ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้
ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่
ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในสมัยใด รู้แต่ว่าเรือนผมเกล้าสูงนั้นก็หลุดลุ่ยจนไม่เป็นทรง แม้รูปกายจะดูน่าสะพรึงกลัวปานใด ทว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นกลับเป็นดวงตาโปนแดงเท่าลูกหมากที่เบิกโพลงมองดูพวกเขาที่ตะเกียกตะกายหนีตายกันสุดชีวิต และเพราะ “เจ้านาง” นั้นปรานีเขาจึงยังหลงเหลือลมหายใจ
ภาพนั้นยังคงติดตาจนถึงเวลานี้ และที่เขาเลือกซื้อที่ดินผืนนี้เพื่อสร้างครอบครัว ก็เพียงเพื่อต้องการไถ่บาปและเป็นการป้องกันคนโลภที่ยังมีอยู่มากมายเหลือเกินบนโลกมนุษย์นี้ ไม่ให้เข้าไปข้องแวะหรือไปรบกวนท่าน จนเมื่อกรมศิลปฯ มีกำหนดสำรวจซากเรือบริเวณนี้ เขาจึงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อรักษาสิ่งมีค่าของชาติให้รอดพ้นจากนักโจรกรรมใต้น้ำ และเพราะไม่อยากให้ท่านมีบาปติดตัว แม้ว่าคนโลภเหล่านั้นจะสมควรแล้วแก่ความตายก็ตาม
“เจ้านาง.. ขอรับ อย่าให้ดวงวิญญาณของท่านต้องมีบาปอีกเลย”
คำพึมพำของพ่อใหญ่จงทำให้อนลส่ายศีรษะไปมาก่อนจะถอยกายออกมาอย่างเงียบๆ เพราะดูเหมือนพ่อใหญ่จงจะอยู่ในเพียงภวังค์ ไม่ได้สนใจว่าจะมีเขายืนอยู่ ณ ตรงนั้นด้วยหรือไม่
อนลเดินกลับมาที่ห้องนอนก่อนจะเดินไปหยุดยืนที่บานหน้าต่าง ที่เปิดรับลมทะเลยามค่ำคืนและมองเลยไปยังเส้นแสงที่ส่องผ่านลงไปเบื้องล่าง สถานที่ที่พ่อเฒ่าเจ้าของเรือนเชื่อว่าเป็นที่มาของเสียงคร่ำครวญที่ล่องลอยมาตามลม
“ฟังไม่ได้ศัพท์ รู้แต่ว่ามันเต็มไปด้วยความเศร้า ความห่วงหา ความอ้างว้างและความแค้นเคืองอาฆาต ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น”
“ทำไมถึงว่าฟังไม่ได้ศัพท์ ในเมื่อ..”
“มิว่าภพใด ข้าจักเฝ้าติดตามถามหา จนกว่าอรุณรุ่งของข้าจักมาถึง”
เสียงครวญคร่ำแผ่วเบา ทว่าเขายังจับได้ในน้ำคำ หากฟังไม่ผิดเธอครวญคร่ำด้วยคำเหล่านี้ปะปนสลับไปมากับเสียงกรีดร้องหวีดหวิวลอยตามลม หรือว่าทั้งหมดนั่นเขาหูฝาดไปเอง อนลส่ายศีรษะไปมาก่อนจะถอยกลับมานั่งลงบนเตียง ในเมื่อพ่อใหญ่จงก็พูดแล้วว่าไม่เคยมีใครจับความหมายในเสียงนั้นได้แล้วเขาเป็นใครล่ะ คนที่เพิ่งมาเหยียบถิ่นนี้เป็นครั้งแรกหากฟังเข้าใจเป็นคำพูดได้อย่างนั้นคงจะพิลึกแล้ว
อนลเอี้ยวตัวปิดไฟที่หัวเตียงก่อนจะค่อยๆ ผ่อนกายลงนอน หน้าที่ที่รอคอยอยู่เมื่อรุ่งสางนั้นสำคัญมากจนเขาต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะแม้จะมีอุปกรณ์ดำน้ำที่ทันสมัยมากกว่าเดิมจนทำให้สามารถดำน้ำได้ลึกได้นานและปลอดภัยมากขึ้น แต่สุขภาพร่างกายของนักดำน้ำก็ต้องแข็งแรงและสมบูรณ์ 100% เขาจึงต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอและหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะขณะดำน้ำยิ่งลึกมากเท่าไรก็จะมีแรงต้านเพิ่มมากขึ้น นักดำน้ำต้องใช้กำลังแขนกำลังขาแหวกว่ายไปข้างหน้ามากขึ้น และยิ่งเขาไม่ได้ว่ายอย่างเดียวแต่ต้องทำหน้าที่สำรวจงานไปด้วย ร่างกายเขายิ่งต้องพร้อมให้มากกว่าใคร
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบตี 1 เขายังมีเวลานอนต่อกว่า 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงเช้า ทว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบก็ทำให้เขาต้องรีบคว้ากดรับในทันที เพราะซิม 2 เรียกเข้านั้นเขามีไว้เฉพาะ “ลูกค้า” เท่านั้น
“ครับ.. จะดำพรุ่งนี้ แล้วจะดูไว้ให้นะครับ แต่ผมยังไม่รับปากว่าจะสมบูรณ์หรือเปล่าเพราะยังไม่เห็นของ ครับ.. ครับ.. ถ้าได้ของจะ SMS บอกราคา ครับ.. พรุ่งนี้ค่ำๆ ผมจะโทรหา ครับ..”
สิ่งที่เขาก่อไม่อาจหวนคืน “เงินคือพระเจ้า” เขาคือหนึ่งที่คิดแบบนั้น วังวนแห่ง “ความอยาก” เขาหลีกหนีมันไม่พ้นจริงๆ ทำได้แม้แต่ทรยศอาชีพของตัวเอง แต่ความอยากได้อยากมีเหล่านั้นมันทำให้เขาเป็นคนบาปจริงๆ นะเหรอ อนลนอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดก่อนจะพยายามข่มตาให้หลับลง และเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบาที่แว่วมาดังเสียงดนตรีขับกล่อมก็ทำให้เขาล่วงเข้าสู่นิทรารมณ์
ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของผู้ที่อยู่ด้านล่างกำลังแหงนมองร่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ด้านบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาสีขุ่นเป็นฝ้าขาวแฝงแววความเศร้า.. กี่บาปกรรมที่ต้องก่อ กี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ และกี่วันเวลากันที่เธอต้องรอคอยนิ้วมือซีดเซียวกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดบริเวณข้อนิ้วเป่งออกจนแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ก่อนที่ดวงตาขุ่นฝ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแลปูนโปนด้วยความแค้น ผิวหนังซีดเซียวแปรเปลี่ยนเป็นปริแตกไหม้เกรียม“เราผิดอันใด เราผิดอันใด.. ไยต้องทำร้าย ไยต้อง.. ฆ่า.. ไยต้อง.. จองจำ..”เสียงเข่นเขี้ยวขมขื่นรอดออกมาจากริมฝีปากแตกปริเกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดสีคล้ำ หยาดน้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้ม ก่อนใบหน้าจะแหงนขึ้นกรีดร้องคร่ำครวญกับโชคชะตาที่ต้องเผชิญ“กรี๊ดดดดดด...”..บ้านเรือนที่มองเห็นตรงหน้าปลูกสร้างตั้งอยู่เรียงรายสองฝั่งข้างทางเดินเกวียน อาณาเขตของครัวเรือนแบ่งแยกได้ตามขอบเขตรั้ว เล้า หรือคอกสัตว์ที่เจ้าบ้านนิยมเลี้ยงดู บ้างก็เป็นวัว บ้างก็เป็นควาย หรือไม่ก็มี หมู ม้า แพะ เป็ด ไก่ และห่าน ด้านหลังครัวเรือนนั้นเป็นทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างไ
ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นเยียบอย่างที่สุดแห่งท้องทะเล มีเพียงสปอร์ตไลท์กันน้ำได้เท่านั้นที่ส่องนำทางลงสู่ด้านล่าง “ยิ่งลึกยิ่งมืด” นั่นคือสิ่งที่มองเห็น ทว่าที่รู้สึกมากไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายความหนาวที่รับรู้ได้แถวสันหลังช่างสามารถแยกแยะได้แตกต่างไปจากความเย็นที่ลอดผ่านชุดประดาน้ำ อันจะรับรู้ได้เมื่อร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่จากผิวน้ำที่ซึมซับความอุ่นของแสงอาทิตย์มาตลอดทั้งวัน ลงสู่จุดหมายเบื้องล่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง “ดำน้ำลึกตอนเที่ยงคืน”ช่างเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าเสี่ยงจะทำเช่นนี้ แต่ว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งต้องทนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่จะสามารถบันดาลให้เขาเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่กลับไม่สามารถหยิบฉวยออกไปได้สักชิ้นนั้น เขายิ่งทรมานเสียยิ่งกว่าไม่ได้พบได้เห็นเสียอีก ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่ต้องทนเก็บความโลภไว้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีใต้น้ำจากกรมศิลปฯ กำหนดพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่ชัดเจน อาณาเขตที่กรมศิลปฯ ประกาศเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านลงงมโบราณวัตถุนั้นมีระยะทางเป็นรัศมีกว้างกว่า 2 ไมล์ แค่
วาบบบบ.. ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขาขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี“เฮ้ย!..”ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส
เจ้าของเสียงทุ้มที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากเรือนรับรองตามเสียงแผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดที่ได้ยิน ทำให้พ่อใหญ่จงหันกลับมาพร้อมกับยิ้มรับชายหนุ่มจากเมืองกรุง ชายหนุ่มที่จะมารับหน้าที่นักสำรวจวัตถุโบราณใต้น้ำในวันรุ่งขึ้น“เสียงครวญจากเจ้านาง”“เจ้านาง..”“ใช่.. เจ้านาง”“เจ้านางอะไรครับพ่อใหญ่”ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นมีแววสงสัยปนไม่ยี่หระกับเสียงที่ได้ยินเท่าไร เพราะพอจะเดาได้ว่า “เจ้านาง” ที่พ่อใหญ่จงเอ่ยถึงคงหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนเลมักจะเชื่อถือตามนั้น แต่ที่ถามก็เพียงแค่สงสัยไม่ได้เชื่อว่าจะมีอยู่จริง“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ของผมก็เรียกกันมาอย่างนี้ จนมาถึงรุ่นผมก็ยังคงเรียกอยู่เหมือนเดิม และเด็กรุ่นต่อๆ ไปก็คงจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้”เสียงแหบห้าวของผู้เฒ่าวัยชราแฝงไปด้วยความยึดมั่นและยอมรับว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงขณะที่ดวงตาแกร่งผ่านพ้นวันเวลาไม่ได้ละไปจากผืนน้ำด้านหน้าเลยสักนิด“โห.. ถ้าตั้งแต่รุ่นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของพ่อใหญ่อีกที เจ้านางท่านนี้ก็คงอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีแล้วน่ะสิครับ”“คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหนอาจจะ 200 ปี 300
ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของผู้ที่อยู่ด้านล่างกำลังแหงนมองร่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ด้านบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาสีขุ่นเป็นฝ้าขาวแฝงแววความเศร้า.. กี่บาปกรรมที่ต้องก่อ กี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ และกี่วันเวลากันที่เธอต้องรอคอยนิ้วมือซีดเซียวกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดบริเวณข้อนิ้วเป่งออกจนแทบจะทะลุออกมานอกผิวหนัง ก่อนที่ดวงตาขุ่นฝ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำแลปูนโปนด้วยความแค้น ผิวหนังซีดเซียวแปรเปลี่ยนเป็นปริแตกไหม้เกรียม“เราผิดอันใด เราผิดอันใด.. ไยต้องทำร้าย ไยต้อง.. ฆ่า.. ไยต้อง.. จองจำ..”เสียงเข่นเขี้ยวขมขื่นรอดออกมาจากริมฝีปากแตกปริเกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดสีคล้ำ หยาดน้ำตาสีแดงดั่งโลหิตไหลอาบสองแก้ม ก่อนใบหน้าจะแหงนขึ้นกรีดร้องคร่ำครวญกับโชคชะตาที่ต้องเผชิญ“กรี๊ดดดดดด...”..บ้านเรือนที่มองเห็นตรงหน้าปลูกสร้างตั้งอยู่เรียงรายสองฝั่งข้างทางเดินเกวียน อาณาเขตของครัวเรือนแบ่งแยกได้ตามขอบเขตรั้ว เล้า หรือคอกสัตว์ที่เจ้าบ้านนิยมเลี้ยงดู บ้างก็เป็นวัว บ้างก็เป็นควาย หรือไม่ก็มี หมู ม้า แพะ เป็ด ไก่ และห่าน ด้านหลังครัวเรือนนั้นเป็นทิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างไ
ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในส
เจ้าของเสียงทุ้มที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกมาจากเรือนรับรองตามเสียงแผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดที่ได้ยิน ทำให้พ่อใหญ่จงหันกลับมาพร้อมกับยิ้มรับชายหนุ่มจากเมืองกรุง ชายหนุ่มที่จะมารับหน้าที่นักสำรวจวัตถุโบราณใต้น้ำในวันรุ่งขึ้น“เสียงครวญจากเจ้านาง”“เจ้านาง..”“ใช่.. เจ้านาง”“เจ้านางอะไรครับพ่อใหญ่”ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นมีแววสงสัยปนไม่ยี่หระกับเสียงที่ได้ยินเท่าไร เพราะพอจะเดาได้ว่า “เจ้านาง” ที่พ่อใหญ่จงเอ่ยถึงคงหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนเลมักจะเชื่อถือตามนั้น แต่ที่ถามก็เพียงแค่สงสัยไม่ได้เชื่อว่าจะมีอยู่จริง“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตั้งแต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ของผมก็เรียกกันมาอย่างนี้ จนมาถึงรุ่นผมก็ยังคงเรียกอยู่เหมือนเดิม และเด็กรุ่นต่อๆ ไปก็คงจะไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนี้”เสียงแหบห้าวของผู้เฒ่าวัยชราแฝงไปด้วยความยึดมั่นและยอมรับว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงขณะที่ดวงตาแกร่งผ่านพ้นวันเวลาไม่ได้ละไปจากผืนน้ำด้านหน้าเลยสักนิด“โห.. ถ้าตั้งแต่รุ่นพ่อใหญ่แม่ใหญ่ของพ่อใหญ่อีกที เจ้านางท่านนี้ก็คงอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีแล้วน่ะสิครับ”“คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมา ผมก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหนอาจจะ 200 ปี 300
วาบบบบ.. ใบหน้าหันขวับตามสัญชาตญาณ ต้นคอเย็นวาบมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลังโดยไม่รู้สาเหตุ อะไรบางอย่างทำให้ยิ่งต้องระวังตัวเองมากขึ้น มือกำตะกรุดที่เอวแน่นพร้อมกับท่องมนต์คาถาในใจ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบแม้จะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ทว่าสิ่งที่สัมผัสก็ทำให้แน่ใจว่าสิ่งไม่ธรรมดานั้นใกล้ตัวเขาเสียมากมายและเหมือนว่าสิ่งนั้นกำลังยิ้มเยาะเย้ยกับความโลภที่ปะปนมาพร้อมกับความโง่เขลาของเขาขณะที่ดวงตากวาดมองระวังภัยที่มองไม่เห็น เข้มย่อกายลงหยิบสปอร์ตไลท์ที่วางไว้แทบเท้า ทว่ากลับพบกับความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรงไปกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เริ่มคิดได้ว่ามีพลังมากพอที่จะเคลื่อนย้ายข้าวของ เพราะผืนทรายราบเรียบที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกับกระแสน้ำพัดเอื่อย คงไม่สามารถพัดพาสปอร์ตไลท์ที่มีน้ำหนักให้ปลิวหายไปได้ แต่บางทีมันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะแสงไฟที่เห็นอยู่ไม่ไกลว่า 2 เมตรข้างหน้าก็ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตรงไปทางไหน เข้มกระหยิ่มย่องในใจเพราะดีที่ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับเส้นแสงของจุดหมายพอดี“เฮ้ย!..”ร่างในชุดประดาน้ำทะลึ่งตัวขึ้นโดยเร็ว เพราะบางอย่างที่มองเห็นขณะย่อตัวลงหาดวงไฟที่วางทาบอยู่แทบเท้า ลำแสงที่ส
ท่ามกลางความมืดมิดและเย็นเยียบอย่างที่สุดแห่งท้องทะเล มีเพียงสปอร์ตไลท์กันน้ำได้เท่านั้นที่ส่องนำทางลงสู่ด้านล่าง “ยิ่งลึกยิ่งมืด” นั่นคือสิ่งที่มองเห็น ทว่าที่รู้สึกมากไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายความหนาวที่รับรู้ได้แถวสันหลังช่างสามารถแยกแยะได้แตกต่างไปจากความเย็นที่ลอดผ่านชุดประดาน้ำ อันจะรับรู้ได้เมื่อร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่จากผิวน้ำที่ซึมซับความอุ่นของแสงอาทิตย์มาตลอดทั้งวัน ลงสู่จุดหมายเบื้องล่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง “ดำน้ำลึกตอนเที่ยงคืน”ช่างเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าเสี่ยงจะทำเช่นนี้ แต่ว่าความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งต้องทนอยู่ท่ามกลางสิ่งของที่จะสามารถบันดาลให้เขาเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่กลับไม่สามารถหยิบฉวยออกไปได้สักชิ้นนั้น เขายิ่งทรมานเสียยิ่งกว่าไม่ได้พบได้เห็นเสียอีก ตลอด 3 วันที่ผ่านมาที่ต้องทนเก็บความโลภไว้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีใต้น้ำจากกรมศิลปฯ กำหนดพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่ชัดเจน อาณาเขตที่กรมศิลปฯ ประกาศเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ชาวบ้านลงงมโบราณวัตถุนั้นมีระยะทางเป็นรัศมีกว้างกว่า 2 ไมล์ แค่