ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของผู้ที่อยู่ด้านล่างกำลังแหงนมองร่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ด้านบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาสีขุ่นเป็นฝ้าขาวแฝงแววความเศร้า.. กี่บาปกรรมที่ต้องก่อ กี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ และกี่วันเวลากันที่เธอต้องรอคอย
นิ้วมือซีดเซียวกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดบริเวณข้อนิ้วเป่งออกจนแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ก่อนที่ดวงตาขุ่นฝ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแลปูนโปนด้วยความแค้น ผิวหนังซีดเซียวแปรเปลี่ยนเป็นปริแตกไหม้เกรียม
“เราผิดอันใด เราผิดอันใด.. ไยต้องทำร้าย ไยต้อง.. ฆ่า.. ไยต้อง.. จองจำ..”
เสียงเข่นเขี้ยวขมขื่นรอดออกมาจากริมฝีปากแตกปริเกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดสีคล้ำ หยาดน้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้ม ก่อนใบหน้าจะแหงนขึ้นกรีดร้องคร่ำครวญกับโชคชะตาที่ต้องเผชิญ
“กรี๊ดดดดดด...”
.
.
บ้านเรือนที่มองเห็นตรงหน้าปลูกสร้างตั้งอยู่เรียงรายสองฝั่งข้างทางเดินเกวียน อาณาเขตของครัวเรือนแบ่งแยกได้ตามขอบเขตรั้ว เล้า หรือคอกสัตว์ที่เจ้าบ้านนิยมเลี้ยงดู บ้างก็เป็นวัว บ้างก็เป็นควาย หรือไม่ก็มี หมู ม้า แพะ เป็ด ไก่ และห่าน ด้านหลังครัวเรือนนั้นเป็นทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างไกลสุดสายตา จำนวนบ้านเรือนเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้ชุมชนเมือง อีกทั้งเหล่าไพร่ฟ้าลูกบ้านที่ต่างลงจับปลาแลเก็บผักเก็บหญ้าเพื่อนำพามาเป็นอาหาร ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับกองเกวียนที่เดินทางรอนแรมมาเยือนถิ่น ราวกับว่าคุ้นเคยกับผู้มาเยือนแลคนแปลกถิ่นแปลกหน้าเป็นอย่างดี
แม้จะเป็นครั้งแรกที่มาเยือน ทว่าคันดินที่สร้างขนาบที่ราบเชิงเขาอันเป็นพระปรีชาสามารถขององค์พ่อขุน ก็ทำให้คนแดนไกลอย่างเขาต้องชื่นชมในพระปรีชาสามารถนั้นเช่นกัน ด้วยผู้ที่เคยมาเยือนอาณาจักรแห่งนี้กล่าวว่า.. พระองค์ทรงเกณฑ์ไพร่พลสั่งสร้างคันดินนี้ ให้ทำหน้าที่ชะลอและบังคับสายน้ำที่จะหลากมาจากภูเขาให้ไหลลงคูเมือง และป้องกันเศษดินเศษหินที่อาจพัดพามาพร้อมกับสายน้ำไม่ให้พุ่งชนและกัดเซาะทำลายเมืองที่เป็นศูนย์รวมแห่งชีวิต
สิ่งที่มองเห็นตรงหน้าประกอบกับความแจ่มใสของผู้คน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการเดินทางรอนแรมตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้คงใกล้ถึงคราสิ้นสุดแล้ว
ผู้คนมากมายที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้หัวหน้ากองเกวียนสั่งให้ขบวนหยุดพักแต่เพียงร่มไม้ด้านข้าง เพราะเป็นครั้งแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่ “ตลาดปสาน” ตลาดที่เลื่องลือไปไกลจนถึงเมืองเพชรบุรี “พระร่วงเจ้า” พ่อขุนผู้ปกครองเมืองรุ่งอรุณแห่งความสุขนี้ ทรงมองการไกลว่า “การรบราฆ่าฟันและการรบทัพจับศึก” หาใช่วิธีการเดียวที่จะนำพาอาณาจักรแห่งนี้ให้กว้างไกลและขยายขอบเขตออกไปได้ แต่หากยังมี “การค้าขาย” ที่จะนำพาให้อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองไปได้อย่างมิต้องทำให้ไพร่ฟ้าข้าไทแลลูกบ้านลูกเมืองต้องบาดเจ็บล้มตาย การประสานสัมพันธ์กับอาณาจักรข้างเคียงด้วยการค้าจะนำพามาด้วยความเจริญและฝูงท่วยทวยราษฎร์ได้เป็นสุขกันทั่วหน้าทุกผู้ทุกตน
“เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่าง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส”
ดวงตาคมเข้มทอดมองตลาดด้านหน้าที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน จนอดไม่ได้ที่จะพรรณาถึงคำบอกเล่าที่กล่าวไกลจรดถึงเมืองเพชรบุรีบ้านเรือนถิ่นเกิดของตน
“ท่านอัคคีขอรับ ขนาดเพิ่งมาเยือนถิ่นสุโขทัยเป็นคราแรก ท่านกลับจำท่องโองการแห่งพ่อขุนราวกับเป็นชาวถิ่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน”
“หึหึหึ.. ไยจะไม่รู้เล่าพร้าว ในเมื่อพระปรีชาของพระองค์ท่านขจรไกลจรดเมืองนครศรีธรรมราชโน่น ระหว่างทางที่ผ่านมา เจ้าทำราวไม่ได้ยินได้ฟังเลยรึไง หรือว่าเพียงแต่หลับและตื่นเท่านั้น”
ชายหนุ่มที่มีนามว่า “อัคคี” เอ่ยยิ้มๆ กับนายพร้าวคนสนิทของตน หนุ่มรุ่นราวเดียวกันที่ผู้เป็นบิดามารดาชุบเลี้ยงให้เติบโตมาพร้อมๆ กับเขา และในยามที่เขาเลือกที่จะทำการค้าสืบต่อจากบิดา ก็เป็นหน้าที่ของนายพร้าวที่จะต้องติดตามมาจนถึงที่นี่ “เมืองสุโขทัย” นี้ เมืองที่ร่ำลือระบือไกลถึงการค้าขายที่ทำได้อย่างเสรี ใครจะนำสินค้าใดเข้ามาขายหรือแลกเปลี่ยนกันก็ได้ โดยที่เจ้าเมืองสุโขทัยนี้มิได้เก็บจกอบตามขนาดของพาหนะที่ใช้ขนสินค้าเหมือนดังเมืองอื่นๆ ที่เขาเคยไปเยือน
ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นพ่อค้าและผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งคนถิ่นนี้และต่างถิ่น อันจะสามารถจำแนกได้จากเครื่องแต่งกายของแต่ละคนมาอยู่ร่วมกันเนืองแน่นในตลาดปสานแห่งนี้ เพราะเขาเองก็ยังใคร่อยากมาเยือนแผ่นดินทองและรุ่งอรุณแห่งความสุขนี้ดูสักครา
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อนเถิด ข้าจะเข้าไปถามไถ่ท่านเจ้าของถิ่นดูก่อนว่าสินค้าที่นำมานั้นจะเป็นที่ต้องการของผู้ใดบ้างและควรจักอยู่ในส่วนใดของปสานนี้”
“โธ่! มิเห็นต้องถามต้องไถ่เลยขอรับ สินค้าที่เรานำมาย่อมเป็นที่ต้องการของชาวถิ่นนี้อย่างแน่นอน แพรไหมมีค่าเหล่านี้หากไม่ใช่เมืองท่าชายทะเลคงไม่มีโอกาสได้พบเห็นนอกเสียจากจะเป็นเจ้าเป็นนาย และนายท่านก็เก่งนักในการซื้อหา ข้าเชื่อว่าเพียงนำลงจากเกวียนก็คร้านจะหมดในพริบตา และท่านอัคคีจักต้องได้สินค้าที่ปรารถนาอย่างแน่นอนเช่นกันนะขอรับ”
ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นเยียบอย่างที่สุดแห่งท้องทะเล มีเพียงสปอร์ตไลท์กันน้ำได้เท่านั้นที่ส่องนำทางลงสู่ด้านล่าง “ยิ่งลึกยิ่งมืด” นั่นคือสิ่งที่มองเห็น ทว่าที่รู้สึกมากไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายความหนาวที่รับรู้ได้แถวสันหลังช่างสามารถแยกแยะได้แตกต่างไปจากความเย็นที่ลอดผ่านชุดประดาน้ำ อันจะรับรู้ได้เมื่อร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่จากผิวน้ำที่ซึมซับความอุ่นของแสงอาทิตย์มาตลอดทั้งวัน ลงสู่จุดหมายเบื้องล่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง “ดำน้ำลึกตอนเที่ยงคืน”ช่างเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าเสี่ยงจะทำเช่นนี้ แต่ว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งต้องทนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่จะสามารถบันดาลให้เขาเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่กลับไม่สามารถหยิบฉวยออกไปได้สักชิ้นนั้น เขายิ่งทรมานเสียยิ่งกว่าไม่ได้พบได้เห็นเสียอีก ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่ต้องทนเก็บความโลภไว้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีใต้น้ำจากกรมศิลปฯ กำหนดพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่ชัดเจน อาณาเขตที่กรมศิลปฯ ประกาศเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านลงงมโบราณวัตถุนั้นมีระยะทางเป็นรัศมีกว้างกว่า 2 ไมล์ แค่
วาบบบบ.. ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขาขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี“เฮ้ย!..”ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส
เจ้าของเสียงทุ้มที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากเรือนรับรองตามเสียงแผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดที่ได้ยิน ทำให้พ่อใหญ่จงหันกลับมาพร้อมกับยิ้มรับชายหนุ่มจากเมืองกรุง ชายหนุ่มที่จะมารับหน้าที่นักสำรวจวัตถุโบราณใต้น้ำในวันรุ่งขึ้น“เสียงครวญจากเจ้านาง”“เจ้านาง..”“ใช่.. เจ้านาง”“เจ้านางอะไรครับพ่อใหญ่”ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นมีแววสงสัยปนไม่ยี่หระกับเสียงที่ได้ยินเท่าไร เพราะพอจะเดาได้ว่า “เจ้านาง” ที่พ่อใหญ่จงเอ่ยถึงคงหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนเลมักจะเชื่อถือตามนั้น แต่ที่ถามก็เพียงแค่สงสัยไม่ได้เชื่อว่าจะมีอยู่จริง“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ของผมก็เรียกกันมาอย่างนี้ จนมาถึงรุ่นผมก็ยังคงเรียกอยู่เหมือนเดิม และเด็กรุ่นต่อๆ ไปก็คงจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้”เสียงแหบห้าวของผู้เฒ่าวัยชราแฝงไปด้วยความยึดมั่นและยอมรับว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงขณะที่ดวงตาแกร่งผ่านพ้นวันเวลาไม่ได้ละไปจากผืนน้ำด้านหน้าเลยสักนิด“โห.. ถ้าตั้งแต่รุ่นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของพ่อใหญ่อีกที เจ้านางท่านนี้ก็คงอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีแล้วน่ะสิครับ”“คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหนอาจจะ 200 ปี 300
ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในส
ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของผู้ที่อยู่ด้านล่างกำลังแหงนมองร่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ด้านบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาสีขุ่นเป็นฝ้าขาวแฝงแววความเศร้า.. กี่บาปกรรมที่ต้องก่อ กี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ และกี่วันเวลากันที่เธอต้องรอคอยนิ้วมือซีดเซียวกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดบริเวณข้อนิ้วเป่งออกจนแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ก่อนที่ดวงตาขุ่นฝ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแลปูนโปนด้วยความแค้น ผิวหนังซีดเซียวแปรเปลี่ยนเป็นปริแตกไหม้เกรียม“เราผิดอันใด เราผิดอันใด.. ไยต้องทำร้าย ไยต้อง.. ฆ่า.. ไยต้อง.. จองจำ..”เสียงเข่นเขี้ยวขมขื่นรอดออกมาจากริมฝีปากแตกปริเกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดสีคล้ำ หยาดน้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้ม ก่อนใบหน้าจะแหงนขึ้นกรีดร้องคร่ำครวญกับโชคชะตาที่ต้องเผชิญ“กรี๊ดดดดดด...”..บ้านเรือนที่มองเห็นตรงหน้าปลูกสร้างตั้งอยู่เรียงรายสองฝั่งข้างทางเดินเกวียน อาณาเขตของครัวเรือนแบ่งแยกได้ตามขอบเขตรั้ว เล้า หรือคอกสัตว์ที่เจ้าบ้านนิยมเลี้ยงดู บ้างก็เป็นวัว บ้างก็เป็นควาย หรือไม่ก็มี หมู ม้า แพะ เป็ด ไก่ และห่าน ด้านหลังครัวเรือนนั้นเป็นทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างไ
ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในส
เจ้าของเสียงทุ้มที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากเรือนรับรองตามเสียงแผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดที่ได้ยิน ทำให้พ่อใหญ่จงหันกลับมาพร้อมกับยิ้มรับชายหนุ่มจากเมืองกรุง ชายหนุ่มที่จะมารับหน้าที่นักสำรวจวัตถุโบราณใต้น้ำในวันรุ่งขึ้น“เสียงครวญจากเจ้านาง”“เจ้านาง..”“ใช่.. เจ้านาง”“เจ้านางอะไรครับพ่อใหญ่”ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นมีแววสงสัยปนไม่ยี่หระกับเสียงที่ได้ยินเท่าไร เพราะพอจะเดาได้ว่า “เจ้านาง” ที่พ่อใหญ่จงเอ่ยถึงคงหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนเลมักจะเชื่อถือตามนั้น แต่ที่ถามก็เพียงแค่สงสัยไม่ได้เชื่อว่าจะมีอยู่จริง“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ของผมก็เรียกกันมาอย่างนี้ จนมาถึงรุ่นผมก็ยังคงเรียกอยู่เหมือนเดิม และเด็กรุ่นต่อๆ ไปก็คงจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้”เสียงแหบห้าวของผู้เฒ่าวัยชราแฝงไปด้วยความยึดมั่นและยอมรับว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงขณะที่ดวงตาแกร่งผ่านพ้นวันเวลาไม่ได้ละไปจากผืนน้ำด้านหน้าเลยสักนิด“โห.. ถ้าตั้งแต่รุ่นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของพ่อใหญ่อีกที เจ้านางท่านนี้ก็คงอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีแล้วน่ะสิครับ”“คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหนอาจจะ 200 ปี 300
วาบบบบ.. ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขาขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี“เฮ้ย!..”ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส
ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นเยียบอย่างที่สุดแห่งท้องทะเล มีเพียงสปอร์ตไลท์กันน้ำได้เท่านั้นที่ส่องนำทางลงสู่ด้านล่าง “ยิ่งลึกยิ่งมืด” นั่นคือสิ่งที่มองเห็น ทว่าที่รู้สึกมากไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายความหนาวที่รับรู้ได้แถวสันหลังช่างสามารถแยกแยะได้แตกต่างไปจากความเย็นที่ลอดผ่านชุดประดาน้ำ อันจะรับรู้ได้เมื่อร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่จากผิวน้ำที่ซึมซับความอุ่นของแสงอาทิตย์มาตลอดทั้งวัน ลงสู่จุดหมายเบื้องล่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง “ดำน้ำลึกตอนเที่ยงคืน”ช่างเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าเสี่ยงจะทำเช่นนี้ แต่ว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งต้องทนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่จะสามารถบันดาลให้เขาเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่กลับไม่สามารถหยิบฉวยออกไปได้สักชิ้นนั้น เขายิ่งทรมานเสียยิ่งกว่าไม่ได้พบได้เห็นเสียอีก ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่ต้องทนเก็บความโลภไว้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีใต้น้ำจากกรมศิลปฯ กำหนดพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่ชัดเจน อาณาเขตที่กรมศิลปฯ ประกาศเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านลงงมโบราณวัตถุนั้นมีระยะทางเป็นรัศมีกว้างกว่า 2 ไมล์ แค่