หลินฉิงอันไม่เสียเวลา นางรีบสะพายตะกร้าสานที่มีสายรัดแข็งแรง พร้อมเตรียมมีดเล่มเล็กไว้ใช้สำหรับตัดสมุนไพรหรือผลไม้ป่า นางสวมรองเท้าผ้าเรียบง่ายที่เหมาะสำหรับเดินทางไกล และผูกผ้าคลุมไหล่กันแดดกันลม
เมื่อทุกอย่างพร้อม นางมุ่งหน้าสู่เนินเขาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน
หลินฉางหยูมองตามลูกสาวจนลับสายตา จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบรถเข็นของตนเองอย่างละเอียด เขาหมอบลงใกล้ล้อรถเข็นที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง ใช้มือสัมผัสตรวจดูความมั่นคงของแกนล้อ
"ต้องแน่ใจว่ารถเข็นนี้ใช้งานได้ดีทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นปลาที่เราหามาอย่างลำบากจะเสียหายได้ง่าย ๆ" เขาพึมพำกับตนเอง
ทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นและพุ่มไม้สูง หลินฉิงอันเดินไปตามทางเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านใช้เดินผ่านในยามต้องการเก็บของป่า ตลอดทางเสียงนกร้องและสายลมเย็นพัดผ่านทำให้นางรู้สึกสดชื่น
"วันนี้ลมเย็นดีจริง หากโชคดีอาจจะพบผลหมากรากไม้ดี ๆ หรือสมุนไพรที่ขายได้ราคาก็เป็นได้" นางพูดกับตัวเองอย่างรื่
ยามฟ้าสาง หลินฉิงอันกับหลินฉางหยูเข็นรถปลาที่มัดไว้เรียบร้อยด้วยตาข่ายก้าวออกจากบ้าน แม้จะยังคงมีสายลมเย็นแห่งรุ่งเช้าพัดผ่าน แต่บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความคึกคักของการทำงานอย่างตั้งใจทำให้สองพ่อลูกมีพลังเต็มเปี่ยม การเดินทางครั้งนี้ไม่มีการหลบเลี่ยงหรืออ้อมไปทางใดอีก ชาวบ้านในตำบลต่างรับรู้แล้วว่าครอบครัวหลินมีสัญญาส่งปลากับโรงเตี๊ยมไห่ถังเสียงล้อรถเข็นกระทบกับทางดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หลินฉิงอันเดินอยู่ข้างหน้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจและความกระตือรือร้น ขณะที่หลินฉางหยูเดินตามหลังพร้อมมือที่จับคันรถแน่น“ลูกพ่อ หากเราขยันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานความเป็นอยู่ของเราจะดีขึ้นแน่ ๆ” หลินฉางหยูเอ่ยพลางยิ้มให้ลูกสาวหลินฉิงอันพยักหน้ารับพลางหันมายิ้ม “ข้าเองก็เชื่อเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านพ่อ เราต้องตอบแทนเถ้าแก่หลิวให้ดีที่สุด เพราะเขาให้โอกาสเราขายปลา”เมื่อถึงหน้าโรงเตี๊ยมไห่ถังในยามฟ้ายังมืด เสี่ยวเอ้อที่เฝ้าประตูยิ้มต้อนรับสองพ่
ชาวบ้านหันมามองหลินฉางหยู ก่อนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว หลินฉางหยู! พวกเขาได้รับเงินจากผู้ใหญ่บ้านและถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อวาน ข้าเห็นด้วยตาตัวเองว่าพวกเขาเก็บข้าวของออกไปทางทิศตะวันตก”หลินฉางหยูได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งอก“หากเป็นจริงเช่นนี้ หมู่บ้านของพวกเราคงสงบสุขขึ้นได้เสียที”เมื่อหลินฉางหยูกลับมาถึงบ้าน เขาเล่าเรื่องที่ได้ยินจากชาวบ้านให้หลินฉิงอันฟัง นางกำลังจัดผลไม้ป่าที่เก็บมาได้จากการขึ้นเขาไว้ในตะกร้าเตรียมขายที่ตลาด“ลูกเอ๋ย! พ่อมีข่าวดีมาบอก เมื่อเช้านี้ข้าได้ยินจากชาวบ้านว่าตระกูลจูตกลงย้ายออกไปจากหมู่บ้านแล้ว!” หลินฉางหยูพูดพร้อมสีหน้าสดใสหลินฉิงอันที่กำลังวางผลไม้ชะงักไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองบิดา ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเจ้าคะ?
ในยามอิ๋น (ตีสามถึงตีห้า) ซึ่งฟ้ายังมืดสนิท หลินฉิงอันและหลินฉางหยูตื่นจากที่นอนด้วยความกระตือรือร้น หลังล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจุดตะเกียงก่อนมุ่งหน้าสู่บ่อพักปลาที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาด ๆ“วันนี้เรามีเวลาไม่มาก ต้องรีบจับปลาให้ครบสองร้อยตัวก่อนพระอาทิตย์ขึ้น” หลินฉางหยูพูดพร้อมยกถังน้ำไปวางข้างบ่อหลินฉิงอันพยักหน้า “ข้าจะช่วยท่านพ่อจับปลาให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ”นางพูดพร้อมสะพายตะกร้าแล้วค่อย ๆ ใช้กระชอนช้อนปลาขึ้นมาทีละตัวด้วยความระมัดระวังไม่ช้าปลาสด ๆ ก็กระโดดโลดเต้นอยู่ในตะกร้าหลายใบที่วางเรียงกันไว้บนรถเข็น หลินฉางหยูช่วยลูกสาวจัดเรียงตะกร้าอย่างแน่นหนาเพื่อให้รถเข็นสมดุล“ครบสองร้อยตัวพอดี นี่ก็นับว่าเร็วมาก” หลินฉางหยูพูดพลางยิ้มหลินอ้ายมารดาของหลินฉิงอันที่ตื่นเช้าเช่นกัน ได้เตรียมซาลาเปาร้อน ๆ และกระบอกน้ำไว้ให้สองพ่อลูกกินระหว่างเดินทางเข้าอำ
วันต่อมาระหว่างกินอาหารเช้า หลินฉิงอันพูดถึงเรื่องการสร้างบ้านใหม่กับครอบครัว“ตอนนี้พวกเรามีเงินมากพอจะทำบ้านก่อนหน้าหนาวหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”“หืม… ลูกอยากสร้างก่อนหน้าหนาวนี้หรือ?”“เจ้าค่ะ ข้าอยากสร้างเตียงเตาในบ้านใหม่ด้วยเจ้าค่ะ น้อง ๆ จะได้ไม่ต้องทนหนาวเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา”“เตียงเตาคืออะไรหรือ? เหตุใดพ่อไม่เคยได้ยินมาก่อน”“เตียงเตาเป็นเตียงอุ่นที่ใช้ถ่านหรือฟืนให้ความร้อนใต้เตียงเจ้าค่ะ เมื่อมีไฟร้อนด้านล่าง เตียงที่เรานอนก็จะอบอุ่นขึ้นเจ้าค่ะ”“ดีเช่นนั้นเลยหรือลูก? ตั้งแต่เกิดมาแม่ไม่เคยได้ยินเรื่องเตียงเตามาก่อนเลยนะ”“เอ่อ… เรื่องนี้ข้าได้ยินมาจากบ่าวรับใช้ในอำเภอที่เคยมาซื้อของกับข้านานแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ พวกเศรษฐีเขาใช้เตียงเตาในหน้าหนาวกันเจ้าค่ะ”
หลังจากหลินฉิงอันและหลินฉางหยูกลับถึงบ้านในช่วงเย็น ทั้งสองเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนในครอบครัวฟัง หลินฉางหยาง หลินฉิงเฉิง และหลินอ้าย ต่างก็ยินดีที่ผู้ใหญ่บ้านหลี่รับปากจะช่วยเหลือจัดหาช่างและคนงานมาสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับครอบครัว พวกเขาพูดคุยกันถึงอนาคตที่กำลังจะดีขึ้นด้วยความตื่นเต้น และแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาในบ้านใหม่"พี่ใหญ่ บ้านใหม่ของเราจะมีห้องครัวกว้างกว่าเดิมใช่หรือไม่ขอรับ?" หลินฉิงเฉิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังหลินฉิงอันยิ้มบาง"แน่นอน น้องรอง ห้องครัวจะกว้างขวางและสะอาดกว่าที่เราใช้อยู่ในตอนนี้ ข้าตั้งใจจะให้มีที่วางของต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบมากขึ้นด้วย"หลินอ้ายหัวเราะเบา ๆ"เช่นนั้น แม่คงต้องปรับตัวให้ชินกับครัวใหม่เสียแล้ว แม่จะได้ทำอาหารสะดวกมากยิ่งขึ้น"รุ่งอรุณของวันถัดมา ผู้ใหญ่บ้านหลี่จื่อเฉิงตื่นแต่เช้า หลังดื่มชาจีนอุ่นๆ กับฮูหยินแล้ว
หลังจากตระกูลจูถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ตัดสินใจหลบความอับอายโดยไม่ยอมเสียเงินซื้อบ้านใหม่ พวกเขาพากันย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเช่าเก่า ๆ แห่งหนึ่งในอำเภอ ที่เช่าให้จูไห่เฟิง หลานชายผู้ไร้ประโยชน์การย้ายบ้านครั้งนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ แม่เฒ่าจูที่เคยใช้ชีวิตสุขสบายเริ่มบ่นพึมพำตลอดทาง “เราต้องมาอยู่ในบ้านเช่าโทรม ๆ แบบนี้เพราะใคร? เพราะเจ้าหลินฉางหยูนั่นแหละ! หากเขายอมยกเงินที่ได้จากการขายปลามาให้เราบ้าง คงไม่ลำบากถึงเพียงนี้!”ส่วนจูฉางไห่ที่พยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ เดินตามแม่ของตนอย่างเงียบ ๆ แม้ในใจจะรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นผลมาจากการกระทำของเขาเองหลังย้ายเข้าไปในบ้านเช่าได้ไม่กี่วัน เถ้าแก่หลิว ผู้ว่าจ้างของจูฉางไห่ได้ยินเรื่องวุ่นวายของตระกูลจู เขารู้สึกว่าการปล่อยให้จูฉางไห่ทำงานต่อไปอาจส่งผลเสียต่อร้านค้า เขาจึงเรียกจูฉางไห่มาต่อว่าพร้อมกับไล่ออกทันที“จูฉางไห่! ข้าอดทนต่อเจ้ามานานแล้ว เรื่องที่เจ้าแอบนำของในร้านไปขายเอง ข้ารู้แ
บรรยากาศในบ้านเช่าคืนนี้ไม่เคร่งเครียดเหมือนที่ผ่านมาอีก พวกเขาได้แต่วาดฝันว่าตนเองจะร่ำรวยเหมือนเถ้าแก่คนอื่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าการค้าขายไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครคิดจะทำก็ทำได้ หากไม่รู้วิธีการลงทุนให้น้อยแต่ขายให้มาก อย่างไรร้านค้าก็คงไปไม่รอดแน่แม่เฒ่าจูเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน นางเพียงคิดง่าย ๆ ว่าลูกชายของนางมีประสบการณ์ในร้านค้า จึงคิดว่าเขากับหลานชายน่าจะทำกำไรได้อย่างแน่นอนเที่ยงวันต่อมา จูฉางไห่กลับมาบ้านเช่าและบอกให้แม่เขานำเงินมา 45 ตำลึง เขาจะไปซื้อร้านเป็นชื่อของตนเอง ความจริงร้านเล็กๆ นั่นราคา 50 ตำลึง แต่จูฉางไห่ต่อรองกับเจ้าของเดิมจนเขาลดราคาให้ เพราะถึงอย่างไรทำเลร้านนี้ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรแม่เฒ่าจูส่งเงินให้ลูกชายไปซื้อร้าน ส่วนเรื่องสินค้าในร้านนางก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินอีกมากเพียงใด ถึงแม้จะเสียดายเงินก้อนนี้มากแค่ไหน แต่เมื่อนางนึกถึงความร่ำรวยในอนาคต นางก็กัดฟันจ่ายมันออกไปจนได้จูฉางไห่จัดการเรื่องซื้อร้านเสร็จก่อนเวลาอาหาร
“หากข้าสามารถทำให้เถ้าแก่หลิวเลิกซื้อปลาจากหลินฉางหยูได้ การค้าของมันก็ต้องพังพินาศ! พวกมันจะต้องพบกับความอับจน ความอดอยาก และความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับพวกเรา!”จูฉางไห่คิดอย่างมุ่งร้าย ความพยาบาทครอบงำจิตใจของเขาจนหมดสิ้นเขาจึงเริ่มดำเนินการตามแผน โดยเริ่มจากการปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับปลาของหลินฉางหยู แพร่กระจายไปทั่วตลาด ราวกับเชื้อไฟที่ลามทุ่ง เขาใช้คำพูดที่ดูเหมือนหวังดี แต่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย เพื่อให้ผู้คนหลงเชื่อ“ข้าได้ยินมาว่าปลาของหลินฉางหยูเลี้ยงในบ่อที่ไม่สะอาด ทำให้ปลาเป็นโรค เนื้อปลาจึงมีรสชาติแปลกประหลาด บางคนกินเข้าไปก็ท้องเสีย”จูฉางไห่กระซิบกระซาบกับชาวบ้านในตลาด ทำทีเป็นหวังดี อยากให้ทุกคนระวัง“จริงหรือ? เช่นนั้นเราก็ต้องระวังอย่าซื้อปลาจากเขา”ชาวบ้านตอบด้วยความกังวล เริ่มลังเลที่จะซื้อปลาจากหลินฉางหยูข่าวล
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค
หลินฉิงอันเดินทางไปขายเก๋ากี้ทั้งหมดที่ร้านขายยาก่อน วันนี้นางได้รับเงินมากถึง 20 ตำลึง จากจำนวนเก๋ากี้ที่ทุกคนช่วยกันเก็บได้เมื่อวานนี้ นางยังบอกเถ้าแก่ด้วยว่าช่วงหน้าหนาวนางคงไม่ได้มาส่งอีก ก่อนที่หลินฉิงอันจะให้ชุนจินพาไปยังร้านขายผลไม้แช่อิ่มเพื่อนำผลไม้แช่อิ่มทั้ง 30 กระสอบไปส่งเมื่อไปถึงหน้าร้านนางก็เห็นมีลูกค้าบ้างประปราย หลินฉิงอันจึงให้ชุนจินขับเกวียนเข้าไปด้านข้างร้านเพื่อลงของแทน หลี่หมิงที่ตาไวเห็นคุณหนูของเขามาถึงจึงบอกกับหวังไห่ทันที หวังไห่จึงปล่อยให้คนอื่น ๆ เฝ้าร้านแทนและนำสมุดบัญชีไปส่งให้หลินฉิงอันตรวจสอบระหว่างที่จ้าวหลงกับชุนจินช่วยกันยกกระสอบผลไม้แช่อิ่มเข้าไปเก็บไว้ในคลังของร้าน หลินฉิงอันก็นั่งตรวจดูบัญชีย้อนหลัง นางพบว่าการค้าถึงแม้จะไม่เฟื่องฟูเท่ากับช่วงแรก ๆ แต่ก็นับว่าได้กำไรไม่น้อยเช่นเคย“พี่ชายหวัง ข้าตรวจสอบเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมลงจำนวนผลไม้แช่อิ่มที่นำมาครั้งนี้อีก 30 กระสอบด้วยนะเจ้าคะ”“ขอรับ
สิบวันต่อมา เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่เตรียมฎีกาต่าง ๆ เพื่อถวายให้กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากหลินฉิงอันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปบอกลาเหิงอันโหวก่อนจะเดินทางกลับในเวลาต่อมาก่อนที่พวกเขาจะกลับไป หลินฉิงอันยังมอบผลไม้แช่อิ่มให้พวกเขานำกลับไปด้วยถึงสิบกระสอบเพื่อกินระหว่างทางและนำไปฝากครอบครัวด้วย ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็นำเกาลัดคั่วที่พวกเขาทำมอบให้ไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน เสนาบดีหลี่รู้ว่าพวกชาวบ้านนำสิ่งของเหล่านี้ไปขายในเมืองกันนานแล้ว ท่านจึงมอบเงินให้กับผู้ใหญ่บ้านหลี่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเป็นการตอบแทนเจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวว่าเสนาบดีเซี่ยกำลังจะเดินทางกลับก็มาส่งพวกเขาออกจากหมู่บ้านต้าไห่เช่นเดียวกัน เสนาบดีเซี่ยยังกล่าวอีกว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการคำแนะนำจากหลินฉิงอัน เขาจะส่งม้าเร็วมาส่งข่าวให้ถึงหมู่บ้านต้าไห่หลินฉิงอันที่วันนี้แต่งตัวด้วยชุดขุนนางเต็มยศรับปากว่านางจะรอและยังส่งมอบเอกสารเรื่องการปรับปรุงน้ำเพื่อให้เข้าถึงพื้นที่เ
สายวันต่อมา หลินฉิงอันนำเอกสารทั้งหมดที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปให้กับเสนาบดีเซี่ยตรวจสอบดู เนื้อหาภายในอธิบายถึงวิธีการปรับปรุงดินแบบต่าง ๆ ตามลักษณะดินที่เสนาบดีเซี่ยบอกหลินฉิงอันเอาไว้เมื่อวานนี้ โดยนางได้แบ่งเนื้อหาให้แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ดินเหนียวนั้นนางให้ข้อแนะนำในการปรับปรุงโดยให้เติมทราย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษใบไม้เพื่อทำให้ดินมีการระบายน้ำได้ดีขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือการปลูกพืชหมุนเวียนเช่นพืชตระกูลถั่วสลับกับพืชหลักเพื่อปรับปรุง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าวิธีการแรกที่นางแนะนำดินทราย หลินฉิงอันแนะนำให้ปรับปรุงดินโดยการเติมดินเหนียว ปุ๋ยหรือเศษใบไม้เพื่อให้ดินมีความหนาแน่นมากขึ้นและอุ้มน้ำได้ รวมถึงการปลูกพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของดินทรายได้อีกด้วยดินกรด ให้ปรับปรุงดินโดยการเติมปูนขาวหรือปุ๋ยเพื่อให้ดินมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักได้ ซึ่งปูนขาวจะช่วยปรับค่าความเป็นกรดในดินให้ลดลงดินเค็ม ให้ปรับปรุงดินโดยการล้างดินให้สะอา
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน
หลังจากทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เสนาบดีเซี่ยที่อยากพักที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่าจะกลับไปพักในเมืองไห่ตง เขาจึงลองสอบถามหลินฉิงอันที่เป็นผู้ตัดสินใจแทนครอบครัวหลินจากที่เขาสังเกตมาตลอดก่อนหน้านี้“หากพวกข้าอยากพักที่นี่ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่คุณหนูหลิน”“ท่านเสนาบดีแน่ใจหรือเจ้าคะ บ้านข้าคับแคบ อาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาในครั้งนี้ได้น่ะเจ้าค่ะ”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ทหารไปตัดไม้บนเขามาสร้างที่พักชั่วคราวเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเจ้าพอจะมีที่ว่างให้พวกเขาสร้างที่พักหรือไม่”“ที่ว่างมีอยู่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็สามารถสร้างที่พักชั่วคราวในที่ดินฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่มได้เจ้าค่ะ ที่นั่นยังมีพี่ว่าอยู่อีกมาก”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวข้าจะให้ทหารไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเจ้าเอง อย่างไรฝ่าบาทก็มอบเงินจำนวนหนึ่ง
ขบวนของเสนาบดีเซี่ยหยุดลงที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เขาลงมาพร้อมกับราชโองการในมือ ส่วนขุนนางอีกสี่คนก็ถือถาดสิ่งของต่าง ๆ สำหรับรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นพิเศษเจ้าเมืองเติ้งเห็นดังนั้นก็รีบประกาศเสียงดังให้ทุกคนคุกเข่าเตรียมรับราชโองการที่เสนาบดีเซี่ยกำลังจะประกาศเสนาบดีเซี่ยเดินมายังด้านหน้าขบวนที่ตอนนี้คนในตระกูลหลินกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งสี่ที่เดินตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มบาง“หลินฉิงอัน รับราชโองการ ด้วยพรจากสวรรค์ทำให้แคว้นหมิงได้รับผู้มีความสามารถในการทำผลไม้แช่อิ่มดั่งเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถทำงานช่วยเหลือแคว้นและราษฎรได้อย่างราบรื่น ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นที่ปรึกษาพิเศษกรมเกษตร รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลไม้แช่อิ่มและความรู้อื่น ๆ เพื่อพัฒนาแคว้นสืบไป จบราชโองการ”หลินฉิงอันไม่คิดว่าตนเองจู่ ๆ จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางรีบขานรับราชโองการแ