คำสั่งประกาศิตดังสวนมาทันที น้ำเหนือมองอย่างตัดพ้อแต่ก็จำต้องฝืนทนกลืนไข่เจียวไหม้ๆ นั้นลงท้องคำเดียวยังพอทน แต่หากให้กินหมดจานคงไม่ไหว“มันขม ไม่กินไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ทำมาแล้วก็ต้องกินเข้าไป กินให้หมด รู้ไหมว่าไข่ใบนึงเดี๋ยวนี้ราคาเท่าไหร่”“ไม่รู้”“แล้วรู้อะไรบ้างไหม หัดทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิ ไม่ใช่ใช้ให้พ่อแม่หาเลี้ยงไปวันๆ ทำตัวไร้สมองทั้งพี่ทั้งน้อง...”คำตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าของเขาทำเอาน้ำเหนือหมดความอดทน“มันจะมากเกินไปแล้วนะ...” น้ำเหนือลุกขึ้นชี้หน้า “ผมกับพี่พายุอยู่กันได้โดยไม่เคยเดือดร้อนใคร แล้วไม่ใช่คุณหรือที่บังคับให้ผมทำ”คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน “กล้าเถียงเหรอ” แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง“ผมไม่ได้เถียง แต่เผื่อคุณลืม” แม้จะกลัวอารมณ์ขึ้นลงของอีกฝ่าย แต่เพราะก้าวก่ายกันมากเกินไป จึงทำให้มีความกล้าพอที่จะพูดให้อีกฝ่ายคิด“พอมีแรงเข้าหน่อยก็กล้าเถียง”‘อยากรู้นัก ว่าจะกล้าปากดีไปได้สักกี่วัน...’กระท่อมไม้หลังเล็กรูปทรงกะทัดรัด ถูกปลูกสร้างไว้กลางป่า ทำจากวัสดุธรรมชาติทั้งหลัง ด้านข้างทำด้วยไม้ไผ่สาน หลังคาทำด้วยใบไม้เรียวยาวและหนา รอบข้างรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ โดยมีลำธ
“ที่ผืนนี้เหมาะที่จะเป็นของคุณตะวันแล้วละครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสคนไร้หนทางอย่างผมเพราะหากช้าอีกนิดที่ตรงนี้ก็จะถูกยึดจากเจ้าหนี้หน้าเลือด”ชายสูงวัยหยุดกลืนความอัดอั้นก่อนจะมาเจอแสงสว่างอย่างนายตะวัน“มันเหมือนสวรรค์ส่งคนดีมาให้ ชาวบ้านและคนแถวนี้ถึงได้มีงานทำและไม่ถูกโกงค่าแรง แค่นี้ก็บุญคุณท่วมท้นแล้วครับ” แววตาตื้นตันของลุงมิ่งฉายชัดกับสิ่งที่ตนเองได้รับอยู่ในตอนนี้ใบหน้าคมเข้มของตะวันหันมองคู่สนทนาสายตาอ่อนแสงลง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองการทำงานของคนงานที่กำลังทำกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ไกลๆ“การทำงานร่วมกันต้องใช้ใจ หากผมมีแต่ทุนและไร้ซึ่งแรงงาน ผมก็ไม่มีวันถึงจุดหมาย เมื่อมีแรงงานและมีทุน ผมก็ต้องศึกษาและเข้าใจความต้องการของคนในไร่ เพื่อประคองให้งานได้เดินหน้าต่อไป ผมมีทุน ทุกคนมีแรงที่จะทำงานตามที่รับมอบหมายให้ผมตามเป้าหมาย มันก็คุ้มค่าด้วยกันไม่ใช่หรือครับ”คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลถูกกลั่นกรองออกมาจากความรู้สึกของเขาทั้งหมดสายตามุ่งมั่นทอดมองพื้นที่อันกว้างขวาง ทั้งหมดนี้เขาเป็นคนถือครองกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้อง ขอบฟ้าที่จรดแผ่นดินเบื้องล่างแต่งแต้มด้วยสีสันหลากหลายข
การหายตัวไปของน้ำเหนือ เพียงเพราะคิดว่าเป็นการประชดแต่ในวันรุ่งขึ้น ก็มีจดหมายลึกลับมาถึงเขาโดยตรงอีก รู้แค่ว่าจดหมายฉบับนั้น ยามรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านเป็นคนนำมาให้ โดยที่ไม่เห็นหน้าผู้ฝากเช่นกันหากแต่ความน่าสนใจทั้งหมด กลับไปอยู่ที่ข้อความภายในกระดาษ ‘พี่พายุไม่ต้องห่วงและไม่ต้องตามหาผม ถึงเวลาผมจะกลับเอง’ ซึ่งลายมือก็ไม่เหมือนครั้งก่อน“หรือจะไปนอนค้างบ้านเตชิน”ความหวังพาดผ่านเต็มใบหน้า พายุกระชากรถคันหรูทะยานออกจากบ้านไปด้วยความเร็ว เหมือนกับว่าความเร็วนั้นจะทำให้ใจที่วุ่นวายของเจ้าของได้ผ่อนลง...หากแต่เส้นทางเป้าหมายที่คุ้นชินกลับทำให้คนภายในรถเริ่มกระสับกระส่ายเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายขึ้นตามใบหน้า ทั้งที่แอร์เร่งจนถึงขีดสุด มือเรียวหนาที่กำพวงมาลัยสั่นระริก รับรู้ถึงความเปียกชุ่ม เมื่อระยะทางเริ่มใกล้เข้ามา“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”พายุชะลอเครื่องยนต์ลงเมื่อจุดหมายแลเห็นอยู่ไม่ไกล ก่อนจะค่อยๆ จอดสนิทนิ่งหน้าประตูรั้วอัลลอยสีทองด้านหน้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาเคยเข้าออกมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งเคยมาสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกคนมีชนักติดตัวไม่เหล
คนสูงวัยส่ายหน้าช้าๆ เขาจะดีใจหรือเสียใจกับการหายตัวไปของน้องชายของผู้ชายตรงหน้านี้ดี หากแต่ก็รีบเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ยังไงเรื่องทุกอย่างมันเกิดมาจากการกระทำที่เชื่อมต่อกันของคนทั้งสองฝ่าย บทสรุปข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ไม่อาจไปแนะนำหรือช่วยอะไรได้ ใครทำก็รับไป...“ผมไม่รู้” คำตอบสั้นๆ เพื่อตัดจบ“น้ำเหนือสนิทกับเตชินที่สุด ไม่มาหากัน แล้วจะไปหาใครได้”“ผมไม่รู้ เรื่องนั้นคุณต้องตามหาเอาเอง แต่สำหรับที่นี่ไม่มีใครให้คุณมาตามหาอีก แม้แต่น้องคุณและคุณเตชิน...”อาพงศ์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังหัวใจของพายุเต้นแรง เช่นนั้นก็ไม่รู้หนทางที่จะตามหาน้องชายเช่นกัน หากแต่ทำไมเตชินไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้...“เตชินย้ายไปอยู่ที่อื่นใช่ไหมครับ หรือไปอยู่ต่างประเทศกับพี่ชายครับ”“ถ้าไปอยู่ต่างประเทศ ก็ดีสิครับ” ใบหน้าผู้สูงวัยหม่นลง ทำให้ใจของพายุรุ่มร้อนอยากรู้ความจริงจนใจเจียนระเบิด“ต่างประเทศก็ไม่ได้ไป แล้วไปไหนครับ อาพงศ์บอกผมมาเสียทีเถอะ” สีหน้าเจ็บปวด เว้าวอนขอคำตอบพงศ์ถอนหายใจหนักหน่วง ตาจ้องนิ่งไปยังหนุ่มหล่อ ที่บัดนี้แลเห็นถึงความทุกข์อยู่เต็มใบหน้า “ได้ ผมจะบอกให้เอาบุญ จะได้ไม่ต้องมาตามหาใ
แม้สายตาจะพร่าเบลอ หากแต่ทำให้ใจอุ่นซ่านอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งใจเจ้ากรรมเต้นตอบรับกับความรู้สึกนั้นก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเตชิน จึงรีบปรับท่าทางและเอ่ยสั่งเสียงขุ่น“อย่าไปมองใครแบบนี้อีกนะ เดี๋ยวพวกคนงานชายจะกลัวเอา”แล้วก้าวเท้าเดินห่างออกไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง‘มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้นสิ...’ ตะวันย้ำเตือนกับตัวเองซ้ำๆ“อะไรของเค้า” น้ำเหนือยืนงงอยู่เป็นครู่ ก่อนจะหันไปทำงานของตัวเองแข่งกับแสงตะวันที่เริ่มแรงขึ้นตามลำดับชั่วโมงพักเที่ยง น้ำเหนือเพิ่งรู้ว่าที่ไร่แห่งนี้ มีอาหารเที่ยงเลี้ยงคนงานด้วย และเห็นว่าอีกด้านของไร่ มีการปลูกสร้างที่พักอาศัยให้คนงานอยู่ฟรีอีกด้วยแล้วทำไมให้เราไปอยู่กระท่อม ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า น้ำเหนือถามตัวเองอยู่ในใจถึงว่าคนงานถึงพูดชื่นชมนายตะวันกันจัง เอาใจเพื่อให้ได้ใจ รู้จักบริหารและใส่ใจความรู้สึกของลูกน้องคนร่วมงานแบบนี้นี่เอง...น้ำเหนือคิดแล้วเบะปากก่อนก้มมองมองดูรอยแผลที่ข้อมือตัวเอง แล้วเขาล่ะ ได้รับความเอ็นดูสักเสี้ยวของคนงานบ้างไหม...ในขณะที่นั่งกินข้าว น้ำเหนือพยายามทักทายเพื่อทำความคุ้นเคยกับทุกคน แต่ดูเหมือนว่าคนงานหลายคน ประหม่า ไม่กล้าคุยด้วย และทำต
คำพูดเตือนและคำตอบทำให้น้ำเหนือฉุกคิด...“คุณเป็นใครครับ” ครานี้น้ำเสียงของน้ำเหนือดูเป็นมิตรขึ้นแล้วเจ้าของน้ำเสียงก็ค่อยๆ โผล่ใบหน้าออกมาจากหลังโขดหิน “ผมเป็นคนแถวนี้ครับ ไร่นี้...” แล้วชี้ไปทางด้านหลังน้ำเหนือพอเข้าใจในคำตอบ“คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับ...” คนแปลกหน้าถามต่อน้ำเหนือนิ่งมอง แม้จะอยู่ในระยะที่ไกลพอสมควรแต่ใบหน้าของชายคนนั้นก็ชัดอยู่ โดยที่น้ำเหนือมองพินิจ และภาพเลือนรางของใครคนหนึ่งที่ช่วยประคองขึ้นมาจากน้ำในวันนั้นแวบผ่านเข้ามา“คือขอโทษนะ เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ” น้ำเหนือถามสีหน้าไม่มั่นใจนัก“แล้วคุณว่าไงล่ะครับ”“ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณ ใช่คนที่ช่วยตอนผมตกน้ำวันก่อนหรือเปล่า...”ภาคินยิ้มกว้าง ตกน้ำเองหรือใครเหวี่ยงลงไปกันแน่...คำตอบที่ดูปกป้องคนทำ ทำให้ภาคินยิ่งรู้สึกดีต่อน้ำเหนือมากขึ้น แต่ไม่อยากก้าวก่ายหรือเค้นถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นอีก ทั้งที่อยากรู้สาเหตุมากก็ตาม“ครับ คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับ”“ไม่เป็นไรแล้ว...” แล้วน้ำเหนือก็ก้มมองดูตัวเองเพื่อยืนยัน พร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนหน้าค่อยๆ จางลงภาคินเห็นรอยวิตกกังวล ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามปกปิดไว้ในรอยย
เมื่อกลับมาถึงกระท่อม น้ำเหนือเห็นแต่กล่องข้าววางอยู่บนชานกระท่อม“ป้าเหมย...” น้ำเหนือตะโกนเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบเหมือนไม่มีคนอื่นนอกจากตัวเองและเจ้าของไร่หน้าตึงที่ยืนเท้าสะเอวมองอยู่“ไม่เห็นป้าเหมยเลย” สุดท้ายก็หันมาหาอีกคน“เมื่อกี้นายคุยกับใคร” เสียงห้วนถาม ตาจ้องนิ่ง“อะ คุย ก็คุยกับคุณอยู่นี่ไง” เจ้าของสายตาใสซื่อตอบกลับคนเสียงห้วนหน้าตึงดึงกว่าเก่า “นายรู้ใช่ไหมว่าคนที่ฉันถาม ไม่ใช่หมายถึงฉัน”“ไม่ใช่คุณ แล้วให้ผมคุยกับใครที่ไหน” น้ำเหนือสวนกลับตาใส“นายนี่นะ...”คนโดนย้อนกัดฟันข่มอารมณ์“คุณก็เห็นนี่ว่าผมนั่งอยู่คนเดียว”“แน่ใจ”“อืม...”“ไม่ได้ลุกไปไหนใช่ไหม”“ใช่ ผมไม่กล้าเดินไปไหนหรอก...”“นั่งอยู่กับที่ไม่ได้ลุกไปไหน” ตะวันถามย้ำ“...ก็ ไม่ได้ลุก” เขาเห็นอะไรหรือเปล่า...น้ำเหนือลังเล“แล้วไป ถ้านายคิดทำอะไรแล้วฉันจับได้ นายรู้ไว้เลยว่าฉันกัดนายไม่ปล่อยแน่”หลังจากที่ตะวันกลับออกไปแล้ว น้ำเหนือก็นั่งมองจานข้าวตรงหน้า เพราะกลืนไม่ลง ทั้งที่รสชาติอาหารก็อร่อยถูกปาก...คืนนั้นกว่าจะหลับ น้ำเหนือนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ เพราะคำพูดที่วนเวียนอยู่ในหัว‘นายคิดทำอะไรแล้วฉันจับ
“ผมเป็นใครก็ได้ ที่ไม่คิดทำร้ายเขา”“เหรอ...” เจ้าของไร่ย้อน ก่อนจะหันสายตามามองคน ‘ของเขา’ “นายทำร้ายเพื่อนจนตายยังไม่พอ นายยังกล้าพาคนนอกเข้ามาวุ่นวาย หากมีการเข้ามาสอดแนม แล้วของในไร่เสียหาย นายคิดว่าใครจะเดือดร้อน มันไม่ใช่ฉันแค่คนเดียวนะ แต่คนงานในไร่จะเดือดร้อนกันหมด นายมีสมองคิดบ้างไหมหา”เสียงกร้าวคำรามลั่น คนงานที่ยืนรายล้อมหน้าถอดสีเพราะเพิ่งเคยเห็นเจ้านายโกรธเกรี้ยวหนักก็ครั้งนี้ แม้เคยมีคนงานในไร่ทำผิด ก็ไม่เคยโดนตะคอกใส่หน้าเช่นนี้ หากแต่ชายหนุ่มผิวเนื้อบอบบางกลับโดนจนยืนหน้าซีดตัวลีบสั่น“คุณก็ระแวงเกินไปไหมครับ”ภาคินขยับแล้วดันให้น้ำเหนือไปยืนอยู่ด้านหลังตัวเองคล้ายปกป้อง ซึ่งยิ่งทำให้ตะวันเดือดจัด ขบกรามจนเป็นสันนูน กับภาพผู้ชายแปลกหน้าที่กำลังทำเหมือนปกป้องคนที่ทำร้ายครอบครัวตัวเอง ก่อนจะตอกกลับไปด้วยเสียงห้วนกร้าว“หน้าเนื้อใจเสือ รู้หน้าไม่รู้สันดานกันทั้งนั้นแหละ...”น้ำเหนือมองคนพูดด้วยสายตาตัดพ้อ เข้าใจดีว่าคำพูดนั้น จงใจว่ากระทบ“คุณภาคินกลับไปก่อนนะครับ”เพราะความหวังดี น้ำเหนือจึงตัดใจบอกภาคินไป พร้อมกับจับชายเสื้อกระตุกเบาๆ เพื่อย้ำเตือนให้อีกฝ่ายฟังคำที่พูด