หลังจากที่หมอและพยาบาลชุดขาวออกไปจากห้องแล้ว พายุเดินไปเกาะขอบเตียง มองใบหน้าคนป่วยที่ตอนนี้ดูมีสีเลือดฝาดมากขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นไปบีบเบาๆ บนต้นแขนที่อวบใหญ่หลังจากได้น้ำเกลือมาตลอดสองเดือนจนดูผิดหูผิดตา ส่วนสายที่ต่อระโยงระยางก่อนหน้านั้นถูกปลดออกไปหมดแล้ว“น้ำเหนือ พี่หวังว่านายจะไม่ลืมพี่นะ...” พายุเอ่ยสีหน้าเจ็บปวด ภาคินเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้แล้วบีบไปบนต้นแขนเพื่อนเบาๆ ให้กำลังใจ“น้ำเหนือคงไม่ลืมนายหรอก เพราะหมอบอกว่าแค่ความจำบางส่วนหายไป อาจหายช่วงที่เจอฉันก็ได้” พูดปลอบเพื่อน แต่ตัวเองก็ใจหายเอง...“หากน้ำเหนือจำฉันได้ เรื่องที่น้ำเหนือลืมนายมันก็ไม่ยากเปล่าวะ”“อืม...รอให้รู้สึกตัวแล้วจะได้รู้กัน”ในขณะที่ทั้งคู่นั่งเฝ้ารอด้วยใจกระสับกระส่าย ไม่นานคนบนเตียงก็เริ่มขยับและรู้สึกตัว เปลือกตาที่เคยปิดสนิทปรือขึ้นอย่างช้าๆ“น้ำเหนือ...” พายุเรียกเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้อีกฝ่ายตื่นตัวใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มมาเกือบสองเดือนหันมอง โดยคิ้วดกหนาขมวดมุ่น มองหน้าหนุ่มๆ ข้างเตียงสลับกันไปมา ก่อนจะเค้นเสียงที่แหบแห้งออกมาเบาๆ“พี่...พายุเหรอ...แล้วนี่ใคร”พายุโล่ง หากแต่ภาคินหน้าเจื่อน
ก่อนเกิดอุบัติเหตุ“พอจะเล่าอะไรให้ผมได้กระจ่างบ้างไหมครับ ว่าทำไมเจ้าของไร่อย่างนายตะวัน ที่ชาวบ้านหลายคนพูดถึงว่าใจดี แต่ทำไมกลับทำร้ายคนอย่างคุณได้”“หึ เขาใจดีกับทุกคนจริงนั่นแหละครับ แต่ยกเว้นครอบครัวของผม”ดวงตาคมเข้มหรี่แคบกว่าเดิม น้ำเหนือยิ้มหยันกับสิ่งที่ตัวเองได้ประสบมากับตัวแล้วเอ่ยต่อ“เขาหาว่าพี่ชายผม ทำน้องเขา...อึก” แล้วเสียงสะอื้นก็ดังออกมาอย่างคนเจ็บปวด“ผมขอโทษ...แต่ไม่ว่ายังไง ก็ไม่น่าจะมาทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ แค่อีกฝ่ายทำผิด ก็ให้กฎหมายตัดสินสิ”“เขาต้องการชีวิตแลกกับชีวิต”ภาคินถึงกับอึ้ง “พี่ชายคุณฆ่าน้องชายเขาเหรอ”“ไม่รู้ไง เพราะน้องชายเขาก็คือเพื่อนรักของผม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่พี่ชายผมจะทำแบบนั้น อีกอย่าง พี่ชายผมรักเพื่อนของผมมาก...แล้วจะทำร้ายคนที่ตัวเองรักถึงตายได้ยังไง” “อย่างนั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ...”“ผมถึงต้องกลับไปดูให้เห็นกับตาไง ไม่ใช่ว่าเขาจะมาอ้างทั้งที่เราไม่เห็นหลักฐานแบบนี้” พูดไปมือก็ยกปาดน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาภาคินกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้จะพูดปลอบอย่างไรดี เพราะหากเป็นเรื่องจริง ผู้ชายคนนั้นก็น่าสงสารไม่แพ้กัน แต่เมื่อมันมีกฎหมายก็ต้
ณ บ้านธงชัยสิทธิ์แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านหน้าต่าง ทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงรู้สึกตัวและรำคาญจึงควานคลำหาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เพื่อกรองแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างใส่หน้าแต่ในขณะที่หลับตา น้ำเหนือก็ทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นหอมที่มาแตะจมูกเพราะรู้สึกไม่คุ้นเคยใครมาเปลี่ยนผ้าห่ม...น้ำเหนือฉุกคิด ตัดสินใจยกผ้าที่คลุมศีรษะออกและปรือตาขึ้นมาสู้แสงดวงตากลมใสหรี่ตามองไปรอบๆ “ห้องใคร...” สลัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นจากเตียง “เฮ้ย ห้องใครเนี่ย ห้องไอ้กรหรอ...แล้วนี่เสื้อ...”“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับ” ประตูเปิดพร้อมกับเสียงทักทายน้ำเหนือละสายตาจากเสื้อที่ตัวเองสวมใส่และมองไปยังคนที่เดินเข้ามา “คุณ...คุณอาพงศ์ใช่ไหมครับ” น้ำเหนือถามสีหน้าแปลกใจ“ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีใช่ไหมครับ”“นานเหรอครับ...”“ครับ นานเกือบปีแล้ว” อาพงศ์ย้ำคำพูดเดิม“นานเกือบปีเหรอครับ แล้วนี่ที่ไหน...”“ห้องคุณเตชินไง...”“ห๊ะ ห้องเตชินเหรอ...” สีหน้าดีใจเมื่อได้ยินชื่อของเตชิน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเหยเก เมื่อรู้สึกมีเสียงวิ้งอยู่ในหูและปวดศีรษะแปลบขึ้นมา จนต้องยกมือขึ้นบีบและดึงทึ้งศีรษะตัวเอง “อึกๆๆ เตชิน...อือๆ เจ็บอะ
ณ โรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด“ตกลงคุณน้ำเหนือเป็นอะไรครับ” พงศ์ถามทันทีที่เห็นเจ้านายเดินหน้ายุ่งตรงมาหา“ตอนนี้หมอให้ยาแก้ปวด นอนดูอาการ อาจะเข้าไปดูหน่อยไหม เพราะดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักผม...”“อ้าว...เหรอครับ...แปลกจัง...” พูดจบตะวันก็เดินนำออกไปยังห้องพักพิเศษทันทีที่เปิดประตูเข้าไป น้ำเหนือก็ขยับเพื่อดันตัวเองลุกขึ้นนั่งแต่ยังมึนศีรษะอยู่จึงล้มตัวลงนอนต่อ“อาพงศ์...”“ครับ เป็นไงบ้าง...”“ช่วยติดต่อพี่พายุให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมต้องกินยาประจำครับ...”“เหรอครับ...ว่าแต่คุณน้ำเหนือรู้จักคนนี้มั้ยครับ” แล้วชี้ไปที่ตะวัน น้ำเหนือส่ายหน้า “นี่พี่ชายคุณเตชินครับ”“เอ่อ...เหรอครับ สวัสดีครับ ต้องขอโทษที่ผมบอกหมอไปว่าไม่รู้จักคุณ แต่ผมก็ไม่รู้จักจริงๆ นี่ครับ แล้วพี่กลับมาจากต่างประเทศนานแล้วหรือครับ”ตะวันมองหน้าพงศ์ กลับมาจากต่างประเทศจะสามปีแล้วนะ แต่ไม่เคยเข้าไปแนะนำตัวเองกับเพื่อนน้องชายอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง...ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายก็โทรเข้ามาอีกครั้ง พงศ์จึงตัดสินใจกดรับ“ครับ...พงศ์ครับ อ้อ ครับ จริงหรือครับ...อยู่ห้องพิเศษ 501 ครับ ครับๆ”“ใครเหรอ”
หลังจากกลับมาบ้าน ตะวันก็เก็บตัวแต่ในห้องนอน อยู่กับเสียงหัวใจที่เต้นแรง...เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านั้นในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ“ขอโทษนะครับ คุณเป็นใครครับ...”คราแรกก็อึ้งไป แต่เห็นสีหน้าแววตาของคนบนเตียงบ่งบอกว่าอยากรู้จริงๆ ตะวันก็เลยเอ่ยลองเชิงไปก่อน “เป็น...” ตะวันหยุดพูด แล้วมองหน้าคนป่วยที่ขาวซีด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “นี่นายจำไม่ได้จริงๆ หรือเล่นละครหลอกตากันแน่”“ไม่ครับ ไม่ได้หลอกใครจริงๆ ครับ...แต่ถึงไม่รู้ว่าคุณเป็นใครก็ต้องขอบคุณด้วยนะครับที่เอาผมมาส่งโรง’บาล”“แล้วนายไม่สงสัยเหรอ ว่าไปนอนอยู่ที่บ้านเพื่อนนายได้ยังไง”“สงสัยสิครับ แต่ก็อยากกลับไปถามไอ้กรเอง ว่าผมไปนอนอยู่ที่นั่นได้ยังไง”“ก็เพื่อนนายเป็นคนฝากนายกับฉัน เพื่อให้ไปส่งบ้าน แต่ก็ลืมถามว่าบ้านนายอยู่ไหน เลยต้องอุ้มนายกลับไปบ้านฉันก่อน”“อุ้มไปบ้าน บ้านเตชินนี่นะหรือครับ”“ใช่ บ้านเตชินก็คือบ้านฉัน เพราะฉันคือพี่ชายเตชิน”“จริงหรือครับ...” ดวงตากลมโตเปล่งประกายขึ้น “งั้นผมต้องขอบคุณพี่...เอ่อ พี่ชื่ออะไรนะครับ”“ตะวัน...”“ครับ ผมน้ำเหนือ ขอบคุณพี่ตะวันจากใจนะครับ”“อืม...”“ตอนนั้นเตชินพูดถึงพี่ชายบ่อยๆ..
“คุณตะวัน เจอนายพงศ์หรือเปล่าคะ...”ป้าปุกที่เดินสวนมาพอดีเอ่ยถาม เพราะหากยังไม่เจอ เธอจะได้ไปตามหานายพงศ์ให้ หากแต่เจ้าของบ้านหนุ่มไม่แม้แต่จะมองหน้าแถมก้มหน้าเดินกลับเข้าไปด้านใน เหมือนใครทำให้ไม่สบอารมณ์ ป้าปุกได้แต่ยืนเอ๋อ มองจนอีกฝ่ายเดินหายไป และเดินกลับออกมาอีกครั้ง อย่างกับคนพร้อมไปทำงาน...“คุณตะวันจะเข้าบริษัทหรือคะ แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนหรือคะ...” เป็นอีกครั้งที่ป้าปุกถามและไม่ได้คำตอบ จากเจ้านาย “โอ๊ย มันเกิดอะไรขึ้นกันละเนี่ย...”ตะวันเข้ามาในบริษัทเพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยซึ่งพนักงานคนสนิทที่เป็นลูกมือให้อาพงศ์ก็ให้ความร่วมมือและรายงานความเคลื่อนไหวของพนักงานทุกคนในบริษัทว่าไม่มีใครมีปัญหา และงานทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆ ซึ่งตรงกับที่อาพงศ์ได้รายงานไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว“งั้นเอารายการเบิกจ่ายย้อนหลังมาให้ผมดูหน่อย แล้วมีเอกสารอะไรที่ต้องให้ผมเซ็นอีกไหม ไปเอามาให้หมด”“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”ไม่ถึงห้านาทีพนักงานคนเดิมพร้อมแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ก็นำมาวางตรงหน้า“ปกติอาพงศ์เข้ามาดูงานตอนไหน...” จู่ๆ ตะวันก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเกริกวัยห้าสิบสองปีที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นพ
ตะวันบอกความต้องการไป เดร์หรี่ตามองเหมือนไม่แน่ใจ แต่ก็คิดว่าเพื่อนคงมีเหตุผลพอสมควรจึงกล้ามาขอให้ทำเรื่องเช่นนี้ ว่าแต่ใครถึงทำให้คนอย่างตะวันผู้ไม่สนใจเรื่องชาวบ้านชาวช่องหันมาทำเช่นนี้ได้...“เมื่อไหร่ หากเกินหนึ่งเดือนไม่ได้นะ”“อาทิตย์ก่อน”“ได้...”แล้วเดร์ก็ลุกขึ้นไปที่หน้าจอขนาดใหญ่ “นายอยากดูช่วงเวลาไหนก็เลื่อนเอา แต่ต้องช่วงเวลาสามทุ่มจะมีแขกมาเกือบเต็มร้าน”“แล้วนายไม่เคยเห็นแขกที่พอสะดุดตานายบ้างหรือไง”“ปกติก็แขกทั่วไป ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมาส่องตลอดเวลานะ เลยไม่รู้หรอกว่าใครบ้างที่น่าจะสนใจกว่า...คนของฉัน”“คนของนาย”“ใช่ คนของฉัน”“แน่ใจ...”“อืม...”“อยากเห็นหน้าคนของนาย...”“ถึงเวลาจะพาไปเปิดตัวนะ”“ได้ แต่หากฉันกลับไร่ไปก่อน ฉันอนุญาตให้นายพาคนของนายไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศที่ไร่ตะวันได้นะ...”“จริงดิ” เดร์ถามเสียงระรื่น“จริงสิ...” ตะวันยืนยัน เดร์จึงขยับออกเพื่อให้เพื่อนเข้าไปยืนตรงหน้าจอ และย้อนดูช่วงเวลาที่ต้องการผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ เดร์ที่นั่งมองเพื่อนเป็นระยะ ก็เห็นถึงสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของตะวัน“มีอะไร ฉันขอดูหน่อยได้ไหม...” ตะวันไม่ตอบแต่สายตาเหมือนคนเจ็บป
“ตอนที่น้องชายเสียชีวิต นายก็ไม่ได้เห็นศพใช่ไหม”“ไม่เห็น และไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นฉันขึ้นลงติดต่องานที่ต่างประเทศเป็นว่าเล่น อาพงศ์กลัวฉันไม่มีสมาธิ เลยไม่ได้บอกในตอนนั้น และเผาศพในวันถัดมา แกบอกแค่นี้...”“มันเป็นไปได้เหรอที่จะไม่รอนายมาเผาศพน้องตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย”“ฉันมัวแต่เสียใจและมัวแต่หาเหตุผลกับการฆ่าตัวตายของเตชิน เลยไม่ได้สนใจตรงจุดนี้...”“แล้วหากศพนั้นไม่ใช่กระดูกของเตชินล่ะ”ดวงตาที่ดูสิ้นหวังกระจ่างวาบขึ้น แล้วสลดลงอย่างเดิม “มันมีด้วยเหรอวะ ที่ต้องทำกันขนาดนี้”“แล้วมีอะไรที่คนเราจะทำไม่ได้...ในเมื่อนายก็เห็นแล้วนี่ ว่าสิ่งที่นายพงศ์กับเตชินทำ มันก็เกินเหลือเชื่อ” เดร์หยุดพูดแล้วมองอาการของเพื่อนรักอย่างรู้สึกเห็นใจมาก “นายไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวฉันจะส่งคนตามดูอาพงศ์ให้เอง ส่วนคนที่นายควรสนใจตอนนี้คือคนที่นายไปทำร้ายเขา นายจะไปแก้ตัวกับเขายังไง หรือนายมีแผนในใจอยู่แล้ว”“ยังเลย...” ตะวันตอบน้ำเสียงเครียดอย่างคนสิ้นหนทาง...หลังจากที่คุยกับเดร์ในทุกๆ เรื่อง ตะวันก็กลับมาบ้าน และเห็นป้าปุกยืนรดน้ำต้นไม้อยู่“ทำไมมารดน้ำต้นไม้เอง”“ว่างๆ ก็เลยอยากช่วยค่ะ”“อาพงศ์ล่ะ”