ชาตินี้เย่เสวียนถิงจะไม่มีวันลืมภาพที่อาอู่รักษาบาดแผลของเขานางกลัวว่าเขาจะกัดลิ้นของตัวเองโดยไม่ตั้งใจเพราะความเจ็บปวด นางจึงให้เขากัดมือของนางแทนเห็นอยู่ว่าอาอู่ของเขาคือคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยเผชิญกับความลำบาก ด้วยเหตุนี้นางจึงเติบโตมาภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างระมัดระวังของเขา ทว่านางกลับต้องทนทุกข์ทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน…เพียงเพราะเขาไร้ประโยชน์และล้มเหลวในการปกป้องนางอาอู่เป็นคนมอบขาข้างนี้คืนให้เขา เขาจะทะนุถนอมและปกป้องนางให้ดีมากกว่าเดิม และมอบทุกสิ่งที่นางต้องการให้แม้แต่โลกทั้งใบเขาก็มอบให้ได้ขอแค่นางเอ่ยปากเย่เสวียนถิงทำเพียงแค่แค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นดึงแท่งเหล็กที่อยู่ข้าง ๆ ออกมาอย่างไร้อารมณ์ดวงตาของจ้าวหลี่เบิกกว้าง เสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าเย่เสวียนถิงกำลังจะทำอะไร“ท่านอะ...อ๋องเสวียน ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะ ข้ามีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย ขอเพียงปล่อยข้าไป ข้ายินดีที่จะมอบอำนาจทางทหารทางชายแดนทั้งหมดให้ ท่านคงไม่อยากลำบากหรอกกระมัง แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังส่งกองทหารมา นี่เป็นผลลัพ
การหายใจของจ้าวหลี่ไม่มั่นคงเนื่องจากความเจ็บปวด เขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวดพลางพูดว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดตอนแรกข้าถึงทำเช่นนั้น?”เย่เสวียนถิงมองอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้าไม่ได้สนใจอยากรู้ความคิดของเจ้า”คำพูดเหล่านั้นทำให้ท่าทางของจ้าวหลี่ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม และใบหน้าของเขาก็ซีดลงทว่าเขายังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดถ่วงเวลา “แม้ท่านจะช่วยข้า รับข้าเข้าร่วมกองทัพ และสอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้าด้วยตัวเอง แต่…”เขาหรี่ตาลงและมีประกายแห่งความเกลียดชังในดวงตาของเขา“แต่ท่านกลับเป็นตัวการหลักที่ทำให้ครอบครัวของข้าต้องพังทลาย!”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง “พล่ามจบหรือยัง? ข้าไม่อยากฟังเรื่องราวนองเลือดของเจ้า ตอนนี้บอกข้ามาว่าความลับนั้นคืออะไร ไม่เช่นนั้นก็...ทรมานต่อ!”เย่เสวียนถิงหมดความอดทนแล้วจ้าวหลี่ตัวสั่นด้วยความโกรธ เดิมทีเขาอยากเล่าว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตมาอย่างไร เขาอดทนต่อความอัปยศอดสูและใช้ชีวิตภายใต้สายตาของศัตรูอย่างไร และแม้แต่วิธีที่เย่เสวียนถิงฆ่าพ่อแม่และญาติของเขาในตอนนั้น!“ตอนที่ท่านนำกองทหารไปกำราบโจรทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ พ่อแม่ของข้าก็อยู่ในนั้นด้
สิ่งที่จ้าวหลี่พูดก็ดูสมเหตุสมผลเมื่อเปรียบเทียบกับคลังอาวุธขนาดใหญ่เช่นนี้ ชีวิตของเขาก็เหมือนกับหิ่งห้อยตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่งเย่เสวียนถิงเก็บท่อนเหล็ก จากนั้นก็หรี่ตามองอีกฝ่ายในที่สุดจ้าวหลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่กำลังคิดว่าตนจะหนีไปได้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ขาเย่เสวียนถิงพูดเสียงเบา “ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าก็ได้ แต่ขอแค่เจ้ายังพูดได้และยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”จ้าวหลี่ “...”แขนขาของเขาถูกทุบจนบิดเบี้ยว และแล้วจ้าวหลี่ก็หมดสติไปเพราะความเจ็บปวดเย่เสวียนถิงเทยาจากขวดกระเบื้องขนาดเล็กแล้วป้อนให้จ้าวหลี่“ท่านอ๋อง”รองแม่ทัพทำความเคารพโดยไม่ได้มองจ้าวหลี่แม้แต่น้อยเย่เสวียนถิงหรี่ตาลงแล้วถามว่า “จัดการเรื่องทางนั้นไปเป็นอย่างไรบ้าง?”“เรียนท่านอ๋อง มีข่าวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวหลี่ ทั้งหมดถูกฆ่าไม่ก็ถูกจับกุม”เมื่อได้ยินว่าการเตรียมการของเขาเป็นไปได้ด้วยดี เย่เสวียนถิงก็พยักหน้าเบา ๆเนื่องจากเขาคาดเดาการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของอีกฝ่ายได้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยมันไปได้ ในขณะที่เขากำลังสกัดกั้นและสังหารนักฆ่าที่กล้ามาช่วยจ้าวหลี
อากาศที่ร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอารู้สึกร้อนจนทนแทบไม่ไหวเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ไม่มีฝนสักหยด ตอนนี้ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไปและกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงต้นเดือนแปดซูซิงอู่เพิ่งได้รับจดหมายที่ส่งกลับมาจากชายแดนซีเป่ย นางกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองและอ่านเนื้อหาทีละตัวอักษรอย่างเงียบ ๆ ในชั่วพริบตา เวลาก็ได้ผ่านไปกว่าสามเดือนแล้วไม่นานหลังจากที่เย่เสวียนถิงนำกองทัพไปยังชายแดน เขาได้เริ่มต่อสู้ประชิดกับแคว้นอู๋ตะวันตกแล้ว ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา มีการทำสงครามน้อยใหญ่อยู่หลายครั้งแม้ซูชิงอู่จะมั่นใจในตัวเย่เสวียนถิงและเชื่อว่าเขาจะไม่พลาดท่าง่าย ๆ แต่นางก็ยังคงทุกข์ทรมานและกังวลอยู่ทุกวันนางอยากจะรีบทะยานไปที่สนามรบเพื่อพบกับบุรุษที่ไม่ได้เจอหน้ามานานซูชิงอู่นวดหว่างคิ้วของตัวเอง จากนั้นก็ใช้นิ้วลูบตัวอักษรที่เขียนอย่างกระชับอันแสนคุ้นเคยนางรู้ว่าสงครามชายแดนเป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นจดหมายทุกฉบับที่เย่เสวียนถิงเขียนมาหาจึงไม่ได้มีเนื้อความมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถามถึงนางด้วยความห่วงใย แต่เมื่อพูดถึงตัวเองกลับใช้ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นสบายดี ไม่ต้องคิดมากจะไม่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมอหลวงซุนก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว “พระชายา มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หลายวันมานี้ทรงตรัสถึงชิ่นเอ๋อร์ตลอด อีกทั้งทรงไม่ยอมเสวยโอสถ อาการประชวรของฝ่าบาทก่อนหน้านี้ก็ยังไม่หายดี ครั้งนี้คง…”ซูชิงอู่เข้าใจแล้วฮ่องเต้เฒ่าคงเสียสติแล้วจริง ๆที่กลายเป็นเช่นนี้เพราะถูกกระตุ้นจนทำให้อาการแย่ลงนางหลุบตาลงแล้วพูดว่า “พวกท่านออกไปก่อน”เย่ชิวหมิงเหลือบมองนางและไม่พูดอะไร เขาแค่โบกมือสั่งให้ทุกคนในห้องออกไปจนเหลือนางอยู่คนเดียวในห้อง นางก็หยิบเข็มเงินที่หมอหลวงซุนและคนอื่น ๆ ถือเข้ามาด้วยทันที และเริ่มทำการรักษาฮ่องเต้เฒ่าเข็มหลายเล่มถูกสอดลึกเข้าไปในจุดฝังเข็มบนศีรษะของฮ่องเต้เฒ่าด้วยทักษะพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฮ่องเต้เฒ่าที่หมดสติในตอนแรกก็ลืมตาขึ้นคราแรกดวงตาของเขาขุ่นมัว แต่ก็กลับมาแจ่มชัดอย่างรวดเร็ว เมื่อหันไปมองด้านข้าง เขาก็เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ร่างกายของฮ่องเต้เฒ่ารู้สึกชาเล็กน้อย และเป็นเรื่องยากที่ขณะนี้ฮ่องเต้เฒ่าจะมีสติชัดเจน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ประคองข้าหน่อย”ซูชิงอู่ทำตามที่อีกฝ่ายบอกนางพ
หากซูชิงอู่ได้ยานั่นมาจริง ๆ นางจะไม่ให้ลูกของตัวเองกินก่อนได้อย่างไร?เหตุผลที่นางทูลฮ่องเต้เฒ่าไปตรง ๆ ก็เพราะซูชิงอู่ต้องการรีดผลประโยชน์สุดท้ายจากเขาเขาครองบัลลังก์ปกครองแคว้นหนานเย่มาหลายปีถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง คงมีความลับบางอย่างที่มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้หากฮ่องเต้เฒ่าเสียสติไปแล้ว แม้เขาจะเชื่อฟัง แต่สมองก็คงเลอะเลือนจนและลืมทุกสิ่งไปหมดและหลังจากฟื้นขึ้นมา ฮ่องเต้เฒ่าก็จะไม่ยอมเชื่อใจใครง่าย ๆเพราะนิสัยหวาดระแวงของฮ่องเต้เฒ่าได้ถูกสลักลึกลงไปในกระดูกแล้วซูชิงอู่ค่อย ๆ เงยหน้ามอง “แค่ฝ่าบาทตรัสมาก็เพียงพอแล้วเพคะ ชิงอู่เต็มใจที่จะช่วยพระองค์ให้ได้มี...พระชนม์ชีพที่ยืนยาว”ฮ่องเต้เฒ่าพูดเสียงทุ้ม “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ฝ่าบาทติดต่อกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาหลายปี คงจะทรงรู้บางอย่างเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นท่านราชครูใช้เรื่องนี้มาควบคุมความเป็นความตายของฝ่าบาท เพื่อให้พระองค์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อฟังที่พวกเขาสั่งไม่ใช่หรือเพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่าหรี่ตาลง “เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ไหน?”ซูชิงอู
เมื่อฮ่องเต้เฒ่าเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อเขาก็จมอยู่ในห้วงความคิดทันใดนั้นเขาก็เริ่มคลำหาช่องลับเก่า ๆ ตรงหัวเตียง ไม่รู้ว่าเขาแตะตรงไหน จู่ ๆ กำแพงที่อยู่ติดกับเตียงมังกรก็เกิดการสั่นสะเทือน และประตูบานหนึ่งก็เปิดออกต่อหน้าซูชิงอู่ฮ่องเต้เฒ่าบังคับร่างกายให้นั่งอย่างมั่นคง แต่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงนักและเดินเข้าประตูไป “เจ้าก็ตามข้ามาด้วย ไปด้วยกันเถิด”ซูชิงอู่รู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้เฒ่าต้องซ่อนของดี ๆ อยู่มากมายนางลุกเดินตามฮ่องเต้เฒ่าเข้าไปในห้องลับทันทีที่นางเดินเข้าไป ภาพตรงหน้าก็ได้เปิดหูเปิดตาให้กับนางห้องลับนี้กว้างขวางมากและมีความหรูหราอยู่ในตัว เหมือนกับตำหนักใต้ดินที่ซ่อนอยู่ในพระราชวังตลอดทางลงบันได โฉมหน้าที่แท้จริงของตำหนักใต้ดินก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูชิงอู่ แม้นางจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าฮ่องเต้เฒ่าจะต้องมีความลับ แต่นางก็คาดไม่ถึงว่ามันจะหรูหราถึงเพียงนี้ฮ่องเต้เฒ่าใช้กำแพงประคองตัวเอง เขาเคลื่อนตัวลงไปด้านล่างพลางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ตราราชลัญจกรหยกถูกเก็บไว้ที่นั่น เอามันออกมาให้ข้าที”ดวงตาของซูชิงอู่เป็นประกาย นางรีบเดินเข้าไปเปิดช่องลับที่อยู่ด้
คำพูดเหล่านั้นเหมือนเป็นการตอกกลับ ฮ่องเต้เฒ่าแค่นเสียงเย็นและไม่พูดอะไรอีก เขาไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานเสียหน่อย ที่เขาสนใจซูชิงอู่ก็เพราะความสามารถของนางต่างหากน่าเสียดายที่ความโชคดีนี้ถูกโอรสที่ไม่ได้อยู่ในสายตาแย่งชิงไปแล้วเมื่อเห็นความตั้งใจของนางที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับอ๋องเสวียน ฮ่องเต้เฒ่าก็ทำได้แต่ถอนหายใจพลางคิดว่าเด็กคนนั้นช่างมีสายตาที่หลักแหลม“เจ้ามีความสามารถที่จะทำให้เย่เสวียนถิงขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้แท้ ๆ แล้วเหตุใดสุดท้ายถึงเลือกสนับสนุนเย่ชิวหมิงเล่า?”ซูชิงอู่ได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาของฮ่องเต้เฒ่า แต่นางก็ไม่ได้ตอบอย่างอ้อมค้อมแม้ฮ่องเต้เฒ่าจะยังคงเป็นกษัตริย์ แต่เขาก็ชราแล้ว“เพราะท่านอ๋องไม่อยากเป็นฮ่องเต้เพคะ”“ไม่อยากรึ?”ฮ่องเต้เฒ่าตกใจเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้ซ่อนความตกใจที่แสดงบนสีหน้า“ทำไมกัน?”ซูชิงอู่หันหน้ามาแล้วพูดว่า “ก็ไม่ชอบอย่างไรล่ะเพคะ จะไปมีเหตุผลอะไรมากมาย?”“เจ้าเด็กนี่...”ประโยคนี้ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าสำลักเขาโกรธมากพลางชี้นางอยู่นาน แต่เขาทำได้เพียงทิ้งมือลงอย่างจนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการโต้เถียงกับซูชิงอู่อีก“เอาล่ะ เจ้ามานี