หลังจากกลับมาบ้าน ตะวันก็เก็บตัวแต่ในห้องนอน อยู่กับเสียงหัวใจที่เต้นแรง...เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านั้นในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ“ขอโทษนะครับ คุณเป็นใครครับ...”คราแรกก็อึ้งไป แต่เห็นสีหน้าแววตาของคนบนเตียงบ่งบอกว่าอยากรู้จริงๆ ตะวันก็เลยเอ่ยลองเชิงไปก่อน “เป็น...” ตะวันหยุดพูด แล้วมองหน้าคนป่วยที่ขาวซีด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “นี่นายจำไม่ได้จริงๆ หรือเล่นละครหลอกตากันแน่”“ไม่ครับ ไม่ได้หลอกใครจริงๆ ครับ...แต่ถึงไม่รู้ว่าคุณเป็นใครก็ต้องขอบคุณด้วยนะครับที่เอาผมมาส่งโรง’บาล”“แล้วนายไม่สงสัยเหรอ ว่าไปนอนอยู่ที่บ้านเพื่อนนายได้ยังไง”“สงสัยสิครับ แต่ก็อยากกลับไปถามไอ้กรเอง ว่าผมไปนอนอยู่ที่นั่นได้ยังไง”“ก็เพื่อนนายเป็นคนฝากนายกับฉัน เพื่อให้ไปส่งบ้าน แต่ก็ลืมถามว่าบ้านนายอยู่ไหน เลยต้องอุ้มนายกลับไปบ้านฉันก่อน”“อุ้มไปบ้าน บ้านเตชินนี่นะหรือครับ”“ใช่ บ้านเตชินก็คือบ้านฉัน เพราะฉันคือพี่ชายเตชิน”“จริงหรือครับ...” ดวงตากลมโตเปล่งประกายขึ้น “งั้นผมต้องขอบคุณพี่...เอ่อ พี่ชื่ออะไรนะครับ”“ตะวัน...”“ครับ ผมน้ำเหนือ ขอบคุณพี่ตะวันจากใจนะครับ”“อืม...”“ตอนนั้นเตชินพูดถึงพี่ชายบ่อยๆ..
“คุณตะวัน เจอนายพงศ์หรือเปล่าคะ...”ป้าปุกที่เดินสวนมาพอดีเอ่ยถาม เพราะหากยังไม่เจอ เธอจะได้ไปตามหานายพงศ์ให้ หากแต่เจ้าของบ้านหนุ่มไม่แม้แต่จะมองหน้าแถมก้มหน้าเดินกลับเข้าไปด้านใน เหมือนใครทำให้ไม่สบอารมณ์ ป้าปุกได้แต่ยืนเอ๋อ มองจนอีกฝ่ายเดินหายไป และเดินกลับออกมาอีกครั้ง อย่างกับคนพร้อมไปทำงาน...“คุณตะวันจะเข้าบริษัทหรือคะ แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนหรือคะ...” เป็นอีกครั้งที่ป้าปุกถามและไม่ได้คำตอบ จากเจ้านาย “โอ๊ย มันเกิดอะไรขึ้นกันละเนี่ย...”ตะวันเข้ามาในบริษัทเพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยซึ่งพนักงานคนสนิทที่เป็นลูกมือให้อาพงศ์ก็ให้ความร่วมมือและรายงานความเคลื่อนไหวของพนักงานทุกคนในบริษัทว่าไม่มีใครมีปัญหา และงานทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆ ซึ่งตรงกับที่อาพงศ์ได้รายงานไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว“งั้นเอารายการเบิกจ่ายย้อนหลังมาให้ผมดูหน่อย แล้วมีเอกสารอะไรที่ต้องให้ผมเซ็นอีกไหม ไปเอามาให้หมด”“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”ไม่ถึงห้านาทีพนักงานคนเดิมพร้อมแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ก็นำมาวางตรงหน้า“ปกติอาพงศ์เข้ามาดูงานตอนไหน...” จู่ๆ ตะวันก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเกริกวัยห้าสิบสองปีที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นพ
ตะวันบอกความต้องการไป เดร์หรี่ตามองเหมือนไม่แน่ใจ แต่ก็คิดว่าเพื่อนคงมีเหตุผลพอสมควรจึงกล้ามาขอให้ทำเรื่องเช่นนี้ ว่าแต่ใครถึงทำให้คนอย่างตะวันผู้ไม่สนใจเรื่องชาวบ้านชาวช่องหันมาทำเช่นนี้ได้...“เมื่อไหร่ หากเกินหนึ่งเดือนไม่ได้นะ”“อาทิตย์ก่อน”“ได้...”แล้วเดร์ก็ลุกขึ้นไปที่หน้าจอขนาดใหญ่ “นายอยากดูช่วงเวลาไหนก็เลื่อนเอา แต่ต้องช่วงเวลาสามทุ่มจะมีแขกมาเกือบเต็มร้าน”“แล้วนายไม่เคยเห็นแขกที่พอสะดุดตานายบ้างหรือไง”“ปกติก็แขกทั่วไป ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมาส่องตลอดเวลานะ เลยไม่รู้หรอกว่าใครบ้างที่น่าจะสนใจกว่า...คนของฉัน”“คนของนาย”“ใช่ คนของฉัน”“แน่ใจ...”“อืม...”“อยากเห็นหน้าคนของนาย...”“ถึงเวลาจะพาไปเปิดตัวนะ”“ได้ แต่หากฉันกลับไร่ไปก่อน ฉันอนุญาตให้นายพาคนของนายไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศที่ไร่ตะวันได้นะ...”“จริงดิ” เดร์ถามเสียงระรื่น“จริงสิ...” ตะวันยืนยัน เดร์จึงขยับออกเพื่อให้เพื่อนเข้าไปยืนตรงหน้าจอ และย้อนดูช่วงเวลาที่ต้องการผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ เดร์ที่นั่งมองเพื่อนเป็นระยะ ก็เห็นถึงสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของตะวัน“มีอะไร ฉันขอดูหน่อยได้ไหม...” ตะวันไม่ตอบแต่สายตาเหมือนคนเจ็บป
“ตอนที่น้องชายเสียชีวิต นายก็ไม่ได้เห็นศพใช่ไหม”“ไม่เห็น และไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นฉันขึ้นลงติดต่องานที่ต่างประเทศเป็นว่าเล่น อาพงศ์กลัวฉันไม่มีสมาธิ เลยไม่ได้บอกในตอนนั้น และเผาศพในวันถัดมา แกบอกแค่นี้...”“มันเป็นไปได้เหรอที่จะไม่รอนายมาเผาศพน้องตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย”“ฉันมัวแต่เสียใจและมัวแต่หาเหตุผลกับการฆ่าตัวตายของเตชิน เลยไม่ได้สนใจตรงจุดนี้...”“แล้วหากศพนั้นไม่ใช่กระดูกของเตชินล่ะ”ดวงตาที่ดูสิ้นหวังกระจ่างวาบขึ้น แล้วสลดลงอย่างเดิม “มันมีด้วยเหรอวะ ที่ต้องทำกันขนาดนี้”“แล้วมีอะไรที่คนเราจะทำไม่ได้...ในเมื่อนายก็เห็นแล้วนี่ ว่าสิ่งที่นายพงศ์กับเตชินทำ มันก็เกินเหลือเชื่อ” เดร์หยุดพูดแล้วมองอาการของเพื่อนรักอย่างรู้สึกเห็นใจมาก “นายไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวฉันจะส่งคนตามดูอาพงศ์ให้เอง ส่วนคนที่นายควรสนใจตอนนี้คือคนที่นายไปทำร้ายเขา นายจะไปแก้ตัวกับเขายังไง หรือนายมีแผนในใจอยู่แล้ว”“ยังเลย...” ตะวันตอบน้ำเสียงเครียดอย่างคนสิ้นหนทาง...หลังจากที่คุยกับเดร์ในทุกๆ เรื่อง ตะวันก็กลับมาบ้าน และเห็นป้าปุกยืนรดน้ำต้นไม้อยู่“ทำไมมารดน้ำต้นไม้เอง”“ว่างๆ ก็เลยอยากช่วยค่ะ”“อาพงศ์ล่ะ”
ในขณะหนึ่งที่ตะวันยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่ม สายตาก็ปะทะกับเจ้าของใบหน้าขาวผ่องที่กระทบแสงไฟสลัวอยู่ไม่ไกลน้ำเหนือ...แล้วแก้ววิสกี้ก็ถูกวางลงที่เดิม เจ้าของร่างสูงใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มความสูง“จะกลับแล้วหรือครับ” บาร์เทนเดอร์ที่มองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอยู่เป็นระยะถามขึ้นตะวันหันมามองสายตาด้วยสายตาเป็นมิตร...อย่างน้อย ก็มีคนสนใจว่าเขาจะไปจะมาตอนไหน “เปล่า ว่าจะไปทักทายคนรู้จักหน่อย” แล้วมองไปยังหนุ่มหล่อที่กำลังคุยโทรศัพท์สีหน้าเคร่งเครียดอยู่“คนรู้จัก...ใช่น้ำหนือหรือเปล่าครับ” เพราะเห็นว่าสายตาที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้เป็นประกายหวามไหวขึ้นทันทีที่มองไปตรงจุดนั้น“รู้จักด้วยเหรอ...”“เป็นรุ่นน้องของเพื่อนที่ทำงานนี่แหละครับ...”“รุ่นน้อง หรือแฟน” ตะวันแกล้งโยนหินถามทาง“โอ๊ย เคนเขาชอบผู้หญิงครับ...” น้ำเสียงกลั้วขำรีบบอก “ส่วนน้ำเหนือเคยได้ยินว่าเขาปิดกั้นตัวเองนะครับ แล้วให้เพื่อนพี่ชายคนสนิท เป็นไม้...รับหน้าอยู่ครับ”“เชื่อได้แน่เหรอ...” เจ้าของดวงตาเรียบลึกถามไม่มั่นใจ“ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ...แต่ถ้าคุณอยากรู้ ผมแนะนำให้ไปถามเพื่อนผมที่ชื่อเคนเลยครับ”“เพื่อนนายชื่
ตะวันถอนหายใจเป็นช่วงจังหวะที่เครื่องดื่มถูกส่งมาพร้อมกัน ต่างคนจึงยกขึ้นดื่ม แต่น้ำเหนือกระดกทีเดียวหมดแก้ว“นี่ ทำไมไม่ค่อยๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักตาย”“มันขมเฝื่อนติดคอ...ต้องยกซดแบบนี้แหละ” แล้ววางแก้วดันไปให้พนักงานชงต่อตะวันส่ายหน้า คิดจะมาเป็นนักดื่มแต่ท่าทางไม่ให้เอาเสียเลย...“เฮอะ ไม่เมาให้รู้ไป...” ตะวันเปรยโดยไม่ได้สนใจสีหน้าคนที่ได้ยินนักซึ่งช่วงจังหวะนั้นรุ่นพี่ที่น้ำเหนือสนิทด้วยเดินเข้ามาเห็น “เหนือมาแล้วเหรอ...อ้าว ไม่ใช่ไอ้กรนี่ แต่...อ้อ สวัสดีครับ...” ‘เพื่อนคุณแยม’ ประโยคหลังเคนคิดในใจแล้วยิ้มพาดผ่านเผื่อไปยังเพื่อนที่เป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย อีกฝ่ายก็ยิ้มรับ“ตามสบายนะครับ...วันนี้รู้สึกว่าคุณแยมไม่อยู่” เคนเอ่ยบอกหนุ่มหล่อที่นั่งพูดคุยอยู่กับรุ่นน้องด้วยท่าทางเป็นกันเอง ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย“อืม...” ตะวันตอบในลำคอ ท่าทางปกติ เคนสลัดความคลางแคลงใจทิ้ง เพราะสถานที่แบบนี้ ความสัมพันธ์ที่เพียงถูกตาถูกใจ ก็คลิกเข้าหากันได้ไม่ยาก“งั้นไม่กวนนะ...เออ หากเมากลับบ้านไม่ไหวก็บอกนะ จะเรียกแท็กซี่ให้” บอกรุ่นน้องที่สนิทด้วยแววตากรุ้มกริ่ม“โธ่พี่ ผมนึกว่าพี่จะพาผมไปส่งบ้าน”“เชอะ
นอกชานเมืองที่ไม่มีรถวิ่งพลุกพล่านตะวันจึงเร่งความเร็ว ไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทาง บ้านพักหลังใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด ด้านกำแพงและทางเดินมีไฟส่องสว่างเป็นระยะๆ ตะวันเลือกจอดรถเลยประตูรั้วไปและมองหาคนของเดร์ แต่สองข้างทางไม่มีรถใครอื่นจึงเลิกมองหา ก่อนจะก้าวลงจากรถมองไปที่ประตูรั้วจึงเห็นว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ไม่นานรถเก๋งอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ และเมื่อเห็นว่าเป็นเดร์ ตะวันก็เดินเข้าไปหาสีหน้ากังวล“ไม่เห็นคนของนาย...”“พวกมันเฝ้ามาทั้งวัน เลยขอตัวไปหาอะไรกินแถวๆ นี้ ก่อนที่นายจะมาถึงนี่แหละ ไม่ถึงสิบห้านาทีคงกลับมาสมทบ”ตะวันพยักหน้า แต่ก็ยังติดใจจึงถามย้ำ “...นายมั่นใจว่าเป็นบ้านของอาพงศ์จริงๆ เหรอ”“คนของฉันเฝ้าดูจนมั่นใจ ว่าอาพงศ์เข้าไปและยังไม่ออกมา...”“อาพงศ์อาจจะมาหาใคร...”“แล้วนายคิดว่ามาหาใคร...”“ก็ไม่รู้...”“นั่นไง เพราะไม่รู้ว่ามาหาใครกันแน่ นายถึงต้องมาให้เห็นกับตา เพราะหากเราจะง้างปากเขา นายก็ไม่ได้คำตอบหรอก...” หยุดมองหน้าเพื่อนที่เห็นว่ากำลังใช้ความคิด แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนคิดนานไป เดร์จึงถามขึ้นอีก “นายจะเข้าไปคนเดียวหรือว่าไง” คนพร้อมเคียงข้างหรี่ตารอคำตอบตะวันถอนหายใจ
ทั้งที่มือสั่นประหนึ่งคนจับไข้ ค่อยๆ ยื่นไปจับลูกบิดแล้วหมุนช้าๆ ซึ่งมันไม่ได้ล็อก ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จนหยุดกลั้นหายใจ แล้วผลักประตูเปิด...ภาพตรงหน้าคือใครคนหนึ่งที่ถูกล่ามโซ่ไว้“เตชิน” เหมือนยืนอยู่ใจกลางพายุ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลตีวุ่นเข้าหากัน “เตชินนายยังไม่ตาย...” เสียงที่เรียกดังพอให้คนที่ก้มหน้าฟุบอยู่บนเข่าเงยหน้าขึ้นมาดวงตาอิดโรยหรี่ตาเพ่งมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมั่นใจว่าใช่คนที่ตัวเองรู้จักดี “น้ำเหนือ...นายมาได้ยังไง” น้ำเสียงแห้งแหบเปรยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา “น้ำเหนือจริงด้วย ช่วยฉันด้วย” เตชินผู้ถูกขังมาแรมปีตะเกียกตะกายคลานมาหา แต่ติดตรงที่ข้อเท้าถูกล่ามโซ่เส้นใหญ่เอาไว้จึงมาไม่ถึงน้ำเหนือเมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าที่ถูกกรอกหูว่าตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ ก็วิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจแล้วทรุดตัวลงนั่ง สวมกอดกันด้วยความดีใจ ก่อนจะดันคนที่ผ่ายผอมออกห่าง สองมือจับไปบนแขนที่บัดนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อย่างคนถูกทิ้งให้อดอยาก“ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” น้ำเหนือขอบตาร้อนผ่าว ก่อนจะไล่สายตามองสำรวจไปบนร่างกายของเพื่อนรัก หยุดอยู่ที่ข้อเท้า ซึ่งถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ บนผิว