เจ้าของเสียงทุ้มที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากเรือนรับรองตามเสียงแผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดที่ได้ยิน ทำให้พ่อใหญ่จงหันกลับมาพร้อมกับยิ้มรับชายหนุ่มจากเมืองกรุง ชายหนุ่มที่จะมารับหน้าที่นักสำรวจวัตถุโบราณใต้น้ำในวันรุ่งขึ้น
“เสียงครวญจากเจ้านาง”
“เจ้านาง..”
“ใช่.. เจ้านาง”
“เจ้านางอะไรครับพ่อใหญ่”
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นมีแววสงสัยปนไม่ยี่หระกับเสียงที่ได้ยินเท่าไร เพราะพอจะเดาได้ว่า “เจ้านาง” ที่พ่อใหญ่จงเอ่ยถึงคงหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนเลมักจะเชื่อถือตามนั้น แต่ที่ถามก็เพียงแค่สงสัยไม่ได้เชื่อว่าจะมีอยู่จริง
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ของผมก็เรียกกันมาอย่างนี้ จนมาถึงรุ่นผมก็ยังคงเรียกอยู่เหมือนเดิม และเด็กรุ่นต่อๆ ไปก็คงจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้”
เสียงแหบห้าวของผู้เฒ่าวัยชราแฝงไปด้วยความยึดมั่นและยอมรับว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงขณะที่ดวงตาแกร่งผ่านพ้นวันเวลาไม่ได้ละไปจากผืนน้ำด้านหน้าเลยสักนิด
“โห.. ถ้าตั้งแต่รุ่นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของพ่อใหญ่อีกที เจ้านางท่านนี้ก็คงอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีแล้วน่ะสิครับ”
“คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหนอาจจะ 200 ปี 300 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น หรือดีไม่ดีอาจจะพร้อมๆ กับเรือที่มาอับปางก็ได้ใครจะรู้ แต่พรุ่งนี้.. คุณอาจมีโอกาสได้รู้ก็ได้”
อนล.. หุบยิ้มในทันทีเมื่อเจอกับน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังของพ่อใหญ่จง เพราะสิ่งที่ผู้เฒ่าเจ้าของเรือนบนเกาะที่เขาต้องมาขออยู่อาศัยเพื่อเก็บข้อมูลใต้น้ำในช่วงสัปดาห์นี้ให้มากที่สุดก่อนจะวางแผนสำรวจจริงกล่าวต่อ กลับกลายเป็นเขาเองที่ไม่อาจละสายตาไปจากผืนน้ำระยิบระยับสุดสายตานั้นได้ รู้แต่ว่าเสียงครวญคร่ำที่ล่องลอยตามลมมานั้นมันเป็นสิ่งที่ปลุกเขาจากนิทรา และเมื่อออกมารับลมที่ระเบียงก็กลับพบว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่ตื่นดึกอยู่ในขณะนี้
โดยเฉพาะเสียงของกระพรวนหรือกำไลกระทบกันที่ดังแว่วมานั้นช่างคุ้นเคยนักในความรู้สึก แต่เมื่อเขาเดินสำรวจดูรอบๆ เรือนกลับไม่พบว่าจะมีวัตถุใดที่ให้เสียงกังวานดังว่า ซึ่งอาจเป็นได้ที่เสียงดังกล่าวแว่วมาตามลมจากเรือนที่ห่างออกไป
“แล้วในความคิดของพ่อใหญ่ พ่อใหญ่เชื่อจริงๆ หรือครับว่านั่นเป็นเสียงครวญของเจ้านาง ไม่ใช่ว่าเป็นเสียงของแมลงกลางคืนหรือสัตว์บางประเภทที่บังเอิญร้องมาให้เราได้ยิน”
“แมลงหรือสัตว์ที่คุณว่าคงไม่เลือกร้องเฉพาะในคืนวันเพ็ญเต็มดวงหรอกนะ แต่ที่สำคัญเจ้านางนั้นมีอยู่จริง”
“พ่อใหญ่พูดเหมือนเคยเห็น”
อีกครั้งที่อนลต้องเก็บคำพูดเพราะสายตาของพ่อเฒ่าที่มองกลับมามันตอบว่า “ใช่” ว่าแต่ทำไมเขาต้องมารู้เรื่องราวแบบนี้ก่อนวันที่จะต้องลงสำรวจด้วยนะ..ไม่ใช่ว่ากลัวแต่เพราะไม่ต้องการให้อะไรมารบกวนจิตใจมากกว่าความมุ่งมั่นที่จะสำรวจและเก็บรายละเอียดให้มากที่สุดภายใน 7 วันที่ได้รับมอบหมาย
“อย่างงั้นพ่อใหญ่ก็ต้องรู้สิครับว่าเจ้านางนั้นครวญว่าอะไร ผมนอนฟังอยู่ตั้งนานก็ฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่แน่ใจว่าเธอพูดว่าอะไรบ้าง”
“แม่ใหญ่คนทรงท่านบอกว่า คนที่เจ้านางเฝ้ารอเท่านั้นที่จะฟังเข้าใจ เพราะเสียงครวญคร่ำของเจ้านางจงใจสื่อผ่านให้เขาเท่านั้นรับรู้”
“หรือครับ.. และคนอื่นนั้นได้ยินว่าอะไรกันบ้าง”
“ฟังไม่ได้ศัพท์ รู้แต่ว่ามันเต็มไปด้วยความเศร้า ความห่วงหา ความอ้างว้างและความแค้นเคืองอาฆาต ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น”
“ฟังเป็นภาษาไทยไม่ได้เลยสักคำหรือครับ”
ใบหน้าพ่อใหญ่จงส่ายไปมาช้าๆ ทว่าสายตาก็ยังคงมองไปยังจุดนั้น จุดที่แสงจันทร์ส่องกระทบมากที่สุด ทั้งเสียงครวญคร่ำร่ำไห้ดั่งคนสูญเสียหมดแล้วทุกอย่างและแสงจันทร์งามระยิบระยับ คล้ายมีมนต์สะกดให้ชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียงกล้าที่จะลงไปเผชิญกับความเสี่ยงในยามพระอาทิตย์ลับล่วง ทว่าผู้ที่ลงไปนั้นน้อยนักที่จะกลับขึ้นฝั่งอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและลมหายใจเพราะเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น พ่อเฒ่าจงหลับตาหวนเข้าสู่ภวังค์
ย้อนไปราวปี พ.ศ.2500 ในวัยหนุ่มนั้นคนเลอย่างเขาไม่เคยยี่หระกับเรื่องใดทั้งสิ้น วิชาอาคมก็บวชเรียนมาพอคุ้มตัว อีกทั้งยันต์กันภัยทั้งหลายตามแต่อาจารย์ไหนที่ว่าดีเขาก็ต้องไปสรรหามาประดับไว้บนผิวกายแทบทั้งสิ้น
กลางค่ำกลางคืนหากไม่ไปส่องนกส่องกบก็มักจะตระเวนหาเกี้ยวสาวเพื่อครองคู่เป็นเมียผัว และเหตุเกี้ยวสาวในยามค่ำคืนก็ทำให้เขาค้นพบเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวจนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจลืมเลือนได้ เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้เขาสูญเสียเพื่อนเกลอที่พากันเที่ยวพากันเมาไปถึง 2 คนพร้อมๆ กัน ไป 3 ตาย 2 มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รอด รอดเพราะปาฏิหาริย์น่ะหรือ “ไม่ใช่” แม้ใครๆ จะว่าอย่างนั้นทว่าเขาเองกลับรู้ดีเสียยิ่งกว่าใครว่ารอดมาได้เพราะอะไร
คืนนั้นไม่ต่างไปจากคืนนี้ แสงจันทร์นำทางส่องถึงเบื้องล่างบริเวณซากเรืออับปางที่รู้แล้วว่ามากมีไปด้วยทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายขนาดไหน ในยามนั้นเครื่องสังคโลกที่กระจัดกระจายอยู่รายรอบไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจ สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือของมีค่าที่ยังคงหลงเหลือและไม่ย่อยสลายไปกับวันเวลาและน้ำทะเลกัดเซาะ เช่น ทองคำหรือเพชรพลอยที่คาดว่าเจ้าของเรือคงจะนำติดตัวมาบ้าง เพราะหากจับพลัดจับพลูเจอขึ้นมาหนึ่งชิ้นก็เพียงพอที่จะนำไปขอสาวได้เลย
ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในส
ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของผู้ที่อยู่ด้านล่างกำลังแหงนมองร่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ด้านบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาสีขุ่นเป็นฝ้าขาวแฝงแววความเศร้า.. กี่บาปกรรมที่ต้องก่อ กี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ และกี่วันเวลากันที่เธอต้องรอคอยนิ้วมือซีดเซียวกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดบริเวณข้อนิ้วเป่งออกจนแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ก่อนที่ดวงตาขุ่นฝ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแลปูนโปนด้วยความแค้น ผิวหนังซีดเซียวแปรเปลี่ยนเป็นปริแตกไหม้เกรียม“เราผิดอันใด เราผิดอันใด.. ไยต้องทำร้าย ไยต้อง.. ฆ่า.. ไยต้อง.. จองจำ..”เสียงเข่นเขี้ยวขมขื่นรอดออกมาจากริมฝีปากแตกปริเกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดสีคล้ำ หยาดน้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้ม ก่อนใบหน้าจะแหงนขึ้นกรีดร้องคร่ำครวญกับโชคชะตาที่ต้องเผชิญ“กรี๊ดดดดดด...”..บ้านเรือนที่มองเห็นตรงหน้าปลูกสร้างตั้งอยู่เรียงรายสองฝั่งข้างทางเดินเกวียน อาณาเขตของครัวเรือนแบ่งแยกได้ตามขอบเขตรั้ว เล้า หรือคอกสัตว์ที่เจ้าบ้านนิยมเลี้ยงดู บ้างก็เป็นวัว บ้างก็เป็นควาย หรือไม่ก็มี หมู ม้า แพะ เป็ด ไก่ และห่าน ด้านหลังครัวเรือนนั้นเป็นทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างไ
ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นเยียบอย่างที่สุดแห่งท้องทะเล มีเพียงสปอร์ตไลท์กันน้ำได้เท่านั้นที่ส่องนำทางลงสู่ด้านล่าง “ยิ่งลึกยิ่งมืด” นั่นคือสิ่งที่มองเห็น ทว่าที่รู้สึกมากไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายความหนาวที่รับรู้ได้แถวสันหลังช่างสามารถแยกแยะได้แตกต่างไปจากความเย็นที่ลอดผ่านชุดประดาน้ำ อันจะรับรู้ได้เมื่อร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่จากผิวน้ำที่ซึมซับความอุ่นของแสงอาทิตย์มาตลอดทั้งวัน ลงสู่จุดหมายเบื้องล่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง “ดำน้ำลึกตอนเที่ยงคืน”ช่างเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าเสี่ยงจะทำเช่นนี้ แต่ว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งต้องทนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่จะสามารถบันดาลให้เขาเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่กลับไม่สามารถหยิบฉวยออกไปได้สักชิ้นนั้น เขายิ่งทรมานเสียยิ่งกว่าไม่ได้พบได้เห็นเสียอีก ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่ต้องทนเก็บความโลภไว้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีใต้น้ำจากกรมศิลปฯ กำหนดพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่ชัดเจน อาณาเขตที่กรมศิลปฯ ประกาศเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านลงงมโบราณวัตถุนั้นมีระยะทางเป็นรัศมีกว้างกว่า 2 ไมล์ แค่
วาบบบบ.. ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขาขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี“เฮ้ย!..”ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส
ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของผู้ที่อยู่ด้านล่างกำลังแหงนมองร่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ด้านบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาสีขุ่นเป็นฝ้าขาวแฝงแววความเศร้า.. กี่บาปกรรมที่ต้องก่อ กี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ และกี่วันเวลากันที่เธอต้องรอคอยนิ้วมือซีดเซียวกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดบริเวณข้อนิ้วเป่งออกจนแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ก่อนที่ดวงตาขุ่นฝ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแลปูนโปนด้วยความแค้น ผิวหนังซีดเซียวแปรเปลี่ยนเป็นปริแตกไหม้เกรียม“เราผิดอันใด เราผิดอันใด.. ไยต้องทำร้าย ไยต้อง.. ฆ่า.. ไยต้อง.. จองจำ..”เสียงเข่นเขี้ยวขมขื่นรอดออกมาจากริมฝีปากแตกปริเกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดสีคล้ำ หยาดน้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้ม ก่อนใบหน้าจะแหงนขึ้นกรีดร้องคร่ำครวญกับโชคชะตาที่ต้องเผชิญ“กรี๊ดดดดดด...”..บ้านเรือนที่มองเห็นตรงหน้าปลูกสร้างตั้งอยู่เรียงรายสองฝั่งข้างทางเดินเกวียน อาณาเขตของครัวเรือนแบ่งแยกได้ตามขอบเขตรั้ว เล้า หรือคอกสัตว์ที่เจ้าบ้านนิยมเลี้ยงดู บ้างก็เป็นวัว บ้างก็เป็นควาย หรือไม่ก็มี หมู ม้า แพะ เป็ด ไก่ และห่าน ด้านหลังครัวเรือนนั้นเป็นทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างไ
ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในส
เจ้าของเสียงทุ้มที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากเรือนรับรองตามเสียงแผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดที่ได้ยิน ทำให้พ่อใหญ่จงหันกลับมาพร้อมกับยิ้มรับชายหนุ่มจากเมืองกรุง ชายหนุ่มที่จะมารับหน้าที่นักสำรวจวัตถุโบราณใต้น้ำในวันรุ่งขึ้น“เสียงครวญจากเจ้านาง”“เจ้านาง..”“ใช่.. เจ้านาง”“เจ้านางอะไรครับพ่อใหญ่”ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นมีแววสงสัยปนไม่ยี่หระกับเสียงที่ได้ยินเท่าไร เพราะพอจะเดาได้ว่า “เจ้านาง” ที่พ่อใหญ่จงเอ่ยถึงคงหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนเลมักจะเชื่อถือตามนั้น แต่ที่ถามก็เพียงแค่สงสัยไม่ได้เชื่อว่าจะมีอยู่จริง“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ของผมก็เรียกกันมาอย่างนี้ จนมาถึงรุ่นผมก็ยังคงเรียกอยู่เหมือนเดิม และเด็กรุ่นต่อๆ ไปก็คงจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้”เสียงแหบห้าวของผู้เฒ่าวัยชราแฝงไปด้วยความยึดมั่นและยอมรับว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงขณะที่ดวงตาแกร่งผ่านพ้นวันเวลาไม่ได้ละไปจากผืนน้ำด้านหน้าเลยสักนิด“โห.. ถ้าตั้งแต่รุ่นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของพ่อใหญ่อีกที เจ้านางท่านนี้ก็คงอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีแล้วน่ะสิครับ”“คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหนอาจจะ 200 ปี 300
วาบบบบ.. ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขาขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี“เฮ้ย!..”ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส
ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นเยียบอย่างที่สุดแห่งท้องทะเล มีเพียงสปอร์ตไลท์กันน้ำได้เท่านั้นที่ส่องนำทางลงสู่ด้านล่าง “ยิ่งลึกยิ่งมืด” นั่นคือสิ่งที่มองเห็น ทว่าที่รู้สึกมากไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายความหนาวที่รับรู้ได้แถวสันหลังช่างสามารถแยกแยะได้แตกต่างไปจากความเย็นที่ลอดผ่านชุดประดาน้ำ อันจะรับรู้ได้เมื่อร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่จากผิวน้ำที่ซึมซับความอุ่นของแสงอาทิตย์มาตลอดทั้งวัน ลงสู่จุดหมายเบื้องล่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง “ดำน้ำลึกตอนเที่ยงคืน”ช่างเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าเสี่ยงจะทำเช่นนี้ แต่ว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งต้องทนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่จะสามารถบันดาลให้เขาเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่กลับไม่สามารถหยิบฉวยออกไปได้สักชิ้นนั้น เขายิ่งทรมานเสียยิ่งกว่าไม่ได้พบได้เห็นเสียอีก ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่ต้องทนเก็บความโลภไว้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีใต้น้ำจากกรมศิลปฯ กำหนดพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่ชัดเจน อาณาเขตที่กรมศิลปฯ ประกาศเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านลงงมโบราณวัตถุนั้นมีระยะทางเป็นรัศมีกว้างกว่า 2 ไมล์ แค่