ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด
ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้
เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจ
คมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแหวกทางจนมันพากันร่วงสู่ผืนดิน สายตาของเขายังคงจับจ้องร่างเล็กที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความอ่อนแรง เขาเร่งควบม้าเข้าไปหานาง หัวใจเต้นระรัวด้วยความกลัว เมื่อถึงที่หมายเขารีบกระโจนลงจากม้าเข้าไปช้อนร่างเล็กของนางไว้ นางเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ดวงตาที่อ่อนล้าพยายามจ้องมองเขา แววตาที่เคยสดใสตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนแรงและเจ็บปวด นางพยายามคลี่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้เขานั่นคือรอยยิ้มสุดท้ายและเขายังจำมันได้ดี รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่ในใจเขา แม้ร่างของนางจะไร้ชีวิตไปแล้ว
เขาอุ้มร่างที่ไร้ชีวิตของนางขึ้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ หัวใจของเขาแตกสลายกับการสูญเสียนางผู้เป็นที่รักที่เขาหมายมั่นและเฝ้ารอมานาน
ยามที่สวีเสวียนหนานอุ้มร่างไร้วิญญาณของนางกลับมาที่จวนของเขา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ส่วนคนพวกนั้นกลับอยู่อย่างมีความสุขที่จวนของนาง ตระกูลที่ล่มสลายถูกยึดมาเป็นของตัวเองอย่างหน้าด้าน ๆ ใจเขาร้อนรุ่มดั่งไฟ คิดจะเข้าไปสังหารคนพวกนั้นให้ตายกับมือ
เมื่อเขาทำพิธีศพของนาง บุรุษไร้ยางอายกับสตรีชั่วช้ายังคงเสพสุขกันอย่างไม่กลัวเวรกรรมตามสนอง ภาพที่เห็นทำให้ความแค้นในใจของเขาเพิ่มขึ้นทวีคูณ เขาต้องการให้พวกมันได้รับผลกรรมที่สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำไว้กับนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เขาอยากฆ่าพวกมันให้ตายไปเสียแต่ตอนนี้ แต่ทำแบบนั้นพวกมันจะตายง่ายเกินไป เขาต้องการให้พวกมันรู้สึกถึงความทรมานที่นางต้องเผชิญ ต้องการให้พวกมันลิ้มรสความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอย่างช้า ๆ และยาวนาน
และวันนั้นก็มาถึง..จากแผนการที่วางไว้อย่างรัดกุม
วันหนึ่ง เมื่อบุรุษชั่วนั่นออกไปข้างนอก สวีเสวียนหนานก็ให้คนจัดการนำธูปราคะเข้ามาจุดยังห้องนอนของมัน ในเรือนนอกจากสาวใช้ไม่กี่คนกลับมีบ่าวชายไม่ต่ำกว่าสิบคน ลูกน้องคนสนิทของสวีเสวียนหนานจัดการให้สาวใช้ไม่ให้ออกมาเดินเพ่นพ่าน เหลือเพียงบ่าวรับใช้ชายที่ถูกหลอกล่อเข้ามาในห้องนอน
ภายในห้อง หญิงชั่วผู้นั้นกำลังนอนเปลือยกายอยู่บนเตียง ด้วยอารมณ์กำหนัดจากธูปราคะที่ถูกจุดเอาไว้ บ่าวรับใช้ชายเดินเข้าไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลอง เสียงครางแหลมเล็ดลอดออกมาไม่หยุดหย่อนด้วยความสุขสม เวลาผ่านไปจนตะวันคล้อยต่ำลงก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนในห้องจะหยุด ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่สวีเสวียนหนานวางแผนไว้ เขารู้ว่าการแก้แค้นนี้จะทำให้หญิงชั่วผู้นั้นได้รับผลกรรมของตนเอง
ทันทีที่บุรุษชั่วกลับเข้ามาในจวน สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือเสียงครางพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบกัน มันเร่งรีบเข้าไปยังห้องนอนด้วยความร้อนรน ประตูที่ไม่แม้แต่จะปิดสนิททำให้เห็นกิจกรรมในนั้นอย่างชัดเจน ความโกรธเล่นงานจนบุรุษชั่วหมดความยั้งคิด เพราะภาพที่เห็นมันทำเอาขาดสติ
ภรรยาที่บอกว่ารักตนเองมากกำลังขึ้นควบขี่บ่าวในเรือน พร้อมกับควบขับอย่างร้อนร่าน ทั้งในปากยังอ้าอมท่อนลำของบ่าวรับใช้ชายอย่างไม่สงวน ท่าทีของหญิงสารเลวที่บอกว่ารักนักรักหนากับระเริงกามกับบ่าวไพร่ในจวนอย่างไม่อายฟ้าดิน ทำให้บุรุษชั่วรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยความจริงที่โหดร้าย
บุรุษใจชั่วเหมือนถูกหยามหน้า มันรีบเดินไปคว้ากระบี่ที่แขวนเอาไว้แล้วแทงไปที่บ่าวชายในห้องเรียงตัว ทุกคนต่างก็ตายด้วยความโกรธของมัน เหลือเพียงร่างเล็กของหญิงสาวที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องอย่างกับคนบ้า เพราะเห็นคนตายต่อหน้า ตัวนางมีแต่เลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่ว แต่หาใช่เลือดที่เกิดจากบาดแผลของตัวเอง เพราะเป็นเลือดของบ่าวชายที่ถูกแทงตายด้วยความบ้าคลั่งของสามีนาง
บุรุษใจชั่วพาดกระบี่ที่ลำคอหญิงสาวที่เป็นดั่งรักแรกของตน แต่ยังไม่ทันที่จะได้บั่นคอ นางกลับกลัวตาย นางยื้อแย่งชิงกระบี่จากบุรุษชั่วมาได้ แล้วจ้วงเข้าไปที่ท้องของบุรุษที่เป็นสามีที่แย่งชิงมาจากสหาย ด้วยความกลัวว่าสามีจะสังหารนาง นางดึงกระบี่ออกมาจากร่างของเขาแล้วแทงซ้ำเข้าไปอีกครั้ง
สามีของนางยืนนิ่งด้วยความตกใจ ไม่คิดว่านางจะกล้าเอากระบี่แทงตนเอง ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อปลายกระบี่เสียบเข้าที่หน้าอกจนทะลุ ร่างแกร่งทรุดลงทันที เลือดไหลนองพื้น หญิงผู้นั้นปล่อยกระบี่ด้วยความกวาดกลัวส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจและตื่นตระหนก
เสียงกรีดร้องของนางดังก้องไปทั่วเรือน ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างพากันวิ่งเข้ามาดูด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่ปรากฏแก่สายตาพวกเขาคือร่างไร้วิญญาณของบ่าวชายที่ถูกฆ่าและร่างของสามีที่นอนจมกองเลือด ในขณะที่หญิงสาวยืนอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือด
พอนางรู้ว่าทำอะไรลงไป นางก็วิ่งหนีออกไปจากจวนด้วยความกลัวจนสติแตก หลังจากนั้น นางก็กลายเป็นสตรีบ้าที่ผู้คนกล่าวขานว่านางร่านราคะมักมากในกาม เรียกบ่าวไพร่ในจวนเข้ามาบำเรอไม่ขาดจนสามีจับได้ และเป็นคนฆ่าสามีด้วยตัวเอง
ตำนานหญิงงามร่านราคะจึงเป็นที่กล่าวขานอย่างแพร่หลาย นางกลายเป็นที่รู้จักในฐานะหญิงบ้าที่หลงใหลในกามารมณ์อย่างไม่เลือกหน้า ผู้คนต่างเล่าถึงนางด้วยความรังเกียจและเกรงกลัว ชื่อเสียงของนางถูกแพร่กระจายไปไกล
ในที่สุด นางก็หายสาบสูญไป ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของนางเป็นเช่นไร ไม่มีใครสนใจตามหานางและนั่นคือสิ่งที่พวกมันได้ชดใช้อย่างสาสม
'เจียงเอ๋อร์...ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้าจัดการคนพวกนั้นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าหากข้าพูดไปเกรงว่าเจ้าจะหาว่าข้าเป็นคนเสียสติกระมัง' สวีเสวียนหนานปล่อยคำพูดลอยตามลมก่อนจะใช้วิชาตัวเบาทะยานลงไปที่ลำธารเมื่อเห็นสิ่งที่ลอยมาตรงหน้า มือหนาโฉบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ลอยมาจากต้นน้ำพร้อมมองไปทางนั้น ร่างเล็กของหญิงสาวยังคงเล่นน้ำจับปลากับสาวใช้อย่างเพลิดเพลิน เสียงพูดเสียงหัวเราะยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทมิจางหาย
มือหนาจับผ้าปักลายดอกกุ้ยฮวาลูบไล้แผ่วเบาด้วยความหลงใหลก่อนใช้วิชาตัวเบากระโดดหยั่งเท้าบนผิวน้ำพุ่งทะยานออกไปยืนประจำยังจุดเดิม
...
เรือนฮุ่ยเหลิน
"ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!" เสียงจามหลายครั้งติดทำเอาใบหน้านวลแดงก่ำน้ำมูกไหลออกใสมือบางยกผ้าสะอาดซับน้ำมูกด้วยความรำคาญแต่ก็โทษใครไม่ได้นอกจากความดื้อรั้นของนางเองใครจะไปคิดว่าแค่เล่นน้ำนิด ๆ หน่อย ๆ กลับทำให้นางเหมือนจะเป็นไข้
"คุณหนูเจ้าคะบ่าวต้มยามาแล้วเจ้าค่ะ"
"ขอบใจเจ้ามากแต่นี่ไม่มีใครรู้ใช่หรือไม่ข้าไม่อยากโดนท่านพ่อท่านแม่ กับแม่รองบ่นน่ะบ่นทีข้าหูชาไปตั้งหลายวัน" ฮุ่ยเจียงบ่นพึมพำสลับจามไม่หยุด ปลายจมูกเชิดรั้นแดงก่ำ
"บ่าวเตือนคุณหนูแล้วนะเจ้าคะใครใช้ให้คุณหนูของบ่าวดื้อนัก"
"เจ้านี่ก็อีกคน ข้าบอกว่าไม่อยากฟังท่านพ่อท่านแม่กับแม่รองบ่นแต่เจ้ากลับบ่นข้าแทนเสียอย่างนั้น อื้อ..เจียอีเหตุใดยาขมนักเล่า" ฮุ่ยเจียงบ่นสาวใช้และยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ทันทีที่ยาสมุนไพรสัมผัสกับปลายลิ้น นางก็แทบจะสำรอกออกมาใบหน้าสวยบิดเบี้ยวแต่ก็ต้องทนฝืนกลืนลงไปเพราะกลัวว่าจะเป็นหนัก
"หวานเป็นลมขมเป็นยานะเจ้าคะ ขม ๆ แบบนี้แหละดีนักนะเจ้าคะดีไม่ดีพรุ่งนี้ตื่นมาหายไข้แน่นอนเจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะพุทราเชื่อม" เจียอียื่นพุทราเชื่อมที่เตรียมมาส่งให้คุณหนู โดยที่ฮุ่ยเจียงก็หยิบพุทราเชื่อมเข้าปากด้วยความรวดเร็ว ความหวานชุ่มคอพอจะดับความขมปร่าที่ติดอยู่ในลำคอลงได้
"เจ้าไปเถอะข้าจะนอนแล้ว" ฮุ่ยเจียงพูดพร้อมกับโบกมือไล่สาวใช้
"เจ้าค่ะคุณหนู" เจียอีย่อกายแล้วหันหลังกลับออกไปส่วนฮุ่ยเจียงก็เดินเข้าไปหลังฉากแล้วจัดการบ้วนปากและเปลี่ยนชุดเหลือเพียงแค่ชุดสีขาวตัวบางสำหรับใส่นอน ร่างเล็กเอนตัวลงนอนห่มผ้าผืนหนาอย่างสบายใจจากนั้นก็หลับไปด้วยความรวดเร็วเพราะฤทธิ์ยา
เส้นทางสู่แคว้นฉี"นางทาสชั้นต่ำเดินช้าเช่นนี้คิดจะถ่วงเวลาพวกข้าอย่างนั้นรึ!!" ผู้คุมส่งเสียงตะโกนดังก้องด้วยโทสะเขาเดินเข้ามาหาทาสนางหนึ่งด้วยท่าทางคุกคามในมือของเขาถือแส้ที่ม้วนเป็นวงกลม ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหดร่างเล็ก ๆ ของเจียอีคลานหนีด้วยความหวาดกลัว เขาเงื้อมมือขึ้นสูงแล้วฟาดแส้ลงมาอย่างหนักหน่วง"โอ๊ย!!" เสียงร้องของฮุ่ยเจียงที่วิ่งเข้ามากอดร่างบางของสาวใช้คนสนิทเอาไว้แน่น นางใช้แผ่นหลังของนางรองรับแส้ที่ฟาดลงมาความแรงของมันทำให้ร่างของนางทรุดลงทันทีนางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นกลั้นเสียงร้องจากอาการเจ็บปวดแผ่นหลังของนางปริแตกเลือดไหลออกมาตามผิวเนื้อ ร่างเล็กผอมแห้งซูบเซียวประหนึ่งต้นหญ้าขาดน้ำแต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งนางพยายามปกป้องสาวใช้ของตนเองถึงแม้ว่าตอนนี้นางเองก็สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าที่นางใส่ตอนนี้ขาดเป็นริ้วไม่ต่างจากขอทานแต่ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดเพียงใดแต่ฮุ่ยเจียงก็ยังอดทน มือที่อ่อนแรงและสั่นเทาโอบกอดสาวใช้คนสนิทเอาไว้"คุณหนู.." เจียอีสาวใช้ที่ติดตามมาตั้งแต่เล็กมองใบหน้าคุณหนูของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารอดีตบุตรสาวท่านราชครูหญิงสาวที่เคยงามพิล
ร่างสูงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณเนิ่นนานความรู้สึกภายในใจรวดร้าวทรมานเจียนตายจากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มร่างของคนที่ตัวเองรักเดินผ่านทหารและองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเจ้าค่ะ"เฮือกก!! ร่างเล็ก ๆ สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า"เจียอี..เจ้ายังไม่ตาย" ฮุ่ยเจียงส่งเสียงร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทอีกครั้งนางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกมือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาสาวใช้ที่ทำหน้าเหลอหลา สองมือของฮุ่ยเจียงจับไหล่สาวใช้พลิกซ้ายพลิกขวาจนร่างเล็กของสาวใช้แทบจะหมุนเป็นลูกข่าง"เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่แล้วนี่ผู้ใดมาช่วยพวกเรากัน เรารอดตายแล้วใช่หรือไม่ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าลูกข้า.." ฮุ่ยเจียงยื่นมือมาแตะที่หน้าท้องของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มลูกนางยังอยู่แต่พอสาวใช้พูดแย้งขึ้นทำเอาฮุ่ยเจียงถึงกับนิ่งค้างในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนส่วนสาวใช้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รีบพูดขัดขึ้นพร้อมจ้องมาที่ฮุ่ยเจียงด้วยสายตาสับสน"คุณหนูท่านเพิ่งจะเข้าสู
เรือนฮุ่ยหลันฮุ่ยเจียงเดินเข้ามาในเรือน พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน "ท่านราชครูและฮูหยินกำลังรออยู่ในห้องโถงขอรับ" ฮุ่ยเจียงยิ้มบาง ๆ และพยักหน้ารับ เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในห้องโถง"คุณหนูมาแล้วขอรับ" พ่อบ้านรายงานเสร็จก็เดินถอยหลังออกไป ทันใดนั้น เสียงใส ๆ ของเด็กสองคนก็ดังขึ้น"พี่รองมาแล้ว! พี่รองมาแล้ว!" เด็กสองคนวิ่งเข้ามาหาฮุ่ยเจียงด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายสดใส ฮุ่ยเจียงย่อตัวลงอ้าแขนออกกว้างพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กของเด็กทั้งสองคนวิ่งโถมนางจนเกือบล้มฮุ่ยเจียงที่รู้อยู่แล้วว่าการมาของนางจะต้องเจอกับเจ้าลูกลิงสองตัวที่โถมเข้ามาหานางอย่างเช่นตอนนี้ ในชาติก่อนนางตั้งรับไม่ทันทำให้นางล้มกลิ้งก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นแข็งจนดูน่าตลกในสายตาบ่าวไพร่ แต่วันนี้นางตั้งรับทัน "พี่รอง! พี่รอง!" เด็กชายและเด็กหญิงร้องเรียกพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ฮุ่ยเจียงยิ้มพลางกอดพวกเขาเบา ๆ ดวงตาคู่สวยมองน้องชายและน้องสาวด้วยความรักและคิดถึง แม้น้องสาวจะเกิดจากแม่รองแต่ฮุ่ยเจียงก็มีความรักและห่วงใยน้อง ๆ เท่าเทียมกันส่วนมากนางจะใช้เวลาเล่นกับน้อง ๆ สอนคัดตัวอักษรตามที่บิดาเคยสอนและช่วยน้อง ๆ เรียนรู้สิ่งให
ฮุ่ยเจียงย่อกายทำความเคารพบุคคลทั้งสามจากนั้นก็เดินเข้าไปหาท่านพ่อที่กำลังวางตำราลงโดยมีฮุ่ยหลินเข้ามานั่งบนหัวเข่าแล้วหยิบขนมบนจานขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ฮุ่ยเจียงสอดแขนไปรอบเอวของบิดาใบหน้าเล็กก้มงุดลงไปที่หน้าอกดวงตาหลับพริ้มซึมซับความรู้สึกคิดถึงท่ามกลางความแปลกใจของทั้งสามคน"เจียงเอ๋อร์ลูกพ่อเจ้าเป็นอันใดรึ เจ็บป่วยยังไม่หายใช่หรือไม่" กล่าวจบฮุ่ยหมิ่นก็ยกมือขึ้นแตกหน้าผากเช็กอาการบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเพราะปกตินางไม่ค่อยอ้อนนอกจากตอนยามเจ็บไข้ได้ป่วย"ลูกสบายดีเจ้าค่ะแต่เมื่อคืนลูกเพียงแค่ฝันร้าย" ฮุยเจียงยิ้มให้บิดาแล้วผละออกหลังจากกอดจนพอใจ นางเดินเข้าไปหามารดาที่มองด้วยสายตาอบอุ่นร่างเล็กโถมเข้าหามารดาซบลงบนอกอุ่นด้วยความคิดถึง ดวงตาของนางร้อนผ่าวจนเกือบจะไหลทำให้นางต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาเกรงว่าจะทำให้มารดาเป็นห่วง"เจ้าเด็กคนนี้อ้อนเป็นน้องสาวเจ้าไปได้" ซูลี่ลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรสาวที่กำลังอ้อนราวกับเด็กน้อยใบหน้ายังคงส่งรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งเป็นใบหน้าที่ฮุ่ยเจียงเห็นจนชินตา สายตาของมารดาที่มองมาที่นางนั้นเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยไม่ว่าเวลาจะผ่านไ
รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงามฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอก
เสียงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางหันไปหาสาวใช้หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมแต่ไม่คิดว่าในมือของสาวใช้ตอนนี้จะมีปลาเหมือนกันแต่ต่างกันที่ปลาในมือของสาวใช้นั้น ตัวใหญ่กว่าตัวที่นางจับได้เป็นเท่าตัว ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกกว้างก่อนจะตะโกนถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น"เจียอี เหตุใดเจ้าจึงจับได้ตัวใหญ่กว่าข้านักเล่า! ข้าไม่ยอมเจ้าแน่ นี่เจ้าปลาน้อยเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย..ข้าจะจับตัวพ่อไม่ใช่ลูกปลาตัวน้อยแบบเจ้าสักหน่อย ชิ่ว ๆ ไปเลยนะ" ฮุ่ยเจียงที่เห็นว่าปลาที่อยู่ในมือสาวใช้ตัวใหญ่กว่าของนาง นางก็ยอมไม่ได้จึงปล่อยเจ้าปลาที่จับแล้วมองหาตัวใหญ่กว่า ส่วนเจียอีมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยปลาในมือตามไปอีกคนกลายเป็นว่าตอนนี้สองนายบ่าวพากันแข่งกันจับปลาการแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฮุ่ยเจียงแกล้งเจียอีด้วยการโยนหยดน้ำไปที่ตัว เจียอีหัวเราะและตอบโต้ด้วยการพยายามสาดน้ำกลับ ทั้งคู่สนุกกับการพยายามจับปลาและไม่ลืมที่จะหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะและเสียงน้ำที่ดังกระจายยามที่พวกนางกระโจนจับปลากลายเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูต่อคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาอย่างถึงที่สุดอีกฟากหนึ
ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจคมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแ
เสียงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางหันไปหาสาวใช้หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมแต่ไม่คิดว่าในมือของสาวใช้ตอนนี้จะมีปลาเหมือนกันแต่ต่างกันที่ปลาในมือของสาวใช้นั้น ตัวใหญ่กว่าตัวที่นางจับได้เป็นเท่าตัว ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกกว้างก่อนจะตะโกนถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น"เจียอี เหตุใดเจ้าจึงจับได้ตัวใหญ่กว่าข้านักเล่า! ข้าไม่ยอมเจ้าแน่ นี่เจ้าปลาน้อยเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย..ข้าจะจับตัวพ่อไม่ใช่ลูกปลาตัวน้อยแบบเจ้าสักหน่อย ชิ่ว ๆ ไปเลยนะ" ฮุ่ยเจียงที่เห็นว่าปลาที่อยู่ในมือสาวใช้ตัวใหญ่กว่าของนาง นางก็ยอมไม่ได้จึงปล่อยเจ้าปลาที่จับแล้วมองหาตัวใหญ่กว่า ส่วนเจียอีมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยปลาในมือตามไปอีกคนกลายเป็นว่าตอนนี้สองนายบ่าวพากันแข่งกันจับปลาการแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฮุ่ยเจียงแกล้งเจียอีด้วยการโยนหยดน้ำไปที่ตัว เจียอีหัวเราะและตอบโต้ด้วยการพยายามสาดน้ำกลับ ทั้งคู่สนุกกับการพยายามจับปลาและไม่ลืมที่จะหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะและเสียงน้ำที่ดังกระจายยามที่พวกนางกระโจนจับปลากลายเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูต่อคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาอย่างถึงที่สุดอีกฟากหนึ
รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงามฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอก
ฮุ่ยเจียงย่อกายทำความเคารพบุคคลทั้งสามจากนั้นก็เดินเข้าไปหาท่านพ่อที่กำลังวางตำราลงโดยมีฮุ่ยหลินเข้ามานั่งบนหัวเข่าแล้วหยิบขนมบนจานขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ฮุ่ยเจียงสอดแขนไปรอบเอวของบิดาใบหน้าเล็กก้มงุดลงไปที่หน้าอกดวงตาหลับพริ้มซึมซับความรู้สึกคิดถึงท่ามกลางความแปลกใจของทั้งสามคน"เจียงเอ๋อร์ลูกพ่อเจ้าเป็นอันใดรึ เจ็บป่วยยังไม่หายใช่หรือไม่" กล่าวจบฮุ่ยหมิ่นก็ยกมือขึ้นแตกหน้าผากเช็กอาการบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเพราะปกตินางไม่ค่อยอ้อนนอกจากตอนยามเจ็บไข้ได้ป่วย"ลูกสบายดีเจ้าค่ะแต่เมื่อคืนลูกเพียงแค่ฝันร้าย" ฮุยเจียงยิ้มให้บิดาแล้วผละออกหลังจากกอดจนพอใจ นางเดินเข้าไปหามารดาที่มองด้วยสายตาอบอุ่นร่างเล็กโถมเข้าหามารดาซบลงบนอกอุ่นด้วยความคิดถึง ดวงตาของนางร้อนผ่าวจนเกือบจะไหลทำให้นางต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาเกรงว่าจะทำให้มารดาเป็นห่วง"เจ้าเด็กคนนี้อ้อนเป็นน้องสาวเจ้าไปได้" ซูลี่ลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรสาวที่กำลังอ้อนราวกับเด็กน้อยใบหน้ายังคงส่งรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งเป็นใบหน้าที่ฮุ่ยเจียงเห็นจนชินตา สายตาของมารดาที่มองมาที่นางนั้นเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยไม่ว่าเวลาจะผ่านไ
เรือนฮุ่ยหลันฮุ่ยเจียงเดินเข้ามาในเรือน พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน "ท่านราชครูและฮูหยินกำลังรออยู่ในห้องโถงขอรับ" ฮุ่ยเจียงยิ้มบาง ๆ และพยักหน้ารับ เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในห้องโถง"คุณหนูมาแล้วขอรับ" พ่อบ้านรายงานเสร็จก็เดินถอยหลังออกไป ทันใดนั้น เสียงใส ๆ ของเด็กสองคนก็ดังขึ้น"พี่รองมาแล้ว! พี่รองมาแล้ว!" เด็กสองคนวิ่งเข้ามาหาฮุ่ยเจียงด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายสดใส ฮุ่ยเจียงย่อตัวลงอ้าแขนออกกว้างพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กของเด็กทั้งสองคนวิ่งโถมนางจนเกือบล้มฮุ่ยเจียงที่รู้อยู่แล้วว่าการมาของนางจะต้องเจอกับเจ้าลูกลิงสองตัวที่โถมเข้ามาหานางอย่างเช่นตอนนี้ ในชาติก่อนนางตั้งรับไม่ทันทำให้นางล้มกลิ้งก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นแข็งจนดูน่าตลกในสายตาบ่าวไพร่ แต่วันนี้นางตั้งรับทัน "พี่รอง! พี่รอง!" เด็กชายและเด็กหญิงร้องเรียกพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ฮุ่ยเจียงยิ้มพลางกอดพวกเขาเบา ๆ ดวงตาคู่สวยมองน้องชายและน้องสาวด้วยความรักและคิดถึง แม้น้องสาวจะเกิดจากแม่รองแต่ฮุ่ยเจียงก็มีความรักและห่วงใยน้อง ๆ เท่าเทียมกันส่วนมากนางจะใช้เวลาเล่นกับน้อง ๆ สอนคัดตัวอักษรตามที่บิดาเคยสอนและช่วยน้อง ๆ เรียนรู้สิ่งให
ร่างสูงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณเนิ่นนานความรู้สึกภายในใจรวดร้าวทรมานเจียนตายจากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มร่างของคนที่ตัวเองรักเดินผ่านทหารและองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเจ้าค่ะ"เฮือกก!! ร่างเล็ก ๆ สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า"เจียอี..เจ้ายังไม่ตาย" ฮุ่ยเจียงส่งเสียงร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทอีกครั้งนางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกมือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาสาวใช้ที่ทำหน้าเหลอหลา สองมือของฮุ่ยเจียงจับไหล่สาวใช้พลิกซ้ายพลิกขวาจนร่างเล็กของสาวใช้แทบจะหมุนเป็นลูกข่าง"เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่แล้วนี่ผู้ใดมาช่วยพวกเรากัน เรารอดตายแล้วใช่หรือไม่ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าลูกข้า.." ฮุ่ยเจียงยื่นมือมาแตะที่หน้าท้องของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มลูกนางยังอยู่แต่พอสาวใช้พูดแย้งขึ้นทำเอาฮุ่ยเจียงถึงกับนิ่งค้างในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนส่วนสาวใช้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รีบพูดขัดขึ้นพร้อมจ้องมาที่ฮุ่ยเจียงด้วยสายตาสับสน"คุณหนูท่านเพิ่งจะเข้าสู
เส้นทางสู่แคว้นฉี"นางทาสชั้นต่ำเดินช้าเช่นนี้คิดจะถ่วงเวลาพวกข้าอย่างนั้นรึ!!" ผู้คุมส่งเสียงตะโกนดังก้องด้วยโทสะเขาเดินเข้ามาหาทาสนางหนึ่งด้วยท่าทางคุกคามในมือของเขาถือแส้ที่ม้วนเป็นวงกลม ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหดร่างเล็ก ๆ ของเจียอีคลานหนีด้วยความหวาดกลัว เขาเงื้อมมือขึ้นสูงแล้วฟาดแส้ลงมาอย่างหนักหน่วง"โอ๊ย!!" เสียงร้องของฮุ่ยเจียงที่วิ่งเข้ามากอดร่างบางของสาวใช้คนสนิทเอาไว้แน่น นางใช้แผ่นหลังของนางรองรับแส้ที่ฟาดลงมาความแรงของมันทำให้ร่างของนางทรุดลงทันทีนางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นกลั้นเสียงร้องจากอาการเจ็บปวดแผ่นหลังของนางปริแตกเลือดไหลออกมาตามผิวเนื้อ ร่างเล็กผอมแห้งซูบเซียวประหนึ่งต้นหญ้าขาดน้ำแต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งนางพยายามปกป้องสาวใช้ของตนเองถึงแม้ว่าตอนนี้นางเองก็สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าที่นางใส่ตอนนี้ขาดเป็นริ้วไม่ต่างจากขอทานแต่ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดเพียงใดแต่ฮุ่ยเจียงก็ยังอดทน มือที่อ่อนแรงและสั่นเทาโอบกอดสาวใช้คนสนิทเอาไว้"คุณหนู.." เจียอีสาวใช้ที่ติดตามมาตั้งแต่เล็กมองใบหน้าคุณหนูของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารอดีตบุตรสาวท่านราชครูหญิงสาวที่เคยงามพิล