อาจารย์เผยเดินนำเด็กทั้งสามคนไปยังร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสนามสอบในปีนี้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกกว่าครึ่งเดือนจะถึงวันเข้าสอบ คนในมณฑลจึงยังไม่มากนัก
“ที่นั่นคือที่ที่พวกเจ้าจะต้องเข้าไปสอบเป็นเวลาสามวัน พวกเจ้าอย่าลืมเตรียมอาหาร ผ้าห่ม เสื้อผ้า เอาไว้สับเปลี่ยนด้วยเล่า”
“ขอรับอาจารย์” หลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางรีบรับคำ พวกเขามองเมืองใหญ่อย่างตื่นตาตื่นใจไม่น้อย เกิดมาพวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเมืองใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก
หลินฉิงอันไม่ได้ตื่นเต้นเท่าน้อง ๆ นางเคยอยู่ในภพชาติที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องและรถติดกันเป็นแถว ๆ จึงไม่ได้สนใจเมืองมณฑลแห่งนี้มากนัก
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ข้าต้องรบกวนท่านช่วยเลือกตำราดี ๆ ให้น้อง ๆ สักหลายเล่มหน่อยนะเจ้าคะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเจ้าค่ะ”
“ได้สิ พวกเจ้าโชคดีนะที่ครอบครัวสนับสนุนการเรียนของพวกเจ้าได้มากขนาดนี้”
“ใช่แล้วข
ไม่นานนักจ้าวหลงก็กลับเข้ามาพร้อมอ่างล้างหน้าและผ้าสะอาดผืนหนึ่ง เขาเริ่มเช็ดหน้าให้ชายชราก่อนที่จะเช็ดไปตามลำคอและแขนของเขาเหิงอันโหวที่สลบไปเริ่มรู้สึกตัวจากผ้าเย็น ๆ ที่กำลังลูบไล้ไปตามแขนของเขาอยู่ สักพักเขาก็ได้สตินึกได้ว่ากำลังหนีศัตรูอยู่จึงสะดุ้งลุกขึ้นมาผลักจ้าวหลงออกไปอย่างแรง ด้วยพลังปราณอันสูงส่ง จ้าวหลงถึงกับกระเด็นไปชนกำแพงจนแทบจะทะลุออกนอกห้องว้าย!!!ตุ้บ!!อั่ก!จ้าวหลงที่พลังปราณน้อยกว่าถึงกับกระอักเลือดออกมา หลินอ้ายร้องตกใจเสียงดัง หลินฉางหยูเองก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาไม่คิดมาก่อนว่าเฒ่าชราคนนี้จะมีเรี่ยวแรงมากมายเช่นนี้ ส่วนหลินฉิงอันก็ได้แต่เอามือก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยใจ“เฮ้อ ท่านปู่หยุดมือก่อนเจ้าค่ะ เป็นพวกข้าที่ช่วยท่านเข้ามานอนพักที่นี่”“อะไรนะ! พวกเจ้าช่วยข้าไว้หรือ?”“ใช่เจ้าค่ะ ท่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พวกข้ากลับมาแล้วขอรับ” หลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางเดินเร็ว ๆ เข้ามาพร้อมตำราในมือ แต่พอพวกเขาเห็นเหิงอันโหวที่มองพวกเขาตาเขม็งพร้อมกับลูบเคราเบา ๆ อย่างผู้มีอำนาจบางอย่าง ทั้งสองก็รีบยืนนิ่งก่อนจะคำนับเขาอย่างนอบน้อมตามมารยาท“ขออภัยท่านผู้อาวุโสขอรับ พวกเราไม่ทราบว่าที่บ้านมีแขก”“พวกเจ้ามานั่งลงก่อน พี่ใหญ่จะแนะนำให้รู้จักกับอาจารย์คนใหม่ของพวกเจ้า”“หืม… อาจารย์อะไรหรือขอรับพี่ใหญ่” หลินฉิงเฉิงถามอย่างฉงนใจ“ผู้อาวุโสท่านนี้ชื่อผู้เฒ่าเหว่ย พี่ใหญ่เห็นพวกเจ้าฝึกฝนวรยุทธ์ท่าทางเดิมมานานหลังจากที่พี่ชายเหิงจากไป พอดีกับที่ท่านปู่มีฝีมือด้านวรยุทธ์ยอดเยี่ยม พี่ใหญ่จึงได้ขอร้องให้ท่านช่วยสอนวรยุทธ์พวกเจ้าอย่างไรเล่า”“อา… เป็นเช่นนั้นเอง คารวะท่านอาจารย์ปู่ขอรับ”หลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางรีบล
หลังออกจากร้านขายเครื่องประดับ ทั้งสามคนยังคงเดินเล่นต่อจนถึงร้านผ้า หลินอ้ายชวนพวกเขาเข้าไปเลือกผ้าเพื่อตัดชุดให้ทุกคนในบ้าน พวกเขาเลือกผ้ากันไม่นานนักก็ได้ผ้ามาหลายพับ หลินฉางหยูรับผิดชอบถือของพวกนี้อย่างมีความสุข เขาชอบที่เห็นฮูหยินนั่งเย็บเสื้อผ้าให้ตนเองและลูก ๆ นานมากแล้วที่นางไม่ได้อยู่แบบสุขสบายเช่นนี้เมื่อถึงตอนเที่ยง หลินอ้ายชวนสามีกับลูกสาวเข้าไปนั่งกินอาหารในโรงเตี๊ยมขนาดกลางแห่งหนึ่ง พวกเขาลองชิมอาหารที่นี่ก็พบว่ารสชาติอร่อยไม่น้อย หลินฉิงอันจึงสั่งใส่กล่องเพื่อนำกลับไปให้น้องชายกับคนอื่น ๆ ในจวนหลังทานกันเสร็จแล้ว หลินอ้ายจ่ายค่าอาหารทั้งหมดไปสามสิบตำลึง นับว่าเป็นค่าอาหารที่มากที่สุดที่นางเคยจ่ายมาเลยทีเดียว ระหว่างทางกลับจวน หลินฉิงอันพบร้านขายตำราขนาดเล็กจึงชวนพ่อกับแม่แวะเข้าไป นางเลือกซื้อกระดาษและพู่กันสำหรับวาดภาพในเวลาว่าง นางไม่ได้เลือกชุดหมึกและพู่กันราคาแพงมากเพราะรู้ดีว่าของพวกนี้นางไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ หลินอ้ายเห็นว่าลูกสาวอยากวาดภาพจึงสั่งกระดาษเพิ่มให้นางอีกไม่น้อย นางจ่ายค
เมื่อครอบครัวหลินกลับมาถึงจวน พวกเขาปล่อยให้หลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางเข้าไปนอนพักผ่อนให้สบายหลังจากกินอาหารบนรถม้าเสร็จ เหิงอันโหวได้รับคำยืนยันจากเด็ก ๆ ก่อนไปพักผ่อนว่าพวกเขาทำข้อสอบได้เป็นอย่างดีก็รู้สึกโล่งใจที่ความพยายามของเขาไม่เสียเปล่ามื้อเย็นวันนี้เด็กชายทั้งสองยังคงนอนพักผ่อนอยู่ คนอื่น ๆ จึงไม่มีใครไปรบกวนพวกเขา อย่างไรพรุ่งนี้เด็ก ๆ ก็คงตื่นขึ้นมาเองหลังจากพักผ่อนเพียงพอแล้ว หลินฉิงอันยังกล่าวระหว่างมื้อเย็นถึงกำหนดการเดินทางกลับอำเภอไห่ตงให้เหิงอันโหวทราบด้วย“อ่า… คนของข้ายังตามหาข้าไม่พบเลย แล้วข้าจะทำอย่างไรดีเล่า?”“ถ้าท่านปู่ไม่รังเกียจ ท่านไปพักกับเราที่ไห่ตงได้นะเจ้าคะ เพียงแต่ที่นั่นเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ข้ากลัวว่าท่านปู่จะไม่ได้อยู่ในจวนใหญ่ ๆ เช่นนี้”“เพ้ย! ข้ามีหรือจะรังเกียจอันใด แค่พวกเจ้ามีน้ำใจดูแลข้ามาตลอด ข้าก็เกรงใจมากแล้ว ข้าแค่กลัวพวกเจ้าจะรังเกียจข้าต่างหากเล่า”
บ้านหลินกลับถึงจวนแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง หลินอ้ายกับหลินฉิงอันช่วยกันทำอาหารเพื่อเลี้ยงฉลองให้หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยาง เด็กทั้งสองวิ่งไปที่จวนอาจารย์เพื่อบอกข่าวดีและเชิญมาร่วมฉลองด้วย หลินฉางหยูไปบอกข่าวดีกับเหิงอันโหวพร้อมกับเชิญมาร่วมทานอาหารในตอนเที่ยงอาจารย์เผยกับอาจารย์คนอื่น ๆ พอรู้ว่าลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของโรงเรียนสอบผ่านด้วยอันดับที่สูงที่สุดเท่าที่โรงเรียนเคยส่งศิษย์เข้าสอบก็ดีใจมาก พวกเขาให้คนขับรถม้าพาศิษย์คนอื่นไปดูผลการสอบทันที จากที่คิดจะให้ออกไปสายกว่านี้หน่อย“อาจารย์ดีใจกับพวกเจ้าด้วย มื้อเที่ยงพวกเจ้าก็ฉลองกันในครอบครัวเถอะ อาจารย์ต้องรอผลสอบของพี่ ๆ พวกเจ้าทั้งหมดเสียก่อนน่ะ”“ตกลงขอรับอาจารย์ ถ้าท่านมีสิ่งใดจะเรียกใช้ ท่านบอกพวกข้าได้นะขอรับ”“อืม… ตกลง พวกเจ้าอย่าลืมไปรับใบรับรองที่ศาลาว่าการเมืองด้วยเล่า”“ขอรับอาจารย์ พรุ่งนี
หลินฉิงเฉิงกับหลินฉางหยูจำต้องลงจากรถม้าไปเข้าร่วมกับรุ่นพี่ที่สอบผ่านตามธรรมเนียม เพราะเมืองไห่ตงเป็นเมืองเล็ก ๆ เจ้าเมืองจึงจัดให้มีการฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเชิดชูบัณฑิตของเมืองที่สอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินขบวนรถม้าบ้านหลินเดินทางไปยังจวนในอำเภอเพื่อนำของฝากไปให้กับบ่าวทั้งสี่คน ก่อนที่จะนำของฝากอีกส่วนหนึ่งไปให้กับหวังไห่และคนอื่น ๆ ที่ร้านค้าต่อ วันนี้ลูกค้าก็ยังคงมีจำนวนมากเหมือนเช่นทุกครั้ง พวกเขาจึงเข้าประตูด้านข้างร้านแทนที่จะเข้าด้านหน้า หลังจากส่งของฝากให้และสั่งความกับหวังไห่เสร็จ จ้าวหลงขับรถม้าไปยังจวนเพื่อรอนายน้อยทั้งสอง ส่วนเหิงอันโหวเปลี่ยนไปนั่งรถม้าที่ชุนจินขับเพื่อกลับไปรอหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางที่หมู่บ้านต้าไห่ก่อนเข้าบ้านที่ต้าไห่ หลินฉางหยูแวะส่งข่าวดีให้ผู้ใหญ่บ้านหลี่ทราบว่าลูกชายทั้งสองของเขาสอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินแล้ว พวกเขาจะจัดงานเลี้ยงพรุ่งนี้ช่วงเย็น เขาจึงขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยประกาศให้ชาวบ้านทราบเพื่อมาร่วมสนุกกันเหิงอันโหวมองดูหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เ
หนึ่งชั่วยามต่อมา จ้าวหลงพาหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางกลับมาจากอำเภอ พวกเขารีบเข้าไปกินข้าวเที่ยงที่เลยเวลามามากแล้ว เหิงอันโหวที่ไม่รู้จะทำสิ่งใดพอเห็นลูกศิษย์ตัวน้อยทั้งสองมาถึงก็ดีใจนัก หลังอาหารเขาจึงชวนเด็ก ๆ ขึ้นเขาไปหาของป่าเพื่อผ่อนคลายหลังการสอบหลินฉิงอันเป็นห่วงน้อง ๆ นางจึงชวนจ้าวหลงขึ้นเขาไปด้วยกัน หลินอ้ายเห็นว่ามีผู้ใหญ่ไปด้วยนางจึงไม่คิดมากอันใด ส่วนหลินฉางหยูก็ไปช่วยงานภรรยาทำผลไม้แช่อิ่มกับเหล่าบ่าวไพร่ที่เหลือระหว่างทางขึ้นเขา เหิงอันโหวยังสอนวิธีดูสมุนไพรมีค่าต่าง ๆ ให้กับลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้เดินทางเร็วนักแต่คอยมองหาของป่าและสมุนไพรไปพลาง ๆ หลินฉิงอันมองเหิงอันโหวอย่างสงสัยในใจ นางพอจะรู้ว่าเฒ่าชราคนนี้มีความรู้ในตำราและวรยุทธ์สูงส่ง แต่คราวนี้เขากลับยังมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและของป่าไม่น้อยด้วย หลินฉิงอันได้แต่คิดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงรอบรู้ยิ่งกว่าใครที่นางเคยรู้จักมาก่อนในภพนี้เสียอีกทั้งห้าคนเดินไปจนกระทั่งถึงป่าผลไม้ซึ
เมื่อกลับไปถึงบ้าน หลินฉิงอันไปปรึกษากับหลินฉางหยูว่านางจะหาผลไม้เพิ่มได้จากที่ใดก่อนจะถึงหน้าหนาว เพราะอย่างน้อยหากหาได้ทัน นางก็สามารถเตรียมผลไม้แช่อิ่มเป็นเสบียงหน้าหนาวได้จำนวนมาก เหิงอันโหวที่ได้ยินเข้าก็ไปนั่งฟังว่าหลินฉางหยูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร“ลูกต้องการผลไม้แบบใดบ้างเล่า อันเออร์”“อืม… ข้าอยากได้ผลไม้รสเปรี้ยวที่ชาวบ้านไม่กินกันเหมือนที่เราเก็บมาได้เจ้าค่ะ เพราะหากนำผลไม้รสหวานมาทำก็คงได้ไม่คุ้มเสียเป็นแน่”“เช่นนั้นเราคงต้องไปสอบถามตามหมู่บ้านอื่นกระมังลูก พ่อไม่แน่ใจว่าจะมีชาวบ้านคนไหนเคยพบผลไม้แบบนี้บ้างหรือเปล่า”“เหตุใดพวกเจ้าไม่ลองเดินทางไปทางใต้สักหน่อยเล่า แถวนั้นข้าคิดว่าน่าจะมีผลไม้พวกนี้อยู่เป็นจำนวนมาก”“ท่านปู่รู้หรือเจ้าคะ ว่าผลไม้พวกนี้มีมากแถบใด”“ก็พอรู้อยู่บ้างล่ะนะ เพียงแต่ว่าจะมีคนเก็บมาขายพวกเจ้
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน
หลังจากทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เสนาบดีเซี่ยที่อยากพักที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่าจะกลับไปพักในเมืองไห่ตง เขาจึงลองสอบถามหลินฉิงอันที่เป็นผู้ตัดสินใจแทนครอบครัวหลินจากที่เขาสังเกตมาตลอดก่อนหน้านี้“หากพวกข้าอยากพักที่นี่ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่คุณหนูหลิน”“ท่านเสนาบดีแน่ใจหรือเจ้าคะ บ้านข้าคับแคบ อาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาในครั้งนี้ได้น่ะเจ้าค่ะ”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ทหารไปตัดไม้บนเขามาสร้างที่พักชั่วคราวเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเจ้าพอจะมีที่ว่างให้พวกเขาสร้างที่พักหรือไม่”“ที่ว่างมีอยู่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็สามารถสร้างที่พักชั่วคราวในที่ดินฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่มได้เจ้าค่ะ ที่นั่นยังมีพี่ว่าอยู่อีกมาก”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวข้าจะให้ทหารไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเจ้าเอง อย่างไรฝ่าบาทก็มอบเงินจำนวนหนึ่ง
ขบวนของเสนาบดีเซี่ยหยุดลงที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เขาลงมาพร้อมกับราชโองการในมือ ส่วนขุนนางอีกสี่คนก็ถือถาดสิ่งของต่าง ๆ สำหรับรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นพิเศษเจ้าเมืองเติ้งเห็นดังนั้นก็รีบประกาศเสียงดังให้ทุกคนคุกเข่าเตรียมรับราชโองการที่เสนาบดีเซี่ยกำลังจะประกาศเสนาบดีเซี่ยเดินมายังด้านหน้าขบวนที่ตอนนี้คนในตระกูลหลินกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งสี่ที่เดินตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มบาง“หลินฉิงอัน รับราชโองการ ด้วยพรจากสวรรค์ทำให้แคว้นหมิงได้รับผู้มีความสามารถในการทำผลไม้แช่อิ่มดั่งเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถทำงานช่วยเหลือแคว้นและราษฎรได้อย่างราบรื่น ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นที่ปรึกษาพิเศษกรมเกษตร รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลไม้แช่อิ่มและความรู้อื่น ๆ เพื่อพัฒนาแคว้นสืบไป จบราชโองการ”หลินฉิงอันไม่คิดว่าตนเองจู่ ๆ จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางรีบขานรับราชโองการแ
ขบวนเดินทางของเสนาบดีเซี่ยเดินทางถึงเมืองไห่ตงในหนึ่งเดือนต่อมา เจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวจากม้าเร็วของขบวนรีบออกมารอต้อนรับยังหน้าประตูเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเห็นขบวนขุนนางใหญ่มาก่อน พวกเขาต่างมามุงดูกันว่าเป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใด ยิ่งเห็นเจ้าเมืองเติ้งพินอบพิเทาตั้งแต่คนบนรถม้ายังไม่ลงมาเสียด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยิ่งให้ความสนใจเสนาบดีเซี่ยไม่ได้ลงจากรถม้าจนกระทั่งเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองที่เตรียมห้องพักสำหรับขบวนคนที่มาจำนวนมากในครั้งนี้“เชิญท่านเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายเข้าพักที่จวนซอมซ่อของข้าน้อยก่อนขอรับ”“เจ้านำทางไปเถอะ ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้เจ้านำทางพวกข้าไปยังหมู่บ้านต้าไห่ด้วยก็แล้วกัน พวกข้ายังมีงานต้องทำอีกมาก”“ขอรับ ๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ”องครักษ์ทั้ง 100 คนที่เดินทางมากับขบวนเสนาบดีต่างแยกกันไปพักยังอีกจวนหนึ่งที่ว่างอยู่ในเมือง โดยมีพ่อบ้านในจวนเจ้าเมืองเป็นผู้ต้อนรับ
ฮองเฮาที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น พระนางรู้ดีว่าพระสนมกุ้ยเฟยมีอิทธิพลมากแค่ไหน ยิ่งฝ่าบาทไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พระนางก็หวาดเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยจะสร้างเรื่องจนทำให้วังหลังปั่นป่วนฮ่องเต้เห็นฮองเฮาสีหน้าผิดปกติไป พระองค์จึงโอบฮองเฮาเข้ามากอดเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง พร้อมกับกระซิบบอกพระนางให้อย่าคิดมาก“เสด็จพี่จะไม่ให้น้องคิดมาได้อย่างไรเพคะ หากกุ้ยเฟยก่อเรื่องหนักกว่านี้จนวังหลังระส่ำระสาย น้องจะทำเช่นไร? เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่านางเป็นเช่นไร”“หากนางสร้างเรื่องทำให้เจ้าหนักใจ เจ้าก็เพียงแค่ลงโทษนางตามกฎของวังหลังเสีย เรื่องอื่นหลังจากนั้นเจ้าอย่าได้กังวล พี่จะให้คนของพี่มาคอยปกป้องพวกเจ้าอย่างลับ ๆ”“เสด็จพี่ก็ทราบว่าพ่อของนางมีหรือจะยอมจบเรื่องง่าย ๆ หากข้าลงโทษนาง”“เฮ้อ น้องหญิง เจ้าเชื่อใจพี่ได้หรือไม่ ถึงแม้เสนาบดีควนจะมีอิทธิพลมากก็ตาม แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าสามีของเจ้าเป็นถ
เซี่ยเซี่ยวมิ่ง ฮองเฮาแคว้นหมิง พระนางเป็นพระชายาเอกตั้งแต่สมัยที่ฮ่องเต้หมิงอู่ยังเป็นรัชทายาท ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวองค์ชายใหญ่ หมิงเทียน ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของบุตรชายคนโตของพระนางเสื่อมเสีย ตอนนี้นางยิ่งเป็นห่วงบุตรชายคนรอง หมิงเฉิงและบุตรสาว หมิงจู มากขึ้น นางกลัวว่าศัตรูจะใช้แผนการสกปรกทำลายชื่อเสียงของพวกเขาอีกองค์ชายใหญ่หมิงเทียนได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้หยุดงานสอนและอยู่ในวังไปก่อนเพื่อความปลอดภัย พระองค์กำลังสืบเรื่องราวทั้งหมดและหาผู้บงการ วันนี้พระองค์จึงมาอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮา แต่พอเห็นหน้าตาอมทุกข์ของเสด็จแม่ตนเองเช่นนี้ พระองค์ก็ได้แต่กล่าวปลอบพระนางเท่านั้น“เสด็จแม่อย่ากังวลเรื่องชื่อเสียงของลูกเลยพะย่ะค่ะ ลูกมั่นใจว่าเสด็จพ่อจะต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกได้”“เจ้าจะไม่ให้แม่เป็นห่วงพวกเจ้าได้อย่างไร กว่าแม่จะประคับประคองพวกเจ้าให้ยังมีชีวิตรอดจากศัตรูในที่มืดมาตลอดหลายปีได้ แต่จู่ ๆ เจ้ากลับถูกทำลายชื่อเสียงเช่นนี้ แม่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะทำลายชื่อ
กว่าที่ควนจุ้ยจือจะรู้เรื่องราชโองการของสำนักศึกษาหลวง เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้แล้ว ยิ่งคิดควนจุ้ยจือยิ่งโกรธแค้นฮ่องเต้ที่ขัดขวางแผนการสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์ชายใหญ่ ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดราชโองการจึงออกมาในช่วงก่อนหน้าที่เขาจะปล่อยข่าวลือเสียหายให้องค์ชายใหญ่ควนจุ้ยจือเชื่อว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในตำหนักลูกสาวของเขาแน่ เพียงแต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใครเท่านั้น เขารู้ดีว่าหูตาของฮ่องเต้ในวังหลังมีไม่น้อย แต่การจะกำจัดคนพวกนั้นก็ไม่ง่ายเลยจริง ๆช่วง 7 วันที่ผ่านมา ชาวเมืองต่างเห็นถึงความสามารถขององค์ชายใหญ่ที่ได้เป็นถึงอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งนักเรียนในสำนักศึกษาต่างชื่นชมพระองค์เป็นอย่างมากว่าใส่ใจสั่งสอนพวกเขาเป็นอย่างดี และให้คำแนะนำที่พวกเขาไม่เข้าใจในตำราอยู่บ่อย ๆ ชื่อเสียงที่ดีขององค์ชายใหญ่ทำให้ควนจุ้ยจือกับกุ้ยเฟยได้แต่เค่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห“ท่านพ่อจะปล่อยให้องค์ชายใหญ่เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองไม่ได้นะเจ้าคะ”