รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงาม
ฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
ฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง
“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้ามีความสุขเพียงใด” ที่ได้โอกาสกลับมาอีกครั้ง ประโยคหลังนางพูดกับตัวเอง ฮุ่ยเจียงค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดหินที่ปูทางอย่างระมัดระวังแสดงถึงความสง่างามและอ่อนช้อย นางก้าวขึ้นบันไดพลางมองสองข้างทางอย่างไม่เร่งรีบ ต่างจากสาวใช้ที่แสดงความเป็นห่วง น้ำเสียงติดกังวล
"คุณหนูเจ้าคะรีบเดินเถอะเจ้าค่ะ ลมแรงนักเดี๋ยวจะไม่สบายนะเจ้าคะ" ขณะพูดเจียอีก็นำเสื้อคลุมมาคลุมร่างของนางเอาไว้ สองมือจัดการผูกเชือกอย่างขะมักเขม้นจนแน่นราวกับกลัวว่าลมเพียงน้อยนิดที่พัดพาจะทำให้ร่างกายนางเป็นไข้หนัก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่อยากขัดใจสาวใช้เพราะเห็นว่าเจ้าตัวนั้นเป็นห่วงเพียงใด
“ขอบใจเจ้ามาก” ฮุ่ยเจียงใช้สองมือกระชับผ้าคลุมแน่นก่อนจะก้าวขึ้นบันไดชันโดยมีสาวใช้ก้าวตามไม่ห่าง
เมื่อเดินขึ้นถึงยอดบันได ก็เดินก้าวผ่านสระน้ำที่ประดับด้วยดอกไม้และพืชพรรณต่าง ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและร่มรื่นเหมาะสำหรับการทำสมาธิและปฏิบัติธรรม เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในฮุ่ยเจียงได้พบกับพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในอารามอันสงบเงียบนางค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้และคำนับเบา ๆ ดวงตาคู่สวยจับจ้องยังพระพักตร์ของพระพุทธรูป นางขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลูกที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกในชาติที่แล้วกลับมาเกิดในท้องนางอีกครั้ง แต่หาใช่มาจากบิดาคนเดิม นางขอพรอย่างตั้งใจจากนั้นนางก็ก้าวเท้าเบา ๆ หาที่ที่เหมาะสม เพื่อสวดมนต์ภาวนา เมื่อถึงจุดที่ต้องการนางหยุดนิ่ง แล้วย่อตัวลงนั่ง สองมือพนมขึ้นอีกครั้งและปิดตาอย่างสงบ ฮุ่ยเจียงภาวนาเงียบ ๆ ในใจ ท่ามกลางความสงบเงียบของอาราม มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่านและเสียงของธรรมชาติที่ทำให้นางรู้สึกถึงความสงบสุขอย่างแท้จริง
เจียอีที่ยืนอยู่ข้างหลังมองดูคุณหนูของนางด้วยความสงบ นางสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และความงดงามที่แผ่ออกมาจากคุณหนู ยามที่คุณหนูนั่งอยู่ตรงหน้านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และเวลาที่ผ่านไปเหมือนจะช้าลง เพื่อให้คุณหนูได้สัมผัสถึงความสงบสุขและศรัทธาอย่างแท้จริง
เวลาผ่านมาราวครึ่งก้านธูป
ฮุ่ยเจียงที่นั่งสมาธิอยู่นานรู้สึกหัวสมองปลอดโปร่ง หัวใจหนักอึ้งพลันสลายเหมือนกับว่านางได้สัมผัสกับชีวิตที่แท้จริงอีกครั้ง นางลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าออกมาเดินเล่นซึมซับธรรมชาติอันเงียบสงบ นางเดินเรื่อยเปื่อยมาตามทางจนมาถึงทางเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงสาวใช้ที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นเบา ๆ
"คุณหนู จะที่แห่งใดหรือเจ้าคะ" เจียอีถามด้วยความสงสัยเพราะคุณหนูเดินออกห่างทางเข้ามาไกล
"ข้าจะออกไปเดินเล่นถ้าข้าจำไม่ผิดเดินไปอีกนิดจะมีลำธารข้าอยากเดินแช่น้ำสักหน่อย" พูดจบก็เดินนำหน้าสาวใช้ไปทันทีไม่รอให้สาวใช้ได้โต้แย้งเจียอีที่เห็นว่าคุณหนูเร่งเดินไปก็รีบตามไปติด ๆ
"คุณหนูเจ้าคะเหตุใดจึงรีบเดินนักเจ้าคะลืมที่ฮูหยินใหญ่สอนแล้วหรือเจ้าคะท่านต้องเดินช้าลงอีกนิดนะเจ้าคะ ช้า ๆ เจ้าค่ะ" เจียอีที่ตามติดก็พูดตามที่ฮูหยินใหญ่เคยพูดสอนเพราะเกรงว่าคุณหนูออกไปเดินในที่สาธารณะแล้วจะลืมตัวเอาได้ เร่งเดินไม่ไว้ท่าทีแบบนี้มีหวังบุรุษได้หนีห่างแน่และเจียอีย่อมยอมไม่ได้ และตอนนี้ก็ใกล้ถึงวัยปักปิ่นแล้วด้วยเจียอีเลยต้องเป็นหูเป็นตาแทนฮูหยินใหญ่
"ช้าอย่างนี้หรือ" ฮุ่ยเจียงที่ได้ยินสาวใช้พูดบ่นงึมงำแต่ก็นางก็เดินช้าลง ช้าแบบมาก ๆ เป็นการกลั่นแกล้งสาวใช้ไปในตัวส่วนเจียอีที่เห็นคุณหนูทำท่าประชดก้าวเท้าช้าลงกว่าเดิมหลายเท่าแต่ดวงตาที่มองมาที่นางนั้นกลับเต็มไปด้วยความขบขัน มีหรือที่เจียอีจะไม่รู้ว่าตอนนี้โดนคุณหนูแกล้งกันเข้าให้แล้ว
"คุณหนู.." เจียอีได้แต่เรียกคุณหนูด้วยน้ำเสียงโอดครวญก่อนจะเดินมาถึงลำธารใสสะอาดที่ไหลผ่านกลางป่าแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลงมาผ่านใบไม้ทำให้ผืนน้ำเป็นประกายแวววาวเสียงน้ำไหลเบา ๆ สร้างบรรยากาศที่สงบและสดชื่นดอกไม้ป่าหลากสีและพืชพันธุ์ต่าง ๆ เติบโตอยู่ริมลำธารทำให้พื้นที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและสวยงาม ตากลมโตของฮุ่ยเจียงโตมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อมองเห็นฝูงปลาขนาดใหญ่แหวกว่ายไปมาอยู่ตรงหน้า
"เจียอีน้ำใสมาก เจ้าดูนั่นสิเห็นปลาด้วย" มือบางชี้ไปยังธารน้ำใสที่เห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
"ใสมากจริงด้วยเจ้าค่ะ" เจียอีที่เห็นก็พลันตื่นเต้นตามไปด้วย
ฮุ่ยเจียงตื่นเต้นและไม่อยากพลาดโอกาส นางรีบถอดรองเท้าออกจนเห็นข้อเท้าขาวผ่อง แล้วเดินย่ำธารน้ำใสที่ไหลลงมาจากน้ำตกด้วยท่าทางตื่นเต้นดวงตาของนางเป็นประกายราวกับเจอเรื่องถูกใจก่อนจะหันไปหาสาวใช้แล้วยื่นมือไปที่นาง
"เจียอีเจ้าผูกแขนเสื้อให้ข้าหน่อยข้าจะจับปลา!"
เจียอีทำท่าละล้าละลัง หันไปมองรอบ ๆ ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความกังวล "จะดีหรือเจ้าคะคุณหนูถ้าเกิดผู้ใดมาพบมันจะไม่งามนะเจ้าคะ" ฮุ่ยเจียงเห็นสาวใช้ดูกังวลเกินไปก็ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา "เราเดินมาลึกขนาดนี้จะมีใครมาพบกันเล่า เจ้ารีบผูกแขนเสื้อให้ข้าเถอะ ประเดี๋ยวปลาจะหายหมด" เสียงพูดที่เร่งเร้าทำให้เจียอีไม่กล้าโต้แย้ง นางผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ แต่สองมือก็ทำหน้าที่ของนางอย่างดี
"เจ้าค่ะคุณหนู"
พอเจียอีผูกเสร็จ ฮุ่ยเจียงก็จัดการผูกให้สาวใช้ของตัวเองด้วย โดยที่เจียอีได้แต่ยืนนิ่งยอมให้คุณหนูผู้แต่โดยดี หลังจากสองนายบ่าวผลัดกันผูกแขนเสื้อเสร็จ เจียอีจะช่วยผูกชายกระโปรงของคุณหนูเพื่อไม่ให้เปียกน้ำแล้วรวบผมยาวของคุณหนูเพื่อไม่ให้เกะกะ แล้วก็จัดการของตัวเองแล้วก็พากันเดินลงไปยังฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายไปมาด้วยความตื่นเต้น
ฮุ่ยเจียงมองฝูงปลาที่มีอยู่ทั่วผืนน้ำรู้ได้ทันทีว่าที่แห่งนี้เป็นที่อุดมสมบูรณ์มากจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดผ่านมาเห็นทั้งที่ไม่ได้ไกลจากวัดมากนักจะบอกว่าเป็นเขตอภัยทานก็ไม่น่าใช่เพราะถ้าจำไม่ผิดเหมือนกับว่าพวกนางเดินข้ามกำแพงวัดมาทั้งฮุ่ยเจียงและเจียอีลงไปในลำธารขณะที่น้ำเย็นไหลผ่านขาทั้งคู่เริ่มมองหาปลาที่ว่ายไปมาใต้ผืนน้ำ
ดวงตาสุกสกาวมองเจ้าปลาตัวโตที่กำลังว่ายเข้ามาด้วยความหมายมั่นสองมือตั้งท่าจับปลาอยู่ในน้ำดวงตาจ้องไปที่เจ้าปลาตัวนั้นอย่างไม่วางตาก่อนที่จะตวัดมือไปที่เจ้าปลาตัวนั้นแล้วจับได้อย่างง่ายดาย"นี่แหนะข้าจับได้แล้ว เจียอีข้าสามารถจับปลาด้วยมือเปล่าได้ด้วย เจ้าดูสิ! "
เสียงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางหันไปหาสาวใช้หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมแต่ไม่คิดว่าในมือของสาวใช้ตอนนี้จะมีปลาเหมือนกันแต่ต่างกันที่ปลาในมือของสาวใช้นั้น ตัวใหญ่กว่าตัวที่นางจับได้เป็นเท่าตัว ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกกว้างก่อนจะตะโกนถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น"เจียอี เหตุใดเจ้าจึงจับได้ตัวใหญ่กว่าข้านักเล่า! ข้าไม่ยอมเจ้าแน่ นี่เจ้าปลาน้อยเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย..ข้าจะจับตัวพ่อไม่ใช่ลูกปลาตัวน้อยแบบเจ้าสักหน่อย ชิ่ว ๆ ไปเลยนะ" ฮุ่ยเจียงที่เห็นว่าปลาที่อยู่ในมือสาวใช้ตัวใหญ่กว่าของนาง นางก็ยอมไม่ได้จึงปล่อยเจ้าปลาที่จับแล้วมองหาตัวใหญ่กว่า ส่วนเจียอีมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยปลาในมือตามไปอีกคนกลายเป็นว่าตอนนี้สองนายบ่าวพากันแข่งกันจับปลาการแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฮุ่ยเจียงแกล้งเจียอีด้วยการโยนหยดน้ำไปที่ตัว เจียอีหัวเราะและตอบโต้ด้วยการพยายามสาดน้ำกลับ ทั้งคู่สนุกกับการพยายามจับปลาและไม่ลืมที่จะหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะและเสียงน้ำที่ดังกระจายยามที่พวกนางกระโจนจับปลากลายเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูต่อคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาอย่างถึงที่สุดอีกฟากหนึ
ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจคมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแ
เส้นทางสู่แคว้นฉี"นางทาสชั้นต่ำเดินช้าเช่นนี้คิดจะถ่วงเวลาพวกข้าอย่างนั้นรึ!!" ผู้คุมส่งเสียงตะโกนดังก้องด้วยโทสะเขาเดินเข้ามาหาทาสนางหนึ่งด้วยท่าทางคุกคามในมือของเขาถือแส้ที่ม้วนเป็นวงกลม ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหดร่างเล็ก ๆ ของเจียอีคลานหนีด้วยความหวาดกลัว เขาเงื้อมมือขึ้นสูงแล้วฟาดแส้ลงมาอย่างหนักหน่วง"โอ๊ย!!" เสียงร้องของฮุ่ยเจียงที่วิ่งเข้ามากอดร่างบางของสาวใช้คนสนิทเอาไว้แน่น นางใช้แผ่นหลังของนางรองรับแส้ที่ฟาดลงมาความแรงของมันทำให้ร่างของนางทรุดลงทันทีนางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นกลั้นเสียงร้องจากอาการเจ็บปวดแผ่นหลังของนางปริแตกเลือดไหลออกมาตามผิวเนื้อ ร่างเล็กผอมแห้งซูบเซียวประหนึ่งต้นหญ้าขาดน้ำแต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งนางพยายามปกป้องสาวใช้ของตนเองถึงแม้ว่าตอนนี้นางเองก็สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าที่นางใส่ตอนนี้ขาดเป็นริ้วไม่ต่างจากขอทานแต่ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดเพียงใดแต่ฮุ่ยเจียงก็ยังอดทน มือที่อ่อนแรงและสั่นเทาโอบกอดสาวใช้คนสนิทเอาไว้"คุณหนู.." เจียอีสาวใช้ที่ติดตามมาตั้งแต่เล็กมองใบหน้าคุณหนูของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารอดีตบุตรสาวท่านราชครูหญิงสาวที่เคยงามพิล
ร่างสูงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณเนิ่นนานความรู้สึกภายในใจรวดร้าวทรมานเจียนตายจากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มร่างของคนที่ตัวเองรักเดินผ่านทหารและองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเจ้าค่ะ"เฮือกก!! ร่างเล็ก ๆ สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า"เจียอี..เจ้ายังไม่ตาย" ฮุ่ยเจียงส่งเสียงร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทอีกครั้งนางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกมือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาสาวใช้ที่ทำหน้าเหลอหลา สองมือของฮุ่ยเจียงจับไหล่สาวใช้พลิกซ้ายพลิกขวาจนร่างเล็กของสาวใช้แทบจะหมุนเป็นลูกข่าง"เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่แล้วนี่ผู้ใดมาช่วยพวกเรากัน เรารอดตายแล้วใช่หรือไม่ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าลูกข้า.." ฮุ่ยเจียงยื่นมือมาแตะที่หน้าท้องของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มลูกนางยังอยู่แต่พอสาวใช้พูดแย้งขึ้นทำเอาฮุ่ยเจียงถึงกับนิ่งค้างในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนส่วนสาวใช้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รีบพูดขัดขึ้นพร้อมจ้องมาที่ฮุ่ยเจียงด้วยสายตาสับสน"คุณหนูท่านเพิ่งจะเข้าสู
เรือนฮุ่ยหลันฮุ่ยเจียงเดินเข้ามาในเรือน พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน "ท่านราชครูและฮูหยินกำลังรออยู่ในห้องโถงขอรับ" ฮุ่ยเจียงยิ้มบาง ๆ และพยักหน้ารับ เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในห้องโถง"คุณหนูมาแล้วขอรับ" พ่อบ้านรายงานเสร็จก็เดินถอยหลังออกไป ทันใดนั้น เสียงใส ๆ ของเด็กสองคนก็ดังขึ้น"พี่รองมาแล้ว! พี่รองมาแล้ว!" เด็กสองคนวิ่งเข้ามาหาฮุ่ยเจียงด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายสดใส ฮุ่ยเจียงย่อตัวลงอ้าแขนออกกว้างพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กของเด็กทั้งสองคนวิ่งโถมนางจนเกือบล้มฮุ่ยเจียงที่รู้อยู่แล้วว่าการมาของนางจะต้องเจอกับเจ้าลูกลิงสองตัวที่โถมเข้ามาหานางอย่างเช่นตอนนี้ ในชาติก่อนนางตั้งรับไม่ทันทำให้นางล้มกลิ้งก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นแข็งจนดูน่าตลกในสายตาบ่าวไพร่ แต่วันนี้นางตั้งรับทัน "พี่รอง! พี่รอง!" เด็กชายและเด็กหญิงร้องเรียกพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ฮุ่ยเจียงยิ้มพลางกอดพวกเขาเบา ๆ ดวงตาคู่สวยมองน้องชายและน้องสาวด้วยความรักและคิดถึง แม้น้องสาวจะเกิดจากแม่รองแต่ฮุ่ยเจียงก็มีความรักและห่วงใยน้อง ๆ เท่าเทียมกันส่วนมากนางจะใช้เวลาเล่นกับน้อง ๆ สอนคัดตัวอักษรตามที่บิดาเคยสอนและช่วยน้อง ๆ เรียนรู้สิ่งให
ฮุ่ยเจียงย่อกายทำความเคารพบุคคลทั้งสามจากนั้นก็เดินเข้าไปหาท่านพ่อที่กำลังวางตำราลงโดยมีฮุ่ยหลินเข้ามานั่งบนหัวเข่าแล้วหยิบขนมบนจานขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ฮุ่ยเจียงสอดแขนไปรอบเอวของบิดาใบหน้าเล็กก้มงุดลงไปที่หน้าอกดวงตาหลับพริ้มซึมซับความรู้สึกคิดถึงท่ามกลางความแปลกใจของทั้งสามคน"เจียงเอ๋อร์ลูกพ่อเจ้าเป็นอันใดรึ เจ็บป่วยยังไม่หายใช่หรือไม่" กล่าวจบฮุ่ยหมิ่นก็ยกมือขึ้นแตกหน้าผากเช็กอาการบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเพราะปกตินางไม่ค่อยอ้อนนอกจากตอนยามเจ็บไข้ได้ป่วย"ลูกสบายดีเจ้าค่ะแต่เมื่อคืนลูกเพียงแค่ฝันร้าย" ฮุยเจียงยิ้มให้บิดาแล้วผละออกหลังจากกอดจนพอใจ นางเดินเข้าไปหามารดาที่มองด้วยสายตาอบอุ่นร่างเล็กโถมเข้าหามารดาซบลงบนอกอุ่นด้วยความคิดถึง ดวงตาของนางร้อนผ่าวจนเกือบจะไหลทำให้นางต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาเกรงว่าจะทำให้มารดาเป็นห่วง"เจ้าเด็กคนนี้อ้อนเป็นน้องสาวเจ้าไปได้" ซูลี่ลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรสาวที่กำลังอ้อนราวกับเด็กน้อยใบหน้ายังคงส่งรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งเป็นใบหน้าที่ฮุ่ยเจียงเห็นจนชินตา สายตาของมารดาที่มองมาที่นางนั้นเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยไม่ว่าเวลาจะผ่านไ
ชาติก่อนในยามสงครามศึกนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศึกภายใน...สงครามที่ยืดเยื้อกินเวลานานทำให้พี่ชายของนางไม่สามารถเข้าไปช่วยนางได้ทัน พอรู้ข่าวว่าครอบครัวถูกใส่ร้ายก็เร่งเดินทางไปทันทีใครจะคิดว่ามันคือหนึ่งในแผนการที่ล้มล้างตระกูลพอไปถึงหน้าประตูเมืองฮุ่ยเหอก็ถูกจับกุมในทันทีใครจะคิดว่าทั้งตระกูลของนางจะถูกคนชั่วช้าเล่นงานจนดิ้นไม่หลุด ส่วนเขาที่ยังทำสงครามอยู่อีกแคว้นไม่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของสหายเลยด้วยซ้ำ พอมารู้อีกทีก็ตอนที่ทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตเหลือเพียงนางกับสาวใช้ที่ถูกขายไปเป็นทาส กว่าจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่านางถูกพาไปที่ใดก็กินเวลาหลายวัน เขาควบม้าด้วยความเร่งรีบแม้อาหารสักมื้อก็ไม่พักรับประทานเพราะเกรงว่าจะไม่ทัน แต่ใครจะคิดว่านางนั้นถูกพามาทรมานแทนที่จะเป็นการส่งไปเป็นทาสตามที่ได้ยินมา ในตอนที่ไปถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนั้นเป็นตอนที่นางกำลังจะทิ้งตัวลงบนผืนดินเหมือนกับไม่สามารถทนต่อไปได้เขาเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิตดวงตาคมเข้มสะท้อนความร้อนรนทอดมองร่างเล็กที่กำลังเอนลงบนผืนดินร้อนระอุสองมือก็ตวัดดาบบั่นคอคนที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจคมกระบี่ฟันฉับไปที่คนเหล่านั้นเพื่อแ
เสียงพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางหันไปหาสาวใช้หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมแต่ไม่คิดว่าในมือของสาวใช้ตอนนี้จะมีปลาเหมือนกันแต่ต่างกันที่ปลาในมือของสาวใช้นั้น ตัวใหญ่กว่าตัวที่นางจับได้เป็นเท่าตัว ดวงตาของฮุ่ยเจียงเบิกกว้างก่อนจะตะโกนถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น"เจียอี เหตุใดเจ้าจึงจับได้ตัวใหญ่กว่าข้านักเล่า! ข้าไม่ยอมเจ้าแน่ นี่เจ้าปลาน้อยเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย..ข้าจะจับตัวพ่อไม่ใช่ลูกปลาตัวน้อยแบบเจ้าสักหน่อย ชิ่ว ๆ ไปเลยนะ" ฮุ่ยเจียงที่เห็นว่าปลาที่อยู่ในมือสาวใช้ตัวใหญ่กว่าของนาง นางก็ยอมไม่ได้จึงปล่อยเจ้าปลาที่จับแล้วมองหาตัวใหญ่กว่า ส่วนเจียอีมองคุณหนูด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยปลาในมือตามไปอีกคนกลายเป็นว่าตอนนี้สองนายบ่าวพากันแข่งกันจับปลาการแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ฮุ่ยเจียงแกล้งเจียอีด้วยการโยนหยดน้ำไปที่ตัว เจียอีหัวเราะและตอบโต้ด้วยการพยายามสาดน้ำกลับ ทั้งคู่สนุกกับการพยายามจับปลาและไม่ลืมที่จะหยอกล้อกัน เสียงหัวเราะและเสียงน้ำที่ดังกระจายยามที่พวกนางกระโจนจับปลากลายเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูต่อคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหาอย่างถึงที่สุดอีกฟากหนึ
รถม้าประทับตราสกุลฮุ่ยของราชครูเข้ามาจอดอยู่ที่เชิงเขาทางขึ้นวัดเสวียนคง วัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาดูเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ หลังจากลงรถม้าฮุ่ยเจียงกับสาวใช้ก็เดินขึ้นบันไดที่มีซุ้มต้นไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เรียงรายขนาบสองข้างทาง มันสูงจนปลายต้นโน้มเอียงเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ต้นไผ่สร้างความร่มรื่นสวยงามฮุ่ยเจียงสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สูดหายใจเข้าเต็มปอด ดวงหน้างดงามเผยรอยยิ้มสดใส ยามที่สายลมอ่อน ๆ โชยพัดมาปะทะร่างของนาง ช่างสดชื่นนัก! ความรู้สึกสดชื่นที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจทำให้นางมีความสุขอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสีฟ้าใสและต้นไม้ที่พลิ้วไหวไปตามลม ความสงบเงียบของธรรมชาติช่วยปลอบประโลมจิตใจนางจากความทุกข์ทรมานจากชาติที่แล้ว สาวใช้ที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจียอีมองคุณหนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮุ่ยเจียงยิ้มอย่างสดใส ขณะสายลมพัดโชยพาให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านแมกไม้ลงมาราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เจียอีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจากใจจริง“คุณหนู ท่านช่างงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจียงหันมายิ้มให้สาวใช้ “เจียอี เจ้าไม่รู้หรอก
ฮุ่ยเจียงย่อกายทำความเคารพบุคคลทั้งสามจากนั้นก็เดินเข้าไปหาท่านพ่อที่กำลังวางตำราลงโดยมีฮุ่ยหลินเข้ามานั่งบนหัวเข่าแล้วหยิบขนมบนจานขึ้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ฮุ่ยเจียงสอดแขนไปรอบเอวของบิดาใบหน้าเล็กก้มงุดลงไปที่หน้าอกดวงตาหลับพริ้มซึมซับความรู้สึกคิดถึงท่ามกลางความแปลกใจของทั้งสามคน"เจียงเอ๋อร์ลูกพ่อเจ้าเป็นอันใดรึ เจ็บป่วยยังไม่หายใช่หรือไม่" กล่าวจบฮุ่ยหมิ่นก็ยกมือขึ้นแตกหน้าผากเช็กอาการบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเพราะปกตินางไม่ค่อยอ้อนนอกจากตอนยามเจ็บไข้ได้ป่วย"ลูกสบายดีเจ้าค่ะแต่เมื่อคืนลูกเพียงแค่ฝันร้าย" ฮุยเจียงยิ้มให้บิดาแล้วผละออกหลังจากกอดจนพอใจ นางเดินเข้าไปหามารดาที่มองด้วยสายตาอบอุ่นร่างเล็กโถมเข้าหามารดาซบลงบนอกอุ่นด้วยความคิดถึง ดวงตาของนางร้อนผ่าวจนเกือบจะไหลทำให้นางต้องกะพริบตาปริบ ๆ ไม่ปล่อยให้มันไหลออกมาเกรงว่าจะทำให้มารดาเป็นห่วง"เจ้าเด็กคนนี้อ้อนเป็นน้องสาวเจ้าไปได้" ซูลี่ลูบศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรสาวที่กำลังอ้อนราวกับเด็กน้อยใบหน้ายังคงส่งรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งเป็นใบหน้าที่ฮุ่ยเจียงเห็นจนชินตา สายตาของมารดาที่มองมาที่นางนั้นเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยไม่ว่าเวลาจะผ่านไ
เรือนฮุ่ยหลันฮุ่ยเจียงเดินเข้ามาในเรือน พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน "ท่านราชครูและฮูหยินกำลังรออยู่ในห้องโถงขอรับ" ฮุ่ยเจียงยิ้มบาง ๆ และพยักหน้ารับ เดินตามพ่อบ้านเข้าไปในห้องโถง"คุณหนูมาแล้วขอรับ" พ่อบ้านรายงานเสร็จก็เดินถอยหลังออกไป ทันใดนั้น เสียงใส ๆ ของเด็กสองคนก็ดังขึ้น"พี่รองมาแล้ว! พี่รองมาแล้ว!" เด็กสองคนวิ่งเข้ามาหาฮุ่ยเจียงด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายสดใส ฮุ่ยเจียงย่อตัวลงอ้าแขนออกกว้างพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กของเด็กทั้งสองคนวิ่งโถมนางจนเกือบล้มฮุ่ยเจียงที่รู้อยู่แล้วว่าการมาของนางจะต้องเจอกับเจ้าลูกลิงสองตัวที่โถมเข้ามาหานางอย่างเช่นตอนนี้ ในชาติก่อนนางตั้งรับไม่ทันทำให้นางล้มกลิ้งก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นแข็งจนดูน่าตลกในสายตาบ่าวไพร่ แต่วันนี้นางตั้งรับทัน "พี่รอง! พี่รอง!" เด็กชายและเด็กหญิงร้องเรียกพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ฮุ่ยเจียงยิ้มพลางกอดพวกเขาเบา ๆ ดวงตาคู่สวยมองน้องชายและน้องสาวด้วยความรักและคิดถึง แม้น้องสาวจะเกิดจากแม่รองแต่ฮุ่ยเจียงก็มีความรักและห่วงใยน้อง ๆ เท่าเทียมกันส่วนมากนางจะใช้เวลาเล่นกับน้อง ๆ สอนคัดตัวอักษรตามที่บิดาเคยสอนและช่วยน้อง ๆ เรียนรู้สิ่งให
ร่างสูงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณเนิ่นนานความรู้สึกภายในใจรวดร้าวทรมานเจียนตายจากนั้นจึงลุกขึ้นอุ้มร่างของคนที่ตัวเองรักเดินผ่านทหารและองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเจ้าค่ะ"เฮือกก!! ร่างเล็ก ๆ สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า"เจียอี..เจ้ายังไม่ตาย" ฮุ่ยเจียงส่งเสียงร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทอีกครั้งนางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกมือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาสาวใช้ที่ทำหน้าเหลอหลา สองมือของฮุ่ยเจียงจับไหล่สาวใช้พลิกซ้ายพลิกขวาจนร่างเล็กของสาวใช้แทบจะหมุนเป็นลูกข่าง"เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่แล้วนี่ผู้ใดมาช่วยพวกเรากัน เรารอดตายแล้วใช่หรือไม่ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าลูกข้า.." ฮุ่ยเจียงยื่นมือมาแตะที่หน้าท้องของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มลูกนางยังอยู่แต่พอสาวใช้พูดแย้งขึ้นทำเอาฮุ่ยเจียงถึงกับนิ่งค้างในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนส่วนสาวใช้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รีบพูดขัดขึ้นพร้อมจ้องมาที่ฮุ่ยเจียงด้วยสายตาสับสน"คุณหนูท่านเพิ่งจะเข้าสู
เส้นทางสู่แคว้นฉี"นางทาสชั้นต่ำเดินช้าเช่นนี้คิดจะถ่วงเวลาพวกข้าอย่างนั้นรึ!!" ผู้คุมส่งเสียงตะโกนดังก้องด้วยโทสะเขาเดินเข้ามาหาทาสนางหนึ่งด้วยท่าทางคุกคามในมือของเขาถือแส้ที่ม้วนเป็นวงกลม ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหดร่างเล็ก ๆ ของเจียอีคลานหนีด้วยความหวาดกลัว เขาเงื้อมมือขึ้นสูงแล้วฟาดแส้ลงมาอย่างหนักหน่วง"โอ๊ย!!" เสียงร้องของฮุ่ยเจียงที่วิ่งเข้ามากอดร่างบางของสาวใช้คนสนิทเอาไว้แน่น นางใช้แผ่นหลังของนางรองรับแส้ที่ฟาดลงมาความแรงของมันทำให้ร่างของนางทรุดลงทันทีนางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นกลั้นเสียงร้องจากอาการเจ็บปวดแผ่นหลังของนางปริแตกเลือดไหลออกมาตามผิวเนื้อ ร่างเล็กผอมแห้งซูบเซียวประหนึ่งต้นหญ้าขาดน้ำแต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งนางพยายามปกป้องสาวใช้ของตนเองถึงแม้ว่าตอนนี้นางเองก็สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าที่นางใส่ตอนนี้ขาดเป็นริ้วไม่ต่างจากขอทานแต่ถึงแม้จะผ่านความเจ็บปวดเพียงใดแต่ฮุ่ยเจียงก็ยังอดทน มือที่อ่อนแรงและสั่นเทาโอบกอดสาวใช้คนสนิทเอาไว้"คุณหนู.." เจียอีสาวใช้ที่ติดตามมาตั้งแต่เล็กมองใบหน้าคุณหนูของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารอดีตบุตรสาวท่านราชครูหญิงสาวที่เคยงามพิล