเรียนพิเศษกับเธอ ซึ่งเธอคิดค่าสอนในราคาถูกกว่าคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเริ่มมีช่องทางหารายได้เพิ่มอีกหนึ่งงานหลังจากนั้นเป็นต้นมารินรดาต้องจัดสรรเวลาในแต่ละวัน ทั้งเรียน สอนพิเศษ และทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ โดยที่ไม่ลืมทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน ทำให้หญิงสาวได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงคืนหนึ่งขณะที่รินรดากำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้
หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน รินรดาก็รีบไปที่ห้องสมุดต่อเพื่อค้นหาหนังสือประกอบวิชาเรียน ในขณะที่กนกอรขอแยกตัวกลับไปก่อนแล้ว หญิงสาวใช้เวลาหาหนังสืออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งใกล้เวลาที่ห้องสมุดจะปิดให้บริการ เธอจึงรีบหยิบหนังสือที่ต้องการแล้ววิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อยืมหนังสือทันที ระหว่างยืนต่อคิวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เธอก็พยายามควานหาบัตรนักศึกษาในกระเป๋าสะพาย ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ “หายไปไหนนะ จำได้ว่าเอามาแล้วนี่” “หาบัตรนักศึกษาไม่เจอเหรอครับ พี่ยืมหนังสือให้ก่อนดีไหม”จู่ ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันไปมองก็จำได้ว่าเขาคือคนเดียวกับคนหล่อของกนกอรที่พบในโรงอาหารนั่นเอง “เอ่อ...”หญิงสาวหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธเพราะไม่
สรวิชญ์ หรือต้น รุ่นพี่ชั้นปีที่สอง ในวัยยี่สิบปี เขาเรียนคณะเดียวกับรินรดา ตั้งแต่หญิงสาวเข้ามาเรียนในคณะ ความงามของเธอก็เป็นที่โจษจันในหมู่รุ่นพี่หนุ่ม ๆ แต่สรวิชญ์ กลับไม่ได้สนใจเธอแต่แรก เพราะในมหาวิทยาลัยผู้หญิงสวยมีมากมายกว่าผู้ชายรูปหล่ออย่างเขาที่มีดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเขาจะต้องการสาวสวยคนไหน เพียงแค่เขาชายตามอง หรือแสดงออกว่าชอบนิดหน่อย พวกเธอก็แทบจะวิ่งเข้าหาโดยที่เขาไม่ต้องลงทุนจีบเลยด้วยซ้ำแต่ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เล่นตัวขึ้นมาอีกหน่อย ถ้าเขาสนใจก็เพียงแค่คอยเอาอกเอาใจ พูดจาหวานหู หรือเปย์เงินให้เธอไม่กี่ครั้ง แค่นี้ก็ทำให้พวกสาว ๆ ยอมเป็นแฟนเขาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขายอมหยุดกับพวกเธอได้เลยสักคน เพราะพอคบ ๆ กันไป พวกเธอแต่ละคนก็ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียจนน่ารำคาญ บางครั้งถึงขั้นตามหึงหวงตบตีกันจนเขาเบื่อหน่าย ทว่ารินรดากลับต่างออกไป เท่าที่เขาสังเกตดู ไม่ว่าจะมีผู้ชายแสดงตัวเข้าไปจี
หลังจากสรวิชญ์มาถึงร้านประจำที่มีเอกวิทย์กับเจตต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริออกมาอย่างมีชัย“ไอ้เอก ไอ้เจตต์ วันนี้กูได้เบอร์น้องระรินมาแล้วโว้ย กูชนะ มื้อนี้พวกมึงต้องเลี้ยงกู”“อะไรวะไอ้ต้น มึงโกหกหรือเปล่า” เอกวิทย์ถามกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ“กูไม่ได้โกหก กูได้มาจริง ๆ นะเว้ย” สรวิชญ์นำโทรศัพท์มือถือมาอวดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวให้เพื่อนทั้งสองดู หากเจตต์กลับเป็นฝ่ายค้านขึ้น“ไอ้ต้น น้องเขาให้เบอร์โทรมาเฉย ๆ แต่ไม่ยอมรับโทรศัพท์มึงหรือเปล่าวะ มึงอย่าลืมสิ ขนาดพวกกูพยายามจีบน้องยังไง แม้แต่พูดกับพวกกูยังนับคำได้”“ไม่หรอกมั้ง กูว่ายังไงน้องเขาก็ต้องรับสายกู เพราะกูเป็นรุ่นพี่ที่ทั้งหล่อและแสนดีขนาดนี้”คำพูดหลงตัวเองของเขา ทำให้เอกวิทย์เกือบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่จนต้องค้านขึ้นโดยเร็ว“เดี๋ยวนะไอ้ต้น นี่กูหูฝาดไปหรือเปล่า มึงเนี่ยนะรุ่นพี่แสนดี”“ก็ใช่น่ะสิ พวกมึงไม่เชื่อใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวกูลองโทรหาน้องระรินเดี๋ยวนี้เลย”ว่าแล้วสรวิชญ์กดโทรออกหารินรดาทั
รินรดาและสรวิชญ์ก็ช่วยกันประคับประคองความรัก คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จนความบอบช้ำทางใจของหญิงสาวค่อย ๆ หายดี สำหรับรินรดา การทำงานและหาเงินควบคู่ไปด้วยกัน เป็นเรื่องปกติที่เธอทำมาตลอด เธอจึงไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไร ตรงกันข้ามกับสรวิชญ์ เขาเคยชินกับการเรียนเพียงอย่างเดียว และมีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการแต่หลังจากเกิดวิกฤติทางการเงินของครอบครัวครั้งใหญ่ เขาต้องใช้เงินที่ครอบครัวโอนมาให้ในแต่ละเดือนด้วยความประหยัด แม้จะมีรายได้เสริมจากการที่เขาคอยช่วยรินรดาสอนพิเศษ หากเขากลับรู้สึกว่า เงินที่ได้น้อยนิด ไม่คุ้มค่ากับการทำงานเหน็ดเหนื่อยแบบนี้ “พี่ต้น ทำไมสีหน้าเคร่งเครียดอย่างนั้นล่ะคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” “พี่เหนื่อยน่ะ ไหนจะต้องเรียนต้องไปสอบ ไหนจะต้องสอนพิเศษ เงินที่ได้ก็น้อย ไม่คุ้มกับที่ปากเปียกปากแฉะ หนูเก่งมาก ๆ เลย ทำได้ยังไงเนี่ย ทั้งเรีย
หลังจากรินรดาและสรวิชญ์ปรับความเข้าใจกันได้ ทั้งสองกลับมาคบหาและอยู่ด้วยกันอีกครั้ง วันหนึ่งชายหนุ่มกลับมาถึงหอในคืนหนึ่ง เขาเดินเข้าไปสวมกอดหญิงสาวคนรักด้วยความคิดถึง“ระรินครับ วันนี้พี่มีของขวัญให้หนูด้วยนะ”“ของขวัญเนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ”“ในโอกาสที่หนูยกโทษให้พี่ไงครับ ของขวัญแทนความรักและคำขอบคุณจากพี่” เขาพูดพร้อมปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นรอยสักรูป ร. ที่หน้าอกด้านซ้าย“พี่ต้นไปสักมาเหรอคะ ร.เรือ หมายความว่ายังไงเหรอคะพี่”“พี่ให้ช่างสักรูป ร.เรือ แทนชื่อของน้องระริน รินรดา เพื่อจะสลักชื่อหนูไว้กลางใจของพี่ตลอดไป หนูจะได้มั่นใจว่า พี่จะรักและซื่อสัตย์กับหนูเพียงคนเดียว นี่คือของขวัญแทนคำมั่นสัญญาที่พี่อยากมอบให้คนที่พี่รักที่สุดครับ”“พี่ต้น...ขอบคุณมากนะคะ ระรินชอบมากเลยค่ะ”รินรดาโผเข้ากอดเขาด้วยความตื้นตันใจกับของขวัญชิ้นนี้ที่เขาตั้งใจมอบให้“พรุ่งนี้หนูพาพี่ไปหาน้าอ้อยนะ พี่อยากทำให้ถูกต้อง พี่อยากขอขมาน้าอ้อยกับเรื่องท
สรวิชญ์ทรุดตัวนั่งกับพื้นก่อนจะร่ำไห้ออกมา ทำเอาคนทั้งสามมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ ใครจะไปคาดคิดว่าเพื่อนรักอย่างสรวิชญ์และเอกวิทย์จะแตกหักกันได้เพียงเพราะเงินและผู้หญิงเพียงคนเดียว รินรดาขยับจะเข้าไปหาสรวิชญ์ด้วยความสงสาร หากกนกอรรั้งไว้พร้อมพูดเตือนสติ “ระริน แกอย่าลืมสิที่แกต้องแท้งลูกก็เพราะผู้ชายคนนี้ แกจะใจอ่อนเพราะฟังคำพูดแค่ไม่กี่คำได้ยังไง” “อะไรนะ! แท้งลูก...แท้งลูกเหรอ หมายความว่ายังไง” สรวิชญ์อุทานด้วยความแปลกใจ พลางจ้องมองหน้ารินรดาและกนกอรอย่างคาดคั้น ทำให้กนกอรที่เผลอหลุดปากพูดออกไปถึงกับรีบตีปากตัวเอง “ระริน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”&nbs
“เออก็ได้ กูจะบอกให้เอาบุญ ไอ้เด็กนี่ไม่ใช่ลูกมึง ทำไม...กูแค่อยากให้เด็กมีพ่อ กูผิดด้วยเหรอ”“แต่มันต้องไม่ใช่กู มึงทำลายชีวิตกู”“โธ่...ไอ้ต้น อย่าหลงตัวเองหน่อยเลยว่าดีเลิศประเสริฐศรี มึงตอนนี้ มันก็แย่ไม่ต่างจากพวกกู หรอกวะ บ้านก็ล้มละลาย เหลือแต่ตัว เสียเวลาชะมัด รู้งี้กูไปจับผู้ชายคนอื่นที่รวยกว่านี้เสียก็ดี”เมื่อชนิศาเห็นว่าแผนที่เธออุตส่าห์ตั้งใจมาตลอดกลับถูกจับได้ เธอถึงกับชี้หน้าด่าอย่างเหลืออดและรีบออกไปจากห้องโดยไม่สนใจชายหนุ่มทั้งสองอีกเลย“ไหนเงินกูล่ะ ค่าจ้างกูล่ะ”เอกวิทย์ทวงไล่หลัง แต่ก็สูญเปล่า เงินค่าจ้างที่เขาควรจะได้ หายวับไปกับตัวต้นเรื่องที่เดินทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ครั้นพอเขาหันมาเห็นสรวิชญ์ที่กำลังจ้องมองหน้าเขาด้วยความเจ็บช้ำใจ ชายหนุ่มถึงกับเสียงอ่อนลง“ต้นกูขอโทษจริง ๆ กูไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้”“ไอ้เอก...” สรวิชญ์พูดเพียงแค่นั้น แล้วหมัดหนัก ๆ ของเขาจะซัดเข้าไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง ก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิด
“เออ...ไอ้ต้น รถมึงไปไหนวะ เมื่อกี้กูขึ้นมาไม่เห็นรถมึงจอดอยู่เลย” จู่ ๆ เอกวิทย์ก็โพล่งถามขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย เรียกสติของสรวิชญ์กลับคืนมาพร้อมตอบกลับอย่างหัวเสีย“กูไม่มีรถแล้ว”“หมายความว่ายังไงวะ ไม่มีรถแล้ว”“บ้านกูล้มละลาย เขามายึดรถกูไปแล้ว”“อะไรนะ มึงโกหกหรือเปล่าเนี่ยไอ้ต้น”“เรื่องแบบนี้โกหกได้ด้วยเหรอวะ” เขาพูดพลางกระดกขวดเหล้าในมือต่ออย่างไม่สนใจ ขณะที่ ชนิศาหน้าซีดเผือดเมื่อรับรู้จากปากเขา แต่ยังไม่ทันที่คนทั้งสามจะทำสิ่งใดต่อ ก็มีผู้ชายท่าทางน่ากลัวกลุ่มหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างอุกอาจ “พวกมึงออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้ ที่นี่ถูกยึดแล้ว” “นี่มันเรื่องอะไรกัน” สรวิชญ์ตะโกนใส่หน้าด้วยความไม่พอใจ&nbs
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากรินรดาออกจากโรงพยาบาล เธอกลับมาเรียนและสอนพิเศษตามปกติ โดยมีกนกอรและเจตต์คอยสลับกันอยู่ดูแลเป็นเพื่อน คอยระแวดระวังสรวิชญ์หากเขาจะเข้ามาใกล้รินรดา ถึงขนาดที่กนกอรหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋ามานอนค้างเป็นเพื่อนรินรดาที่หอพัก จนอีกฝ่ายร้องโอดครวญออกมาด้วยความเกรงใจ “พี่เจตต์ อร ทั้งสองคนไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ระรินหายแล้ว ดูแลตัวเองได้ ส่วนอรไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนฉันหรอก นี่ห้องฉันเอง ฉันอยู่คนเดียวได้สบายมาก” “พี่รู้ว่าระรินดูแลตัวเองได้ แต่พี่เป็นห่วง หากไอ้ต้นบุกเข้ามาหา น้องจะเป็นอันตรายน่ะสิ” “ใช่แก พี่เจตต์พูดถูก” กนกอรเห็นด้วย โดยไม่ได้สังเกตเห็นรินรดาที่หน้าเจื่อนไป เมื่อชื่อของคนที่เธอพยายามจะลืมถูกพูดขึ้นมาอีกค
“ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับเขาตอนนี้ ฉันขอร้องล่ะค่ะ พี่เจตต์ อร อย่าเอาเรื่องวันนี้ไปบอกพี่ต้นเลยนะคะ ฉันขอร้อง...ให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ”คำตอบของรินรดาทำให้กนกอรรู้สึกขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จำต้องรับคำ“ก็ได้...ฉันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ความลับของแก ฉันจะปิดให้สนิท”“ส่วนพี่ ระรินไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่เอาไปบอกใครแน่นอน”“ขอบคุณมากนะคะพี่เจตต์ อร”พลันสายตากนกอรมองดูนาฬิกาในห้องพักคนไข้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาเข้าเรียน เธอจึงรีบขอตัวไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับเจตต์ แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกไปจากห้อง รินรดากลับเรียกขึ้น“พี่เจตต์คะ เรื่องครั้งนี้ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้พี่เจตต์ช่วยไว้ ระรินคงแย่”“ใช่ น้าเองก็ต้องขอบคุณเจตต์มากนะลูก หากไม่ได้เจตต์ ไม่รู้เลยว่าหลานน้าจะเป็นยังไงบ้าง”“ไม่เป็นไรครับ น้าอ้อย น้องระริน สำหรับน้องระริน ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องอะไรบอกพี่ได้เสมอ พี่ยินดีช่วยครับ” เขาบอกยิ้ม ๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปพร้อม
ยังไม่ทันที่จะได้สนทนากันต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับหมอและพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่หมอจะขอให้ญาติคนไข้ออกไปรอด้านนอกก่อนเพื่อทำการตรวจ“คนไข้รู้ตัวไหมครับ ว่ามาที่นี่ด้วยอาการยังไงบ้าง”“จำได้ว่า ปวดท้องมากค่ะแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” “เมื่อคืนคนไข้ตกเลือดมาก”“ตกเลือด หมายความว่ายังไงคะ”“คนไข้รู้ไหมครับว่าตัวเองตั้งครรภ์”“ตั้งครรภ์เหรอคะ”รินรดาทวนคำเสียงเบาหวิว แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ครับ หลังจากที่หมอตรวจเพิ่มเติม พบว่าคนไข้ตั้งครรภ์ แต่...หมอเสียใจด้วยนะครับ เด็กไม่อยู่แล้ว คนไข้ต้องนอนพักดูอาการอยู่ที่นี่อีกสัก 2-3 วันนะครับ ถึงจะกลับบ้านได้ แล้วคนไข้อยากให้หมอบอกญาติให้ไหมครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยว...บอกเองค่ะ ขอบคุณนะคะ”เธอตอบน้ำเสียงแผ่วก่อนที่หมอและพยาบาลจะเดินออกไป‘ตั้งครรภ์’‘เด็กไม่อย
เธอรักเขา ไม่อยากเลิกกับเขา อยากให้อภัยเขา หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แล้วกลับไปคบกับเขาเหมือนเดิมแต่ว่า...เธอไม่อาจทำใจยอมรับกับความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ เธอจะเห็นแก่ตัวยื้อแย่งเขามาได้อย่างไร ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นกำลังมีลูกกับเขา ส่วนเธอก็เป็นแค่แฟน ไม่ได้มีพันธะผูกพันอะไรหากเธอยึดเขาไว้เหมือนคนเห็นแก่ตัว เด็กที่อยู่ในท้องก็จะกลายเป็นเด็กกำพร้าเหมือนอย่างที่เธอเคยเป็น หญิงสาวไม่ต้องการให้เด็กบริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมารับกรรมเพราะผลของการกระทำจากผู้ใหญ่เรื่องระหว่างคนสามคน แค่เธอตัดสินใจเดินออกมา มีเธอเสียใจคนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้เด็กคนหนึ่งต้องเกิดมาไม่มีพ่อ เด็กคนนั้นควรจะได้มีโอกาสเติบโตพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก...ทว่าความคิดของรินรดาก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อจู่ ๆ อาการปวดท้องหน่วงหนักก็ปะทุขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวเอามือทั้งสองกุมหน้าท้องเอาไว้พยายามข่มความเจ็บปวด จังหวะนั้นเอง รถเก๋งแปลกตาก็แล่นมาจอดอยู่เบื้องหน้า พร้อมเจตต์ที่เดินลงมาจากรถมองเธอด้วยความแปลกใจ“อ้าว! ระรินเองเหรอ ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว มันอันตรายมาก