ชาตินี้เย่เสวียนถิงจะไม่มีวันลืมภาพที่อาอู่รักษาบาดแผลของเขานางกลัวว่าเขาจะกัดลิ้นของตัวเองโดยไม่ตั้งใจเพราะความเจ็บปวด นางจึงให้เขากัดมือของนางแทนเห็นอยู่ว่าอาอู่ของเขาคือคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยเผชิญกับความลำบาก ด้วยเหตุนี้นางจึงเติบโตมาภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างระมัดระวังของเขา ทว่านางกลับต้องทนทุกข์ทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน…เพียงเพราะเขาไร้ประโยชน์และล้มเหลวในการปกป้องนางอาอู่เป็นคนมอบขาข้างนี้คืนให้เขา เขาจะทะนุถนอมและปกป้องนางให้ดีมากกว่าเดิม และมอบทุกสิ่งที่นางต้องการให้แม้แต่โลกทั้งใบเขาก็มอบให้ได้ขอแค่นางเอ่ยปากเย่เสวียนถิงทำเพียงแค่แค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นดึงแท่งเหล็กที่อยู่ข้าง ๆ ออกมาอย่างไร้อารมณ์ดวงตาของจ้าวหลี่เบิกกว้าง เสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าเย่เสวียนถิงกำลังจะทำอะไร“ท่านอะ...อ๋องเสวียน ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะ ข้ามีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย ขอเพียงปล่อยข้าไป ข้ายินดีที่จะมอบอำนาจทางทหารทางชายแดนทั้งหมดให้ ท่านคงไม่อยากลำบากหรอกกระมัง แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังส่งกองทหารมา นี่เป็นผลลัพ
การหายใจของจ้าวหลี่ไม่มั่นคงเนื่องจากความเจ็บปวด เขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวดพลางพูดว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดตอนแรกข้าถึงทำเช่นนั้น?”เย่เสวียนถิงมองอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้าไม่ได้สนใจอยากรู้ความคิดของเจ้า”คำพูดเหล่านั้นทำให้ท่าทางของจ้าวหลี่ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม และใบหน้าของเขาก็ซีดลงทว่าเขายังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดถ่วงเวลา “แม้ท่านจะช่วยข้า รับข้าเข้าร่วมกองทัพ และสอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้าด้วยตัวเอง แต่…”เขาหรี่ตาลงและมีประกายแห่งความเกลียดชังในดวงตาของเขา“แต่ท่านกลับเป็นตัวการหลักที่ทำให้ครอบครัวของข้าต้องพังทลาย!”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง “พล่ามจบหรือยัง? ข้าไม่อยากฟังเรื่องราวนองเลือดของเจ้า ตอนนี้บอกข้ามาว่าความลับนั้นคืออะไร ไม่เช่นนั้นก็...ทรมานต่อ!”เย่เสวียนถิงหมดความอดทนแล้วจ้าวหลี่ตัวสั่นด้วยความโกรธ เดิมทีเขาอยากเล่าว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตมาอย่างไร เขาอดทนต่อความอัปยศอดสูและใช้ชีวิตภายใต้สายตาของศัตรูอย่างไร และแม้แต่วิธีที่เย่เสวียนถิงฆ่าพ่อแม่และญาติของเขาในตอนนั้น!“ตอนที่ท่านนำกองทหารไปกำราบโจรทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ พ่อแม่ของข้าก็อยู่ในนั้นด้
สิ่งที่จ้าวหลี่พูดก็ดูสมเหตุสมผลเมื่อเปรียบเทียบกับคลังอาวุธขนาดใหญ่เช่นนี้ ชีวิตของเขาก็เหมือนกับหิ่งห้อยตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่งเย่เสวียนถิงเก็บท่อนเหล็ก จากนั้นก็หรี่ตามองอีกฝ่ายในที่สุดจ้าวหลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่กำลังคิดว่าตนจะหนีไปได้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ขาเย่เสวียนถิงพูดเสียงเบา “ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าก็ได้ แต่ขอแค่เจ้ายังพูดได้และยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”จ้าวหลี่ “...”แขนขาของเขาถูกทุบจนบิดเบี้ยว และแล้วจ้าวหลี่ก็หมดสติไปเพราะความเจ็บปวดเย่เสวียนถิงเทยาจากขวดกระเบื้องขนาดเล็กแล้วป้อนให้จ้าวหลี่“ท่านอ๋อง”รองแม่ทัพทำความเคารพโดยไม่ได้มองจ้าวหลี่แม้แต่น้อยเย่เสวียนถิงหรี่ตาลงแล้วถามว่า “จัดการเรื่องทางนั้นไปเป็นอย่างไรบ้าง?”“เรียนท่านอ๋อง มีข่าวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวหลี่ ทั้งหมดถูกฆ่าไม่ก็ถูกจับกุม”เมื่อได้ยินว่าการเตรียมการของเขาเป็นไปได้ด้วยดี เย่เสวียนถิงก็พยักหน้าเบา ๆเนื่องจากเขาคาดเดาการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของอีกฝ่ายได้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยมันไปได้ ในขณะที่เขากำลังสกัดกั้นและสังหารนักฆ่าที่กล้ามาช่วยจ้าวหลี
อากาศที่ร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอารู้สึกร้อนจนทนแทบไม่ไหวเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ไม่มีฝนสักหยด ตอนนี้ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไปและกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงต้นเดือนแปดซูซิงอู่เพิ่งได้รับจดหมายที่ส่งกลับมาจากชายแดนซีเป่ย นางกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองและอ่านเนื้อหาทีละตัวอักษรอย่างเงียบ ๆ ในชั่วพริบตา เวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสามเดือนแล้วไม่นานหลังจากที่เย่เสวียนถิงนำกองทัพไปยังชายแดน เขาได้เริ่มต่อสู้ประชิดกับแคว้นอู๋ตะวันตกแล้ว ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา มีการทำสงครามน้อยใหญ่อยู่หลายครั้งแม้ซูชิงอู่จะมั่นใจในตัวเย่เสวียนถิงและเชื่อว่าเขาจะไม่พลาดท่าง่าย ๆ แต่นางก็ยังคงทุกข์ทรมานและกังวลอยู่ทุกวันนางอยากจะรีบทะยานไปที่สนามรบเพื่อพบกับบุรุษที่ไม่ได้เจอหน้ามานานซูชิงอู่นวดหว่างคิ้วของตัวเอง จากนั้นก็ใช้นิ้วลูบตัวอักษรที่เขียนอย่างกระชับอันแสนคุ้นเคยนางรู้ว่าสงครามชายแดนเป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นจดหมายทุกฉบับที่เย่เสวียนถิงเขียนมาหาจึงไม่ได้มีเนื้อความมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถามถึงนางด้วยความห่วงใย แต่เมื่อพูดถึงตัวเองกลับใช้ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นสบายดี ไม่ต้องคิดมากจะไม่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมอหลวงซุนก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว “พระชายา มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หลายวันมานี้ทรงตรัสถึงชิ่นเอ๋อร์ตลอด อีกทั้งทรงไม่ยอมเสวยโอสถ อาการประชวรของฝ่าบาทก่อนหน้านี้ก็ยังไม่หายดี ครั้งนี้คง…”ซูชิงอู่เข้าใจแล้วฮ่องเต้เฒ่าคงเสียสติแล้วจริง ๆที่กลายเป็นเช่นนี้เพราะถูกกระตุ้นจนทำให้อาการแย่ลงนางหลุบตาลงแล้วพูดว่า “พวกท่านออกไปก่อน”เย่ชิวหมิงเหลือบมองนางและไม่พูดอะไร เขาแค่โบกมือสั่งให้ทุกคนในห้องออกไปจนเหลือนางอยู่คนเดียวในห้อง นางก็หยิบเข็มเงินที่หมอหลวงซุนและคนอื่น ๆ ถือเข้ามาด้วยทันที และเริ่มทำการรักษาฮ่องเต้เฒ่าเข็มหลายเล่มถูกสอดลึกเข้าไปในจุดฝังเข็มบนศีรษะของฮ่องเต้เฒ่าด้วยทักษะพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฮ่องเต้เฒ่าที่หมดสติในตอนแรกก็ลืมตาขึ้นคราแรกดวงตาของเขาขุ่นมัว แต่ก็กลับมาแจ่มชัดอย่างรวดเร็ว เมื่อหันไปมองด้านข้าง เขาก็เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ร่างกายของฮ่องเต้เฒ่ารู้สึกชาเล็กน้อย และเป็นเรื่องยากที่ขณะนี้ฮ่องเต้เฒ่าจะมีสติชัดเจน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ประคองข้าหน่อย”ซูชิงอู่ทำตามที่อีกฝ่ายบอกนางพ
หากซูชิงอู่ได้ยานั่นมาจริง ๆ นางจะไม่ให้ลูกของตัวเองกินก่อนได้อย่างไร?เหตุผลที่นางทูลฮ่องเต้เฒ่าไปตรง ๆ ก็เพราะซูชิงอู่ต้องการรีดผลประโยชน์สุดท้ายจากเขาเขาครองบัลลังก์ปกครองแคว้นหนานเย่มาหลายปีถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง คงมีความลับบางอย่างที่มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้หากฮ่องเต้เฒ่าเสียสติไปแล้ว แม้เขาจะเชื่อฟัง แต่สมองก็คงเลอะเลือนจนและลืมทุกสิ่งไปหมดและหลังจากฟื้นขึ้นมา ฮ่องเต้เฒ่าก็จะไม่ยอมเชื่อใจใครง่าย ๆเพราะนิสัยหวาดระแวงของฮ่องเต้เฒ่าได้ถูกสลักลึกลงไปในกระดูกแล้วซูชิงอู่ค่อย ๆ เงยหน้ามอง “แค่ฝ่าบาทตรัสมาก็เพียงพอแล้วเพคะ ชิงอู่เต็มใจที่จะช่วยพระองค์ให้ได้มี...พระชนม์ชีพที่ยืนยาว”ฮ่องเต้เฒ่าพูดเสียงทุ้ม “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ฝ่าบาทติดต่อกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาหลายปี คงจะทรงรู้บางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นท่านราชครูใช้เรื่องนี้มาควบคุมความเป็นความตายของฝ่าบาท เพื่อให้พระองค์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อฟังที่พวกเขาสั่งไม่ใช่หรือเพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่าหรี่ตาลง “เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ไหน?”ซูชิงอู
เมื่อฮ่องเต้เฒ่าเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อเขาก็จมอยู่ในห้วงความคิดทันใดนั้นเขาก็เริ่มคลำหาช่องลับเก่า ๆ ตรงหัวเตียง ไม่รู้ว่าเขาแตะตรงไหน จู่ ๆ กำแพงที่อยู่ติดกับเตียงมังกรก็เกิดการสั่นสะเทือน และประตูบานหนึ่งก็เปิดออกต่อหน้าซูชิงอู่ฮ่องเต้เฒ่าบังคับร่างกายให้นั่งอย่างมั่นคง แต่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงนักและเดินเข้าประตูไป “เจ้าก็ตามข้ามาด้วย ไปด้วยกันเถิด”ซูชิงอู่รู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้เฒ่าต้องซ่อนของดี ๆ อยู่มากมายนางลุกเดินตามฮ่องเต้เฒ่าเข้าไปในห้องลับทันทีที่นางเดินเข้าไป ภาพตรงหน้าก็ได้เปิดหูเปิดตาให้กับนางห้องลับนี้กว้างขวางมากและมีความหรูหราอยู่ในตัว เหมือนกับตำหนักใต้ดินที่ซ่อนอยู่ในพระราชวังตลอดทางลงบันได โฉมหน้าที่แท้จริงของตำหนักใต้ดินก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูชิงอู่ แม้นางจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าฮ่องเต้เฒ่าจะต้องมีความลับ แต่นางก็คาดไม่ถึงว่ามันจะหรูหราถึงเพียงนี้ฮ่องเต้เฒ่าใช้กำแพงประคองตัวเอง เขาเคลื่อนตัวลงไปด้านล่างพลางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ตราราชลัญจกรหยกถูกเก็บไว้ที่นั่น เอามันออกมาให้ข้าที”ดวงตาของซูชิงอู่เป็นประกาย นางรีบเดินเข้าไปเปิดช่องลับที่อยู่ด้
คำพูดเหล่านั้นเหมือนเป็นการตอกกลับ ฮ่องเต้เฒ่าแค่นเสียงเย็นและไม่พูดอะไรอีก เขาไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานเสียหน่อย ที่เขาสนใจซูชิงอู่ก็เพราะความสามารถของนางต่างหากน่าเสียดายที่ความโชคดีนี้ถูกโอรสที่ไม่ได้อยู่ในสายตาแย่งชิงไปแล้วเมื่อเห็นความตั้งใจของนางที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับอ๋องเสวียน ฮ่องเต้เฒ่าก็ทำได้แต่ถอนหายใจพลางคิดว่าเด็กคนนั้นช่างมีสายตาที่หลักแหลม“เจ้ามีความสามารถที่จะทำให้เย่เสวียนถิงขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้แท้ ๆ แล้วเหตุใดสุดท้ายถึงเลือกสนับสนุนเย่ชิวหมิงเล่า?”ซูชิงอู่ได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาของฮ่องเต้เฒ่า แต่นางก็ไม่ได้ตอบอย่างอ้อมค้อมแม้ฮ่องเต้เฒ่าจะยังคงเป็นกษัตริย์ แต่เขาก็ชราแล้ว“เพราะท่านอ๋องไม่อยากเป็นฮ่องเต้เพคะ”“ไม่อยากรึ?”ฮ่องเต้เฒ่าตกใจเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้ซ่อนความตกใจที่แสดงบนสีหน้า“ทำไมกัน?”ซูชิงอู่หันหน้ามาแล้วพูดว่า “ก็ไม่ชอบอย่างไรล่ะเพคะ จะไปมีเหตุผลอะไรมากมาย?”“เจ้าเด็กนี่...”ประโยคนี้ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าสำลักเขาโกรธมากพลางชี้นางอยู่นาน แต่เขาทำได้เพียงทิ้งมือลงอย่างจนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการโต้เถียงกับซูชิงอู่อีก“เอาล่ะ เจ้ามานี
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้