ฉีเทียนหยวนพูดไม่ออก "..."มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย "แม้ว่าข้าจะเชี่ยวชาญเพลงพิณ แต่ข้ารู้จักปรมาจารย์ที่มีฝีมือกว่าข้า ข้าสามารถแนะนำให้พระชายาได้..."ซูชิงอู่หรี่ตาลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ "ดูเหมือนว่าองค์ชายสามคงไม่พึงใจที่จะมายังจวนของหม่อมฉันแล้ว เช่นนั้น..."“ข้ายินดี ยินดีอย่างแน่นอน!”ตอนนี้ฉีเทียนหยวนถูกจับจุดอ่อนได้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความคิดทั้งหมดของเขาไว้เท่านั้นเย่ชิวหมิงเพิ่งเดินมาถึงประตูหลัง เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ยิ้มและพูดว่า "คิดไม่ถึงว่าพี่ฉีกับพระชายาจะสนิทกันเช่นนี้"เหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากของฉีเทียนหยวน หัวใจของเขารู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจเขากัดฟันพูด "ถือเป็นเกียรติของข้า"งานเลี้ยงครบร้อยวันสิ้นสุดลง บ่าวในจวนอ๋องก็เริ่มเข้ามาเก็บของ ขณะที่ซูชิงอู่กำลังจะเดินออกไป ฉีเทียนหยวนก็เร่งฝีเท้าตามนางไปทันทีข้างกายเขานอกจากบ่าวคนเดิมแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เขาไม่ได้พาคนอื่นมาด้วย ตอนนี้เขาจึงติดอยู่ในจวนอ๋องเพียงลำพัง“พระชายาเสวียน หากท่านกักขังข้าในจวนอ๋องนานเกินไป ไม่กลัวหรือว่าคนอื่นจะนินทา? ตอนนี้ท่านอ๋องเสวียนไม่อยู่ในเมือ
ระยะห่างกำลังพอดีอวิ๋นชิงได้ส่งบุคคลนั้นไปที่นั่นแล้วและตอนนี้ก็กลับมารายงาน "องค์ชายสามต้องการถามพระชายาว่า ท่านจะให้พระองค์เล่นพิณนานเพียงใดเพคะ?"ซูชิงอู่ยกมุมปากของนางขึ้น “เจ้าไปบอกให้เขาเล่นจนกว่าข้าจะขอให้เขาหยุด และหากเขาหยุดเล่นเอง เดาว่าเขาคงไม่อยากรู้ผลที่ตามมากระมัง”ยามกลางคืนบ่าวไพร่ในจวนต้องพักผ่อน แน่นอนว่านางจะไม่ให้เขาเล่นต่อไป แต่ในยามกลางวันนั้นเขาไม่มีทางหนีพ้นอย่างไรนางไม่ใช่ปีศาจเพียงนั้นร่างของสตรีจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งไปยังห้องเลี้ยงกู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานนางก็เหลือเพียงกระดูกเท่านั้นนางไม่แม้แต่จะไปดูเอง แต่สั่งให้คนจับมู่หรงฉางฉวนมัดไว้ และสาดน้ำปลุกเขาจนตื่นนางให้เขากินยาแก้พิษที่ช่วยยืดเวลาการแพร่ของพิษในร่างกายเพื่อให้เขามีสติชั่วคราว ซูชิงอู่มองไปที่มู่หรงฉางฉวนซึ่งลืมตาขึ้นและฟื้นคืนสติได้เล็กน้อย แล้วพูดว่า "เจ้ามาทำอะไรที่จวนอ๋อง?"มู่หรงฉางฉวนหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองเขาก็รู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้วอ๋องเสวียนกล้าแท้กระทั่งจับกุมบิดาของเขา เช่นนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่เมตตาต่อตนด้วยตอนนี้เมืองหลวงของแคว้นหนา
มู่หรงฉางฉวนไม่เคยเห็นสตรีที่โหดร้ายและโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน เขากัดฟันพยายามไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมาฟันของเขาสั่นด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างกายของเขาสั่นเทา องครักษ์เงาสิบเจ็ดและคนอื่น ๆ เห็นว่าขาของเขาถูกทำลายจนพิการไปหมดแล้ว พวกเขาจึงหยุดมือ“ซู… ชิงอู่!”ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความดุดัน“ใครก็ตามที่ล้ำเส้นข้า ข้าไม่มีวันเมตตา แม้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้ามีวิธีมากมายที่จะทำให้เจ้าตายก็ไม่ได้ อยู่ก็ไม่ได้ หากแม่ทัพมู่หรงยังสนใจ ภายภาคหน้าข้าจะพาเจ้าไปเจอดี”มู่หรงฉางฉวนกัดฟันด้วยความโกรธ "หากวันใดเจ้าตกอยู่ในมือข้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจจนไม่อาจทนได้อย่างแน่นอน!"ซูชิงอู่ยกคิ้ว "เช่นนั้นก็รอจนกว่าวันนั้นจะมาถึงแล้วกัน"นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย "องครักษ์เงาสิบเจ็ด ส่งเขากลับไปและจัดการเตือนคนในตระกูลมู่หรงให้เลิกคิดแผนการเสียที"“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ พระชายา!”แม่ทัพมู่หรงถูกส่งกลับไปยังบ้านของมู่หรงในชั่วข้ามคืน ข่าวเรื่องขาของเขาพิการก็แพร่กระจายออกไปแม่ทัพผู้ที่นำทัพบนหลังม้ามาหลายปีสูญเสียขาทั้งสองข้างในพริบตา เท่ากับว่าเขาสิ้นสภาพโดยสิ้นเชิงบรรดาผู้ที่เป
ชายแดนแถบซีเป่ยของแคว้นหนานเย่ถูกควบคุมโดยแนวป้องกันใหญ่สองแห่งของเมืองหน้าด่านตะวันตกและเขตเจิ้นเป่ย เนื่องจากทั้งสองจุดอยู่ไม่ไกลกันจึงสามารถสร้างแนวป้องกันที่แข็งแกร่ง สามารถต้านทานการรุกรานของแคว้นอู๋ตะวันตก และปกป้องราษฎรทั้งหมดแถบตะวันตกเฉียงเหนือได้ เช่นนั้นจ้าวหลี่จึงทำหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่คุมแนวป้องกันทั้งสองนี้ไว้เขาได้รับการขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่แห่งซีเป่ยแต่เดิม ทุกอย่างนี้เป็นของเย่เสวียนถิงตอนนี้แคว้นอู๋ตะวันตกได้ระดมกำลังทหารสี่แสนนายมาเพื่อโจมตีเขตเจิ้นเป่ย และจ้าวหลี่ที่ได้รับข่าวคงจะระดมทหารทั้งหมดจากเมืองหน้าด่านตะวันตกมาประจำการที่นี่ตามที่อาอู่เล่าให้ฟัง ในชีวิตที่แล้วเขาถูกส่งไปประจำการแถบตะวันตกเฉียงเหนือ และรีบกลับจากเขตเจิ้นเป่ยเพื่อไปช่วยนางเพื่อประโยชน์ของราษฎรทางตะวันตกเฉียงเหนือ เขาไม่ได้นำทัพไปด้วย เพื่อช่วยอาอู่ เขาเดินทางกลับเมืองหลวงไปเพียงลำพัง...เย่เสวียนถิงดึงสติกลับมา แววตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยมวูบหนึ่งถ้าเป็นเขาในตอนนี้ คงจะไม่โง่ขนาดนั้นอีกแล้วผู้ใต้บังคับบัญชาลังเลเล็กน้อย เสียงของเขาก็ต่ำเล็กน้อยขณะเอ่ยปาก“ท่านอ๋อง กระหม่อมมีเรื่อ
หนึ่งในสองคนนั้นคือจ้าวหลี่ในฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งซีเป่ย เขามีอำนาจยิ่งใหญ่ และสามารถระดมกำลังพลทั้งหมดในซีเป่ยได้แน่นอนว่ายังรวมไปถึงเมืองซีเป่ยแห่งนี้ด้วยเจ้าเมืองอายุราวสี่สิบกว่า ๆ ใบหน้าของเขาดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เคราที่ไว้เล็กน้อยทำให้ดูเป็นคนสุขุมและมั่นคงเขาลูบเคราของตน พลางมองไปยังนายทหารหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ยกยิ้มได้“แม่ทัพจ้าว มิใช่ว่าท่านคิดหาทางออกไว้แล้วหรอกหรือ? ไฉนจึงมาถึงขั้นนี้ได้เล่า?”ใบหน้าของจ้าวหลี่น่าเกลียดมาก เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ข่าวถูกส่งจากเมืองหลวงจะไม่มีการตอบกลับเลยข่าวสารที่ส่งไปกลับเหมือนหินที่จมลงสู่ทะเล ไม่เกิดระลอกคลื่นแม้แต่น้อย“มันก็เพราะคนเหล่านั้นไร้ความสามารถ แม้แต่สตรีหนึ่งคนกับเด็กไม่กี่คนก็ยังจัดการไม่ได้”เจ้าเมืองหัวเราะเบา ๆ "เท่าที่ข้ารู้มา ท่านอ๋องผู้นั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะเปิดช่องโหว่ให้ใครเห็นได้ง่าย ๆ พระชายาและเด็กน้อยทั้งสามต้องได้รับการคุ้มครองจากคนที่เขาจัดเตรียมไว้เป็นแน่"จ้าวหลี่กำหมัดอย่างดุเดือด สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ไม่มีวิธีอื่นที่จะจัดการกับพวกเขาแล้วหรือ?”เจ้าเมืองพยักหน้าเล็
ประตูบานเล็กแคบมาก ครั้งหนึ่งผ่านได้เพียงสามถึงห้าคน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่กองทหารหลายแสนนายที่เย่เสวียนถิงนำมาจะผ่านประตูไปได้หมดนี่เป็นการบีบคั้นอย่างแรงที่เขาทำต่อเย่เสวียนถิง ตราบใดที่มาถึงถิ่นของเขา หากเป็นงูก็ต้องขดตัว หากเป็นมังกรก็ต้องหมอบลงเย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ถามรองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “เตรียมพร้อมหมดหรือยัง?”รองแม่ทัพกล่าวด้วยความเคารพทันที "ท่านอ๋องโปรดวางใจ คนที่เข้าเมืองไปก่อนหน้านี้ได้จัดการให้ราษฎรที่อาศัยอยู่ใกล้ประตูเมืองย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ""ดีแล้ว"หลังจากที่เย่เสวียนถิงพูดจบ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองจ้าวหลี่ด้วยซ้ำ ก่อนเอ่ยปากอย่างเย็นชาออกมาเพียงว่า"ระเบิดเลย""พ่ะย่ะค่ะ!""ตู้ม!"เมื่อเย่เสวียนถิงพูดจบ ก็เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องตามมาจ้าวหลี่และพรรคพวกบนกำแพงเมืองรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาโคลงเคลง บางคนเกือบจะพลัดตกจากกำแพงหากตกจากกำแพงลงไป ย่อมกลายเป็นเศษเนื้อแน่นอนดวงตาของทุกคนแสดงความหวาดกลัวออกมา และหันมองไปยังทิศทางที่เสียงดังออกมาพวกเขาเห็นว่า ประตูเมืองซึ่งแต่เดิมปิดอยู่นั้นม
เย่เสวียนถิงนั่งอยู่บนหลังม้า ดวงตาจ้องต่ำลงเล็กน้อยหลังจากที่เขาเห็นจ้าวหลี่และเจ้าเมืองเขาก็สะบัดบังเหียนขี่ม้าให้ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวก่อนที่จ้าวหลี่จะทันได้เงยหน้าขึ้น ก็รู้สึกถึงความเย็นวาบที่คอเนื่องจากสายลมจากดาบที่พัดเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตานั้น จ้าวหลี่ถึงกับขนลุกด้วยความหวาดกลัว แต่โชคดีที่เขาเคยเป็นแม่ทัพที่นี่มาหนึ่งหรือสองปีแล้ว และฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ไม่เลว เขากลิ้งตัวไปกับพื้นเพื่อหลบเลี่ยงทันทีอย่างไรก็ตาม เย่เสวียนถิงเร็วกว่ามาก คมดาบนั้นกรีดลงกลางอกของจ้าวหลี่ทันที ทิ้งรอยบาดแผลลึกจนเห็นเลือดเนื้อกระจายอยู่บนอกของเขาหากปลายดาบยาวกว่านี้อีกเพียงนิด เขาคงจะตายไปแล้วจ้าวหลี่ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดผวา ทนความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแล้วกลิ้งตัวไปอีกครั้ง สภาพของเขาดูน่าสังเวชและโสมม ชุดเกราะเปรอะไปด้วยโคลนสกปรกเขาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล ใบหน้าสกปรกมอมแมม และได้พบกับสายตาเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเย่เสวียนถิง"ฆ่าเขาซะ"จ้าวหลี่คิดว่าตนอาจฟังผิดไปเขาเงยหน้าขึ้นและตะโกนทันที "อ๋องเสวียน ท่านคิดจะฆ่ากระหม่อมเช่นนี้ ท่านไม่กลัวหรือว่า.
น่าเสียดาย เขาไม่ได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกจากเย่เสวียนถิงเลยแม้แต่น้อยใบหน้าอันหล่อเหลานั้น บัดนี้เย็นชาและอำมหิต "ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าให้หมด""ชายแดนยามนี้จำเป็นต้องอาศัยกำลังทหารอย่างมาก หากท่านใช้วิธีการเลือดเย็นเช่นนั้น จะไม่มีปัญหา..."แต่ก่อนที่เจ้าเมืองจะพูดจบ ก็ถูกรองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างตวาดใส่ว่า "หุบปาก! ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งนี้มีท่านอ๋องของเราอยู่ ที่นี่จะต้องแข็งแกร่งดั่งกำแพงทองคำแน่นอน ส่วนพวกขี้แพ้ที่ยังคงเชื่อฟังคำสั่งของคนผู้นี้ ปล่อยไว้ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเปล่า ๆ สู้ประหารทิ้งให้หมดเพื่อขจัดปัญหาไปเลยดีกว่า หากพวกเขาต้องการมีชีวิตรอด ก็ควรรู้ว่าจะต้องเชื่อฟังผู้ใด"เย่เสวียนถิงในครั้งนี้ไม่มีความตั้งใจที่จะอดกลั้นอีกการโจมตีแคว้นอู๋ตะวันตกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว หากยังมีความขัดแย้งภายในด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้อีก นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหาครั้งใหญ่สำหรับกองทัพที่อยู่ในมือเขา เขาต้องการความจงรักภักดีอย่างที่สุด นี่คือกุญแจที่จะทำให้สามารถเอาชนะได้แม้จะด้วยจำนวนที่น้อยกว่าแม้การรบจะขึ้นอยู่กับจำนวนคนเป็นหลัก ทว่าหากสามารถจัดวางกองกำลังได้อย่างสมบูรณ์ แม้ฝ่