ฉันยังคงใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นเดิม จะมีที่เปลี่ยนแปลงไปคือตอนเลิกเรียนที่ควรได้กลับบ้าน ฉันยังต้องไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาเพิ่มอีก วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ฉันเดินคอตกเข้าไปข้างใน ตรงทางขึ้นบันไดมีผู้ชายสองคนยืนอยู่ เป็นพี่ตะวันกับพี่สายชลนั่นเอง ฉันได้แต่ก้มหน้างุดจนแทบจะเอาหัวมุดลงดินไปเสียด้วยซ้ำ
“อ้าวน้องหวาน...มาเรียนแล้วเหรอ” เสียงพี่ตะวันเอ่ยแซวออกมา
ฉันได้แต่ถอนหายใจ ก้มหน้า ไม่โต้ตอบอันใดไป “พูดด้วยไม่พูดด้วย เป็นใบ้เหรอคะ” นั่นไงพี่ตะวันยังคงพล่ามออกมาไม่หยุด อยากจะให้ฉันลุกขึ้นมากรีดร้องใส่หน้าเขาเลยเหรอเนี่ย ฉันทำได้เพียงคิดในใจ หน้าตาหงิกงอลงอย่างช่วยไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอดปรายตามองไปที่พี่สายชลไม่ได้อยู่ดี พี่เขายังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ทำเพียงแค่มอง แค่มองเท่านั้น จู่ ๆ ฉันก็เกิดอาการหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา หัวใจฉันเต้นรัวแรงอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ถ้ามันกระโดดออกมาจากอกได้ มันคงเด้งดึ๋งลงบนพื้นไปมาให้อับอายขายหน้าผู้คนเป็นแน่ จากนั้นผีนักวิ่งก็เข้าสิงฉันทันที ฉันรีบจ้ำอ้าวเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสงเสียอีก
ฉันนั่งเรียนโดยหาสมาธิไม่เจอเลยทีเดียว ฉันค่อนข้างแปลกใจพอสมควรทำไมพี่สายชลถึงดูสนิทกับพี่ตะวันน่าดู ทั้งที่พี่สายชลออกจะดูเงียบ ๆ ขรึม ๆ ต่างกับพี่ตะวันที่ดูท่าทางกวนบาทา แถมปากแทบหาหูรูดไม่เจอด้วยซ้ำ ยิ่งคิดสติฉันก็ยิ่งเตลิด นึกถึงแววตาที่มองมาที่ฉัน ก็รู้สึกร้อนผ่าว เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที สงสัยฉันจะเป็นไข้ซะแล้วละมั้ง
ผ่านเวลาไปอีกเทอม ชีวิตฉันยังคงวนเวียนอยู่ซ้ำ ๆ การเข้ามาเรียนที่โรงเรียนกวนวิชายังคงไม่เปลี่ยนแปลง พี่ตะวันยังคอยพูดจาแซวฉันจนฉันเริ่มรู้สึกชาชิน ฉันทำได้เพียงทำหน้าหงิกงอ ก้มหน้าลงพื้น ไม่มีแม้แต่เสียงใด ๆ เอ่ยออกมาจากปากฉัน ดั่งฉันเป็นเพียงวิญญาณที่ลอยเข้ามาแล้วก็ลอยออกไปเท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือฉันมักจะลอบมองหน้าพี่สายชลอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่สายตาเราสบกัน ฉันก็อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาไม่ได้ พี่สายชลคงคิดว่าฉันเป็นพวกไบโพล่าร์ละมั้ง เดี๋ยวหน้าบึ้ง เดี๋ยวอมยิ้ม อย่าว่าแต่พี่สายชลคิดเลย ฉันเองยังคิดว่าฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ใช่...ฉันเป็นบ้าไปแล้ว
วันนี้เป็นวันหยุดฉันแทบจะกระโดดโลดเต้นเลยทีเดียว ความสุขสงบภายในบ้านของฉันที่ฉันเฝ้าถวิลหา อากาศในบ้านนี่มันช่างสดชื่นยิ่งนัก ฉันคิดอย่างอารมณ์ดี วันดี ๆ อย่างนี้ฉันจึงเลือกหยิบหนังสือนิยายสักเล่มออกไปอ่านที่สวนหน้าบ้าน ตั้งใจจะใช้เวลากับความสุขสงบที่หาได้ยากนักให้เต็มที่เสียหน่อย
เมื่อฉันเดินออกไปที่หน้าบ้าน ฉับพลันตัวฉันก็แข็งทื่อไปเลยทีเดียว พี่เพชร พี่ตะวัน พี่สายชล กำลังนั่งคุยกันอยู่ สวนหน้าบ้านของฉันถูกยึดเอาไปแล้วเหรอนี่
พี่เพชรเห็นฉันจึงรีบเรียกอย่างเร็ว “น้ำหวาน วานเอาโค้กกับน้ำแข็งในตู้เย็นมาให้หน่อย”
หน๊อยแน่ะ มาแย่งมุมสุดโปรดของฉัน แล้วยังจะมาใช้ฉันอีก ฉันได้แต่ทำหน้าหงิกงอ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน ฉันก็ยังคงเดินไปหยิบโค้กและน้ำแข็งพร้อมทั้งแก้วน้ำสามใบเอามาให้พี่เพชรอีกอยู่ดี
ฉันยกออกมาอย่างพะรุงพะรัง ยังดีที่พี่เพชรยังพอมีน้ำใจ ช่วยยกโค้กกับน้ำแข็งไปวางบนโต๊ะ ฉันจึงหยิบแก้ววางไว้ตรงหน้าพี่สายชล
“ขอบคุณครับ” พี่สายชลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้เงยหน้ามองฉันแม้แต่น้อย แต่นั่นกลับเป็นคำพูดคำแรกที่พี่เขาพูดกับฉันออกมา มือไม้ฉันสั่นไหวไปหมด ร่างกายแทบจะพยุงไว้ไม่อยู่ ฉันรีบกำถาดไว้ในมือแน่น จากนั้นก็วิ่งปรูดกลับเข้าห้องนอนของฉันทันที
“อร๊ายยยยย” ฉันให้หมอนปิดหน้าตัวเองก่อนจะกรี๊ดออกมาดังลั่น ฉันในตอนนี้ไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย ฉันนอนกอดหมอนข้างกลิ้งไปมาบนเตียงอย่างมีความสุข นี่ตัวฉันกำลังเป็นอะไรกันแน่เนี่ย...ฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
Part : พี่สายชล
ตั้งแต่ผมได้เจอน้องหวานผมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นกอง ความอยากเรียนเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นในทุก ๆ วัน ผมมักจะชวนไอ้ตะวันมายืนตรงหน้าบันไดเพื่อรอใครบางคนเสมอ ไอ้ตะวันก็คงงง ๆ กับผมเหมือนกันว่าเกิดผีเข้าอะไรขึ้นมา ผมขี้เกียจอธิบายอะไรมันมากนัก ได้แต่บอกปัดไปว่าขี้เกียจนั่งในห้อง ผมคอยชะเง้อมองหาร่างบางตรงทางเข้าประตูอย่างรอคอย จนเธอเดินเข้ามา ไอ้ตะวันยังคงปากหมาเหมือนเคย มันคอยพูดแซวน้องหวานอยู่ได้ทุกวัน บางวันพูดเสร็จก็หันหน้ามาล้อเลียนผม ผมได้แต่มองมันด้วยความหงุดหงิด ใจผมก็อยากจะทักทายเธอบ้างเหมือนกัน แต่ไอ้เราก็พูดไม่เก่งซะด้วย น้องหวานก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาประหนึ่งพวกผมเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่มาขอส่วนบุญอย่างนั้นแหละ ผมจึงได้แต่มองเธอ เผื่อได้มีโอกาสสบตากันบ้างในบางจังหวะก็ทำเอาผมกระชุ่มกระชวยหัวใจแล้ว
วันนี้วันหยุดพวกเราสองคนไม่มีอะไรทำ ผมจึงนึกครึ้มชวนไอ้ตะวันไปหาไอ้เพชรที่บ้าน พวกเรานั่งคุยกันอยู่ที่สวนหน้าบ้าน ผมคอยสอดส่องสายตาเผื่อว่าจะโชคดีได้เจอน้องหวาน แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่มาปรากฏตัวให้เห็นเลย แต่จู่ ๆ ก็เหมือนสวรรค์เข้าข้างผมขึ้นมา น้องหวานเดินถือหนังสือตรงมายังพวกเรา แต่เมื่อเธอเห็นพวกเราเข้าถึงกับชะงัก แล้วหันหลังเตรียมเผ่นกลับเข้าไปทันที ยังดีที่ไอ้เพชรขอให้น้องหวานไปหยิบน้ำมาให้ ไม่งั้นวันนี้ผมคงมาบ้านมันแบบเสียเที่ยวแล้ว ตอนน้องหวานเดินถือของพะรุงพะรังเข้ามา ผมคิดจะลุกไปช่วยเธอเสียหน่อยแต่ไอ้เพชรก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน จนเธอยื่นแก้วมาวางตรงหน้าผม ผมได้โอกาสเลยเอ่ยปากขอบคุณไปเพียงคำเดียว ตั้งใจว่าจะชวนพูดคุยอีกนิดหน่อย แต่เธอกลับเผ่นแนบ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในบ้านทันที ผมได้แต่อ้าปากค้างไว้อยู่ตรงนั้น ผมได้แต่อมยิ้มและอดขำตัวเองไม่ได้ แมวน้อยของผม...ช่างตื่นคนเสียจริง
บทที่ 3 : นี่ฉันตกหลุมรักจริง ๆ เหรอ นับตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็เอาแต่คิดถึงใบหน้าและสายตาของพี่สายชลไม่หยุด ทุกวันฉันได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พาลให้คิดอยากเร่งเวลาให้ได้ไปเรียนกวดวิชาไว ๆ“น้ำหวาน ช่วงนี้แกเป็นอะไรไปเนี่ย เอาแต่เหม่อลอย เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว” สายไหมเพื่อนของฉันคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาในระหว่างที่พักเที่ยง“เปล่าซะหน่อย ก็เป็นปกตินี่” ฉันยังเฉไฉปฏิเสธออกไป เพื่อนตัวดีของฉันยังคงมองหน้าอย่างจับผิดไม่หยุด ฉันได้แต่หลุบตาต่ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้“ก็ได้ เล่าก็ได้ ว่าแต่สายไหม แกเคยแบบรู้สึกแปลก ๆ เวลาเจอใครสักคนอะไรแบบนี้ไหม” ฉันเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“แปลก ๆ ยังไง นี่อย่าบอกนะ ไปแอบตกหลุมรักใครเข้าให้น่ะ ดักแด้ในถ้ำอย่างแก พอโผล่เห็นแสงตะวันนิดหน่อยถึงกับใจแตกเลยเหรอ” สายไหมเอ่ยแซวพร้อมกระดกนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าฉัน“นี่แกว่าใครเป็นดักแด้ในถ้ำยะ ถ้าขืนยังพูดมากแบบนี้ ฉันไม่คุยด้วยแล้วนะ” ฉันบ่นอย่างอารมณ์เสีย พร้อมกุมนิ้วชี้ตรงหน้าไว้แน่น เพื่อนในกลุ่มต่างชอบล้อว่าฉันเป็นดักแด้ในถ้ำ เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรหรอก ในเมื่อฉันไม่เคยออกไปเที่ยว พบ
บทที่ 4 : แอบรักเข้าให้แล้ว ระหว่างเดินเข้าไปโรงเรียนกวดวิชา ฉันเลื่อนลอยอยู่กับความคิดในหัว คำพูดของสายไหมยังวนเวียนสลับกับภาพใบหน้าพี่สายชล ฉันเดินจนเข้าไปด้านใน เสียงแซวของพี่ตะวันเรียกสติฉันไว้“น้องหวาน...มีคนแอบคิดถึงอยู่นะ” พี่ตะวันยักคิ้วหลิ่วตา ทำท่าทางยียวนใส่ฉันพลันรู้สึกอารมณ์เสียอย่างช่วยไม่ได้ สิ่งเดียวที่ยังทำให้พอจะอารมณ์ดีก็คือพี่สายชลที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้น ฉันยิ้มอย่างเขินอาย วนเวียนอยู่กับคำถามว่าฉันหลงรักพี่สายชลจริงหรือไม่ ด้วยความใจลอยพาลให้แข้งขาพันเกี่ยว และสะดุดล้ม ฉันตกใจเป็นอันมาก พยายามคว้าทุกสิ่งตรงหน้าก่อนที่หน้าจะทิ่มลงกับพื้น ฉับพลันมือหนึ่งยื่นมาคว้าตัวฉันไว้อย่างรวดเร็ว ฉันที่ควรจะล้มลงกับพื้น บัดนี้กลับกลายเป็นอยู่ในวงแขนของเขาแทน ฉันเงยหน้าขึ้นประสานใบหน้านั้นทันที ดวงตาคู่นั้น ดวงตาของพี่สายชลนั่นเอง ฉันตกตะลึงไปสักพัก ความใกล้ชิดนี้ยิ่งทำให้หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบหายใจไม่ออก“ขอบคุณค่ะ” ฉันขยับตัวถอยออกมา ก่อนจะโค้งตัวขึ้นลงแล้วรีบกล่าวขอบคุณ“ระวังตัวด้วย วันหลังอย่ามัวแต่เหม่อล่ะ” พี่สายชลพูดแกมตำหนิออกมาฉันได้แต่รู้สึกใจแป้วลงทันที
บทที่ 5 : เจอกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ฉันขึ้นมัธยมหกแล้ว พี่เพชรสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ส่วนพี่สายชล ฉันพอจะรู้มาบ้างว่าพี่สายชลสอบติดมหาวิทยาลัยในจังหวัดใกล้ ๆ นี้เอง นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มมีเป้าหมายในชีวิต ฉันตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับพี่สายชลให้ได้ ช่วงนี้ฉันจึงตั้งใจเรียนอย่างหนัก จนพ่อแม่เองยังรู้สึกแปลกใจ ชีวิตของฉันผ่านไปอย่างเชื่องช้า นอกจากบ้าน โรงเรียน โรงเรียนกวดวิชา ฉันแทบไม่ได้ไปไหนเลย เพื่อน ๆ ในกลุ่มพยายามชวนฉันออกไปเที่ยวอยู่เป็นประจำด้วยความที่เป็นปีสุดท้าย เผื่อต้องแยกย้ายกันไป แต่ฉันกลับไม่มีอารมณ์จะไปไหน จนเข้าช่วงใกล้จบการศึกษา สายไหมเดินมากอดคอฉัน “น้ำหวาน วันนี้พวกเราจะไปแฮงค์เอาท์ แกไปด้วยกันนะ นี่ก็ใกล้จะประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ไม่รู้ว่าเราจะติดที่เดียวกันหรือเปล่า” สายไหมพูดกับฉันอย่างอ้อนวอนจนฉันใจอ่อนยอมพยักหน้าตกลง พวกเพื่อน ๆ คนอื่นต่างส่งเสียงเฮดังลั่นประหนึ่งได้รับโล่รางวัลเกียรติยศอย่างนั้นแหละ คืนวันเสาร์พวกเราไปกินเลี้ยงกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บรรดาเพื่อน ๆ ต่างชวนฉันกินเหล้า รสชาติของมันออกจะขมเ
บทที่ 6 : ไม่เจอกันนาน หลังจากนั้นพี่สายชลพาฉันขึ้นรถเพื่อพาไปส่งที่บ้าน ระหว่างทางฉันนั่งนิ่งเงียบ แอบปรายตามองพี่สายชลเป็นบางครั้งบางคราว ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่ ยังโกรธฉันอยู่หรือเปล่านะ ฉันได้แต่เม้มปากแน่น “น้ำหวาน สบายดีนะ ไอ้เพชรเป็นอย่างไรบ้าง” จู่ ๆ พี่สายชลเอ่ยปากก็ทำลายความเงียบลง “ สบายดีค่ะ หวานไม่ค่อยได้คุยกับพี่เพชรแต่คงจะสบายดีแหละ” ฉันตอบออกไป พลางครุ่นคิดในใจว่าฉันควรจะพูดคุยอะไรต่อดี “แล้วไม่คิดจะถามพี่บ้างเหรอ” พี่สายชลพูดโดยไม่หันมามองหน้าฉัน สายตายังคงมองออกไปตรงทางด้านหน้าถนนเช่นเดิม “เอ่อ...แล้วพี่ชลสบายดีไหมคะ” ฉันรีบถามกลับ กลัวว่าพี่สายชลจะคิดว่าฉันช่างไร้มารยาทสิ้นดี “หึ...ไม่ค่อยสบายหรอก แมวของพี่ซนเหลือเกิน” พี่สายชลตอบออกมา “พี่ชลเลี้ยงแมวด้วยเหรอ” คำตอบนั้นทำให้ฉันเกิดสงสัยขึ้นมาทันที “แมวหลงทางน่ะ ชอบทำให้พี่เป็นห่วงอยู่เรื่อย” พี่สายชลตอบพร้อมหันมามองหน้าฉันอย่างเพ่งพินิจ ทำเอาฉันหน้าร้อนผ่าว แล้วแมวพี่ชลเกี่ยวอะไรกับฉัน ทำไมฉัน
บทที่ 7 : รับน้อง ในที่สุดผลสอบก็ประกาศออกมา ฉันสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันพี่สายชลจนได้ ฉันดีใจกรีดร้องลั่นบ้าน พ่อแม่ฉันเองก็ดีใจมากเช่นกันแต่ก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฉันถึงดีใจเกินเหตุขนาดนั้น “ดีใจด้วยนะแก จะได้ไปอยู่กับหนุ่มในฝันแล้ว” สายไหมรีบโทรมาแต่ก็มิวายแอบแซวฉันเล็ก ๆ “เสียดายที่แกไม่ติดที่เดียวกัน ต่อไปฉันคงจะเหงาแย่” ฉันแอบโอดครวญไม่ได้ที่เพื่อนรักดันสอบติดอีกที่หนึ่ง “โอ๊ย...มีพี่สายชลสุดหล่ออยู่แล้ว แกจะมาสนใจอะไรฉันยะ” สายไหมยังคงไม่หยุดแซวก่อนหน้านี้สายไหมเอาแต่ถามเรื่องคืนนั้นไม่หยุด แถมยังวิเคราะห์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพี่สายชลต้องมีใจให้ฉันแน่ ๆ ฉันก็ได้แต่แอบปลื้มปริ่มในใจเล็ก ๆ แต่หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอกับพี่สายชลอีกเลย ทำให้ความหวังเล็ก ๆ ของฉันค่อย ๆ มอดไหม้ลงไปทีละเล็กทีละน้อยหลังจากประกาศผล ที่จังหวัดก็มีจัดกิจกรรมรับน้องจังหวัดขึ้น อันที่จริงตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่หรอก ฉันไม่ชอบที่ที่คนเยอะแยะแถมยังเป็นคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ แต่พอคิดถึงหน้าพี่สายชล ฉันก็ได้แต่ฮึดสู้ในใจและตัดสินใจไปเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้
บทที่ 8 : เริ่มการเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ฉันอยู่คนละคณะกับพี่สายชลจึงยังไม่มีโอกาสเจอกันตั้งแต่วันรับน้องจังหวัดอีกเลย ทางคณะมีจัดกิจกรรมรับน้องคณะ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจสำหรับฉันเช่นเดิม ฉันพยายามจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ให้ได้ เนื่องจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มต่างแยกย้ายกันไป “สวัสดีนะ เราชื่อฟ้า ยินดีที่ได้รู้จัก” ฟ้าเดินเข้ามาทักทายฉัน ท่าทางเธอดูสดใส รอยยิ้มกว้างนั่นบ่งบอกว่าเป็นคนที่อัธยาศัยดีทีเดียว “เราชื่อน้ำหวาน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ฉันยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ฟ้าคงดูออกว่าฉันเป็นคนเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง เธอจึงถือวิสาสะจูงมือฉันไปเข้ากับกลุ่มเพื่อน ๆ คนอื่น พวกเราพูดคุยกันเรื่องทั่วไป ส่วนใหญ่ก็เป็นการแนะนำตัวเอง บางคนก็มีเพื่อนอยู่แล้ว บางคนก็มารู้จักเอาใหม่ในคณะ อันที่จริงคนที่คุยส่วนใหญ่คงเป็นฟ้า ส่วนฉันเหรอได้แต่ยืนฟังไปยิ้มไปแต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้มาก กิจกรรมรับน้องของคณะก็ไม่มีมีอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็ให้เด็กใหม่ทำกิจกรรมร่วมกัน พี่ ๆ แนะนำตัวเอง และก็กำหนดสายรหัส
บทที่ 9 : นี่หมายความว่าไง พี่สายชลขับรถมาจอดตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่พี่เขายังไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถ ฉันเหลือบมองพี่สายชลที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ คิ้วหนาขมวดยู่จนแทบจะมัดรวมเป็นปมเข้าด้วยกัน “น้องหวานเอามือถือมา” พี่สายชลพูดพร้อมหันมามองหน้าฉัน ฉันยื่นมือถือให้พี่สายชลแต่โดยดี พี่สายชลหยิบไปแล้วสำรวจอะไรสักอย่างจากนั้นก็กดโทรศัพท์ของฉัน เพียงเสี้ยววินาทีเสียงโทรศัพท์ของพี่สายชลก็ดังขึ้น “นี่เบอร์โทรพี่ ต่อไปมีเรื่องอะไรให้โทรมาเบอร์นี้นะ ส่วนเบอร์คนอื่นไม่จำเป็นก็ลบทิ้งซะ” พี่สายชลพูดพร้อมยื่นโทรศัพท์คืนให้ฉัน ฉันได้แต่อมยิ้มด้วยความปลื้มปริ่มในใจ นี่หมายความว่าไงนะ พี่สายชลแอบหวงฉันหรือไม่ แต่ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล คำพูดพี่สายชลก็พาลดับฝันฉันลงทันที “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าเพิ่งรีบมีแฟน ตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็พอเข้าใจไหม” พี่สายชลบอกพร้อมทั้งส่งสายตาคาดคั้นมาที่ฉัน ฉันได้แต่ทำหน้าหงอย พร้อมพยักหน้ารับคำ ที่แท้ก็เห็นฉันเป็นเด็กน้อยนั่นเอง พี่สายชลคงเป็นห่วงฉันเพราะฉันเป็นน้องสาว
บทที่ 10 : นี่เราเป็นอะไรกัน หลังจากวันนั้น พี่สายชลก็มักมารับมาส่งฉันที่คณะเป็นประจำจนเพื่อน ๆ ในคณะอดแซวฉันไม่ได้ว่าพี่สายชลเป็นแฟนของฉัน ฉันได้แต่ยิ้มอ่อนให้เพราะไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี จริง ๆ ฉันก็อดสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้เช่นกัน หลายต่อหลายครั้งฉันก็รู้สึกว่าพี่สายชลคงรู้สึกเช่นเดียวกับที่ฉันรู้สึก แต่เพราะท่าทีเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่สายชลก็ยังทำตัวเป็นพี่ชายที่ดีของฉันเสมอ ออกจะดีกว่าพี่เพชรพี่ชายแท้ ๆ ของฉันเสียอีก มันเลยทำให้ฉันไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง และอดน้อยใจอยู่บ่อย ๆ ไม่ได้วันนี้เป็นวันหยุด พี่สายชลมารับฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน หลังจากกินข้าวเสร็จพี่สายชลจึงชวนฉันไปดูหนังกันต่อ ฉันรีบตกลงรับคำทันที ก็ฉันแอบปลื้มพี่สายชลมากอยู่แล้วนี่นา โอกาสมาหาก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนสิ“น้องหวาน อยากดูเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” พี่สายชลถามฉันขณะที่พวกเรากำลังยืนเลือกโปรแกรมหนัง“ดูเรื่องนี้ไหมคะ” ฉันชี้ไปที่หนังแนวรักโรแมนติกเรื่องหนึ่ง ใจจริงแล้วฉันอยากดูหนังการ์ตูนมากกว่าแต่เพราะไม่อยากให้พี่สายชลคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยฉันจึงเปลี่ยนใจเลือกหนั
บทที่ 33 : เวลาที่รอคอย ฉันคบกับพี่สายชลมาได้ 4 ปีแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ปีสี่ใกล้จะจบแล้ว ส่วนพี่สายชลก็เข้าทำงานในบริษัทที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน โดยตั้งแต่ปีสองฉันก็ย้ายมาอยู่กับพี่สายชลที่ห้อง พี่สายชลยังคงหื่นกับฉันไม่เลิกจนฉันได้แต่ต้องคอยหลีกหนีไปให้ไกลสายตา ไม่อย่างนั้นพี่สายชลก็เอาแต่จะคอยจ้องจะกระโจนใส่ฉันไม่หยุด อยู่กับหมาป่าแล้วแมวน้อยอย่างฉันจะรอดพ้นไปได้อย่างไรเล่า “น้องหวาน พี่ง่วงแล้วพวกเราเข้าห้องกันเถอะ” เสียงกระซิบจากใบหน้าที่แนบชิดอยู่ตรงหน้าอกของฉัน เสียงหอบหายใจพร่าที่ดังแว่วมาทำให้ฉันขนลุกชันขึ้นมา เวลาเนิ่นนานขนาดนี้แต่ฉันก็ยังไม่คุ้นชินกับสัมผัสเหล่านี้อยู่ดี“พี่ชล อย่าเกเรสิคะ พรุ่งนี้หวานมีเรียนแต่เช้านะ” ฉันรีบประท้วงออกไปพร้อมกระถดตัวถอยห่างจากพี่สายชล พี่สายชลส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ฉันทันที “งั้นน้องหวานต้องรีบนอนแล้วหละ” พูดไม่ทันจบก็รีบอุ้มฉันขึ้นแนบอกพร้อมเดินเข้าไปในห้องนอนทันที ทันทีที่ฉันนอนลงที่เตียง ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวอันใด พี่สายชลก็โถมหน้าเข้ามาจูบปากของฉันอย่างเรียกร้อง “น้องหวาน...หวานเหลือเกิน ชิมกี่ครั้งก
บทที่ 32 : แนะนำตัว หลังงานเลี้ยงเลิก พี่สายชลตั้งใจจะไปส่งฉัน แต่พี่เพชรนี่สิ กลับรั้งตัวฉันให้กลับด้วยกัน ฉันได้แต่บ่นพึมพำแต่ก็ยอมกลับด้วยแต่โดยดี ฉันกลับถึงบ้านรีบโทรหาพี่สายชลทันที ฉันยังเป็นห่วงแผลพี่สายชลอยู่พอสมควร ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หน้าจะบวมเป็นลูกมะกรูดหรือไม่ พี่สายชลได้แต่ปลอบฉันให้สบายใจ แต่ก็ยังคงกระเซ้าใส่ฉันว่าถ้าห่วงมาก ก็ให้มาหาที่บ้านพี่เขาเสียสิ ฉันได้แต่ถอนหายใจกับความหื่นของพี่สายชลเสียจริง สายวันถัดมา ฉันลุกขึ้นจากเตียงอย่างขี้เกียจ ฉันเพียงแปรงฟันล้างหน้าแล้วลงมาด้านล่างด้วยชุดนอนสบาย “แม่ขา หิวข้าวจังเลย มีอะไรกินบ้างคะ” ฉันตะโกนอ้อนแม่ของฉันด้วยความหิวโซ แต่พอลงมาถึงฉันก็ต้องตกใจเมื่อพ่อกับแม่กำลังนั่งคุยกับพี่สายชลอยู่ตรงห้องรับแขก พี่สายชลหันมามองฉันด้วยรอยยิ้มเป็นประกาย ฉันถึงกับชะงักไป ก่อนจะรีบวิ่งกลับขึ้นห้องไป ฉันยืนนิ่งหัวใจเต้นรัวอยู่อย่างนั้น ทั้งอายสภาพตัวเอง ทั้งสงสัยว่าพี่สายชลมาทำไมกัน ฉันเลยรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะลงมาด้านล่างอีกครั้ง วันนี้พี่เพชรไม่อยู่ ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า พว
บทที่ 31 : เจ็บขนาดนี้เลยเหรอ พี่เพชรเดินเข้ามาภายในร้าน โดยมีพี่สายชลเดินมาตามหลัง ฉันรีบเดินไปหาพี่สายชลในทันที ทั้งใบหน้าและมุมปากมีรอยเขียวช้ำ แถมมีเลือดไหลซึมออกมา ทำเอาฉันหน้าหงิกงอลงไป พลางมองหน้าพี่เพชรด้วยความโกรธ “ทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วย” ฉันหันไปบ่นพี่เพชรก่อนจะหันกลับมามองพี่สายชลอีกครั้ง “พี่ชล เจ็บมากไหม” มือของฉันลูบไล้ไปที่บริเวณรอยช้ำด้วยความสงสาร “น้ำหวาน ให้มันน้อย ๆ หน่อย เรื่องที่แกทำฉันยังไม่ได้ชำระความเลย” พี่เพชรหันมาดุใส่ฉัน ฉันได้แต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ สายไหมรีบเข้าไปกอดแขนพี่เพชรไว้แน่น “พอได้แล้วน่า พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ไหมหิวแล้ว” ท่าทางออดอ้อนของสายไหม ทำเอาฉันกลั้นยิ้มไม่อยู่ทีเดียว พี่เพชรก็ดูจะว่าง่ายลงไปมากโข เขาหันมาปรายตาเขม่นมองฉันนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินไปพร้อมสายไหม ฉันรีบประคองพี่สายชลมานั่งที่โต๊ะ พลางกอบกุมใบหน้าที่มีรอยเขียวช้ำไว้ไม่ปล่อย พี่สายชลยกมือขึ้นจับมือฉันเบา ๆ “ถ้าห่วงพี่นัก คืนนี้ไปปลอบใจพี่หน่อยได้ไหม” เสียงกระซิบแผ่วเบา พร้อมแววตาวาววับทำเอาฉันนึกหมั่นไส้พี่สายชลไม่ได้จริง ๆ
บทที่ 30 : ด่านแรก พี่เพชรลากฉันออกมาอย่างอารมณ์เสีย ยังโชคดีหน่อยที่มีสายไหมวิ่งตามออกมาเป็นเพื่อนกัน พอถึงหน้าร้านที่ค่อนข้างปลอดคน พี่เพชรก็รีบโวยวายใส่ฉันทันที “น้ำหวานนี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงไปคบกับไอ้ชลได้” เสียงเข้มของพี่เพชรทำเอาฉันใจหายวูบไปสักครู่ใหญ่ ก่อนที่ฉันจะพยายามตั้งสติเถียงพี่เพชรออกมา “หวานคบกับพี่ชล แล้วผิดตรงไหน ในเมื่อพวกเรารักกัน” ฉันเชิดหน้าตอบกลับพี่เพชรอย่างไม่ลดละ ฉันละไม่เข้าใจจริง ๆ ปกติพี่เพชรก็ไม่ได้จะอะไรกับฉันมากเสียหน่อย แล้วทำไมคราวนี้ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ไปด้วย “น้ำหวาน พี่ไม่เห็นด้วย เลิกกับมันซะ” พี่เพชรสั่งฉันด้วยเสียงที่เด็ดขาด ทำเอาฉันตะลึงไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นความโมโหแทน “พี่เพชรมีสิทธิ์อะไร หวานคบกับพี่สายชล หวานผิดตรงไหน พี่เพชรไม่มีเหตุผลเลย ยังไงหวานก็ไม่เลิก” ฉันยืนกรานเสียงแข็งใส่พี่เพชรทันที “น้ำหวาน...” พี่เพชรตะคอกใส่ฉันอย่างหัวเสีย ท่าทางที่เอาเรื่องทำให้สายไหมรีบเข้ามาดึงแขนพี่เพชรให้ใจเย็นลง “ทีพี่เพชรคบกับสายไหม หวานยัง
บทที่ 29 : ความลับแตกการสอบจบลงอีกครั้ง ฉันค่อยรู้สึกโล่งใจไปได้หน่อย หลังจากที่ต้องใช้เวลาอ่านหนังสือเสียยกใหญ่ ในที่สุดก็ปิดเทอมเสียที ฉันใช้เวลาอยู่กับพี่สายชลต่ออีกสองสามวันก่อนที่พวกเราจะกลับบ้านด้วยกันกลับมาคราวนี้พี่เพชรก็ถึงบ้านก่อนแล้ว ตอนที่พวกเรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ จู่ ๆ พี่เพชรก็ถามฉันขึ้นมากลางวงข้าว“น้ำหวานไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง แล้วไปแอบมีแฟนที่นั่นหรือเปล่า” คำถามทำเอาฉันแทบสำลักข้าวออกมา ทั้งพ่อแม่ ทั้งพี่เพชรต่างจ้องมองฉันกันเป็นตาเดียว เหมือนดั่งกำลังรอคำตอบจากฉัน“ไปเรียนก็สนุกดี แต่คนอย่างหวานจะมีใครมาสนใจกันเล่า” ฉันรีบแก้ตัว บ่ายเบี่ยงออกไป พี่เพชรยังคงจ้องหน้าฉันไม่หาย เหมือนกับพยายามหาพิรุธจากคำพูดของฉันอยู่นั่นแหละ “แล้วพี่เพชรล่ะ รอบที่แล้วก็ไม่กลับบ้าน ไปแอบซุกสาวที่ไหนหรือเปล่า” ฉันรีบเบี่ยงประเด็น โยนกลับไปให้พี่เพชรเสียอย่างนั้น“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลย ไม่มีก็ดีแล้ว ยังเด็กยังเล็กยังไม่ต้องรีบมีหรอก แฟนน่ะ” พี่เพชรพูดไปพลาง ตักข้าวเข้าปากไปพลาง ฉันได้แต่ทำหน้านิ่งเก็บอาการให้เป็นปกติเช่นเคยฉันรอดตัวไปได้อีกครั้งหนึ่งอย่างหวุดหวิด ฉันได้แต่พ่นลมหา
บทที่ 28 : หมาป่าหิวโซกับแมวน้อยจอมพยศ ฉันตื่นมาในตอนเช้าด้วยสภาพอิดโรย ยังดีที่วันนี้เป็นวันหยุดทำให้ฉันสามารถพักผ่อนได้สักหน่อย ร่างกายของฉันปวดเมื่อยไปทั้งตัว แถมตามตัวยังมีร่องรอยฝากรักที่พี่สายชลมอบให้เป็นรอยแดงจ้ำเต็มไปหมด จนฉันอดหันไปมองค้อนคนข้าง ๆ ไม่ไหว พี่สายชลยังคงหลับอยู่ ดวงตาที่ปิดสนิท ใบหน้าที่ราบเรียบ ทำให้ฉันอดจ้องมองต่อไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน สัมผัสที่พี่สายชลมอบให้ทำเอาฉันยิ้มหน้าแดงก่ำ ฉันยกปลายนิ้วชี้ขึ้นไล้ใบหน้าของพี่สายชล ตั้งแต่หน้าผาก ไล่มาจนถึงจมูกและเลื่อนลงตรงริมฝีปากหนา ตอนนี้พี่สายชลเป็นแฟนของฉันเต็มตัวแล้ว ฉันอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ ระหว่างที่ฉันกำลังคิดเรื่อยเปื่อย พี่สายชลก็ยกมือขึ้นมาจับนิ้วของฉันก่อนจะจูบลงบนนิ้วนั้น เปลือกตาปรือขึ้นมามองฉันอย่างกรุ้มกริ่ม “ซนแต่เช้าเลยนะ แมวน้อย” ฉันรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาจึงพยายามดึงมือออกจากการกอบกุม แต่พี่สายชลกลับดึงฉันเข้าหาก่อนจะกอดฉันไว้แน่น “เล่นซนแล้วคิดจะหนีเหรอ” เสียงกระเซ้ายิ่งทำให้ฉันทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ “พี่ชล เลิกเล่นได้แล้ว” ฉันรีบโต้แย้งขึ้นมาทันที “ใครว
บทที่ 27 : วันเกิดช่วงนี้ชีวิตของฉันเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เสียงนินทาเรื่องของฉันหายไป พร้อมกับมีเรื่องนินทาใหม่ ๆ ของคนอื่นแทรกเข้ามา ฉันได้แต่คิดในใจ คนพวกนี้วัน ๆ คงไม่ทำอะไรกันแล้วละมั้ง ไม่นินทาคนนั้นก็นินทาคนนี้ไปตามประสา ฉันได้แต่ส่ายหัวไปมากับเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ส่วนพี่นทีตั้งแต่เรื่องวันนั้น พี่นทีก็ส่งข้อความมาขอโทษขอโพยฉันเสียยกใหญ่ ฉันได้แต่ตอบไปว่าไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นพี่นทีก็ไม่ค่อยติดต่อฉันอีกเลย“สุขสันต์วันเกิดน้ำหวาน” เสียงฟ้าทักทายฉันแต่เช้า ทำเอาฉันยิ้มกว้างให้เธอ “ขอบใจจ๊ะ”“แล้ววันนี้ไปฉลองที่ไหน ไปกินข้าวกันไหม เราเลี้ยงหวานเอง” ฟ้ายังคงชวนฉันไปฉลองวันเกิดแต่เพราะฉันมีนัดกับพี่สายชลแล้ว “วันนี้เราไม่ว่าง นัดพี่ชลไว้แล้วน่ะ” ฉันเลยตอบปฏิเสธออกไป“เฮ้อ...คนมีแฟนนี่มันดีจริง ๆ เลยนะ” ฟ้าพูดแกมหยอก พร้อมส่งสายตาล้อเลียนมาให้ฉัน ฉันได้แต่ยิ้มบางออกมาจนช่วงเย็นพี่สายชลมายืนรอฉันอยู่ที่หน้าคณะเช่นเดิม ท่าทางพี่สายชลในวันนี้ดูยิ้มแย้ม กระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษทีเดียว ทันทีที่เห็นฉันพี่สายชลรีบเดินมาจูงมือฉันขึ้นรถแล้วพากลับห้องพี่เขาในทัน
บทที่ 26 : จัดการพี่สายชลมาส่งฉันเรียนตามปกติ แต่ฉันก็ยังอดคิดมากเรื่องเมื่อวานไม่ได้ พี่สายชลหันมาบีบมือของฉันเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ ฉันได้แต่ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปในคณะ วันนี้ฉันยังคงเห็นสายตาแปลก ๆ ที่ยังคงแอบมองฉันอยู่ ฉันได้แต่พยายามทำใจให้นิ่ง แล้วเดินเข้าห้องเรียนโดยไม่ใส่ใจนักฉันหันมองรอบ ๆ ห้องเพื่อหาฟ้า แต่กลับไม่พบ ไม่รู้ว่าวันนี้ฟ้าจะมาเรียนหรือเปล่า ฉันได้แต่คิดอย่างหงอย ๆ ก่อนจะพยายามเรียกสติตัวเอง เพื่อตั้งใจเรียนอีกครั้งผ่านไปอีกเกือบครึ่งคาบเรียน ฟ้าก็แอบย่องเข้ามาในห้อง พร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉัน ท่าทางฟ้าดูกระหืดกระหอบพอสมควรทีเดียว ฟ้ามองหน้าฉันเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะอาจารย์ที่สอนหน้าห้องบังเอิญเห็นฟ้าที่เข้ามาสาย ฟ้าเลยโดนอาจารย์สวดไปหลายนาทีทีเดียว พวกเราเลยได้แต่ก้มหน้านิ่งตั้งใจเรียนโดยไม่กล้าพูดคุยกันเลยแม้สักคำจนกระทั่งคาบเรียนเลิก ฟ้ารีบดึงฉันออกไปนอกห้องอย่างร้อนใจ ทำเอาฉันงงกับท่าทีของฟ้าที่แสดงออกมา“ฟ้ามีอะไร ทำไมต้องรีบขนาดนี้” ฉันเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“หวานรู้ไหม ทำไมเราเข้าสาย” ฟ้าถามจนฉันงง ฉันได้แต่ส่ายหน้า “ก็พี่สายชลของหวานนะสิ มีเรื่องกั
บทที่ 25 : ข่าวลือหลังจากฉันปรับความเข้าใจกับฟ้าแล้ว ฉันก็ค่อยโล่งใจยิ่งขึ้น กับพี่นทีเองฉันก็พยายามหลีกเลี่ยงในการพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีก อันที่จริงฉันไม่ใช่ว่าฉันเพียงไม่อยากมีปัญหากับฟ้าเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่อยากมีปัญหากับพี่สายชลด้วยเช่นกัน ก็พี่สายชลขี้หึงออกจะขนาดนั้น ฉันไม่อยากถูกพี่สายชลลงโทษอีกแล้ววันนี้ฉันเดินเข้ามาในคณะ ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับสายตาที่หลายคนมองมายังฉัน ยิ่งบางคนพอฉันเดินเข้ามาใกล้ก็รีบสะกิดกันไปมาก่อนจะเงียบลงไป ฉันได้แต่ขมวดคิ้ว อึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้เป็นที่สุด ฉันเดินจนกระทั่งเจอกับฟ้าเข้า ฟ้ารีบดึงแขนฉันเข้ามาพร้อมกระซิบกระซาบให้ฉันฟังใหญ่“หวานได้ยินข่าวลือหรือเปล่า มีคนเอาไปพูดกันว่าหวานเป็นพวกจับปลาสองมือ ทั้งที่มีแฟนอยู่แล้วกลับยังมาหลอกคบกับพี่นทีแล้วก็หักอกพี่เขาน่ะ” ฟ้ารีบเล่าให้ฉันฟังทันที ฉันมองหน้าฟ้าอย่างไม่คาดคิด“ใครไปพูดกันแบบนั้น ไม่จริงเสียหน่อย” ฉันรีบท้วงออกไปทันที ใบหน้าของฉันบึ้งตึงขึ้นมาอย่างไม่พอใจนัก“เรารู้ ๆ แต่คนเขาก็เมาส์กัน เมื่อกี้ฉันยังฉะกับพวกที่เมาส์นั่นอยู่เลย” ฟ้ารีบลูบแขนฉันเป็นการปลอบใจใหญ่“เฮ้อ...ช่างเถอะก็ในเ