ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเมื่อเห็นท่าทางนั้น“ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่หรือ?”เย่เสวียนถิงพานางนั่งลงที่เก้าอี้ริมประตูและไม่พูดอะไร“ข้าไม่ได้อยากปิดบังเจ้า แค่คิดไว้ว่าจะบอกเจ้าเมื่อเจ้าอาการดีขึ้น”ซูชิงอู่จับปกคอเสื้อของเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “หากเป็นเรื่องสำคัญแล้วถูกทำให้ล่าช้าไปจะทำอย่างไร…”เย่เสวียนถิงก้มจูบหน้าผากของนาง “เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น แม้ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้ ก็รังแต่จะทำให้เจ้าเป็นกังวลขึ้นมาอีกคน”ซูชิงอู่เริ่มกังวล “แล้วหากข้ารู้ทีหลังจะไม่เป็นกังวลมากกว่าเดิมหรอกหรือ?”เย่เสวียนถิงพูดเสียงต่ำ “อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าผิดไปแล้ว”เมื่อซูชิงอู่เห็นว่าเขายอมรับผิด นางก็ลดน้ำเสียงลง “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงร่างกายของข้า แต่ข้าหาใช่เศษแป้งที่จะแบนเมื่อถูกบีบ ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรข้าทั้งนั้น ข้ารู้จักตัวเองดีและตระหนักอยู่เสมอว่าควรจะดูแลตัวเองให้ดีก่อน”เย่เสวียนถิงพยักหน้า เขาอุ้มซูชิงอู่ไปที่ห้องของลั่วลั่วโดยไม่พูดอะไรอีกหมอหลวงซุนและแม่นมคอยเฝ้าอยู่ตรงโถงด้านนอกเมื่อเห็นคนทั้งสองมาก็รีบลุกขึ้นทัน
จู่ ๆ ซูชิงอู่ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเย่เสวียนถิงทันใดนั้นนางก็เหมือนนึกอะไรออก “เสวียนถิง มีหมอยาที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้ารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีใครสักคนหรือใบสั่งยาในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาโรคนี้ได้!”จากการทดลองที่นางประสบในชาติก่อน ซูซิงอู่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับหนอนกู่และพิษอันมหัศจรรย์มากมายนอกจากนี้ตำรายาที่ตระกูลฝางทิ้งไว้ได้เขียนบันทึกใบสั่งยาต่าง ๆ ไว้ด้วย นางไม่เชื่อว่าจะไม่มียาใดที่สามารถรักษาลูกสาวของนางได้เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ“ลูกไม่เป็นอะไรหรอก อย่ารีบร้อนเกินไปเลย”กำลังวังชาในร่างกายของซูชิงอู่ดูเหมือนจะถูกสูบออกไปนางรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แม้จะมีใบสั่งยาแต่ประสิทธิภาพของยาเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทารกแรกเกิดจะทนได้หนอนหยกเลือดเป็นหนอนกู่ช่วยชีวิตที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง ซูชิงอู่โชคดีมากที่สามารถฝึกฝนมันได้เพราะกู่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์นั้นยากมากที่จะมีชีวิตรอด แม้จะเลี้ยงพวกมันไว้หลายร้อยตัว แต่สุดท้ายพวกมันก็อาจจะไม่เหลือรอดเลยยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็มีอยู่จำนวนจำกัดและหายากเป็นทุนเดิมสิ่ง
เย่เสวียนถิงไม่ได้มีท่าทีจริงจัง เขาไม่ได้ถือว่าเย่อวิ๋นถูเป็นคู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำที่เขาคิดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความเย่อหยิ่ง แต่เพราะอีกฝ่ายไม่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเขาได้และคงไม่มีทางพุ่งเป้ามาที่เขาสิ่งที่เขาควรระวังมากที่สุดในตอนนี้คือทางฝั่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่เด็กจะได้ถือกำเนิด ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือโจมตีซูชิงอู่หลายต่อหลายครั้ง และตอนนี้เขากลัวว่าทางฝั่งนั้นจะใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้อย่างไร้ปรานีแม้เย่เสวียนจะไม่ทราบจุดประสงค์ในการโจมตีของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็รู้ว่าต้องมีบางอย่างที่พวกเขาต้องการจากซูชิงอู่และลูกส่วนแผนการของเย่อวิ๋นถูที่ต้องการจัดการกับเย่ชิวหมิง เขาไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่ได้สนใจมากนักว่าทั้งสองคนจะตายหรือมีชีวิตอยู่องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางทำความเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายจากนั้นเขาก็รีบลุกขึ้นและกล่าวคำนับ “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงครุ่นคิดไปมา สุดท้ายก็บอกซูชิงอู่เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อซูชิงอู่ได้ฟังเรื่องราว นางก็มีความคิดคล้ายกับเย่เสวียนถิง นางจึงเขียนจดหมายต
เขาหยุดชะงัก จากนั้นก็ลดเสียงลงและหรี่ตาเล็กน้อย “เช่นนั้นเขาก็เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แต่เพียงผู้เดียว”หากเย่ชิวหมิงไม่รู้ว่าความเป็นตายของเขาขึ้นอยู่กับความคิดของซูชิงอู่ เขาอาจจะเชื่อคำพูดของฉีเทียนหยวนจริง ๆน้ำเสียงสงสัยของอีกฝ่ายแฝงความยุยงเอาไว้ทุกคนล้วนเห็นว่าเย่ชิวหมิงให้ความสำคัญกับอ๋องเสวียนเพียงใด ฉีเทียนหยวนเองก็เห็นเช่นนั้นในใจของเขาเองก็ได้คิดคำนวนเอาไว้แล้วเย่ชิวหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่ฉี สิ่งที่ท่านพูดก็ถือว่ามีเหตุผล”ฉีเทียนหยวนเงยหน้าพลางรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย“องค์รัชทายาท หากท่านไม่สามารถจัดการกับอ๋องเสวียนได้ ข้าจะช่วยเป็นกำลังให้ท่านเอง”ตอนนี้น้องสาวของเขากลายเป็นชายารัชทายาทแล้ว เขากับเย่ชิวหมิงจึงกลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปโดยปริยายในสถานการณ์เช่นนี้ การทำให้เย่ชิวหมิงเชื่อใจแค่เขาและลงเรือลำเดียวกันกับเขาเท่านั้นจึงจะได้รับประโยชน์สูงสุดการมีอยู่ของอ๋องเสวียนชวนให้รู้สึกเหมือนมีมารผจญ หากเย่ชิวหมิงยังคงพึ่งพาอ๋องเสวียน พวกเขาก็คงจะถูกบีบให้ไร้อำนาจเย่ชิวหมิงหรี่ตาลง เขาอ่านความคิดของฉีเทียนหยวนออกหมดแล้วเขาใฝ่ฝันอยากจะได้ตำแหน่งอ
ดวงตาของซูชิงอู่ส่องประกายพี่ใหญ่และพี่รองจากเมืองหลวงไปหลายเดือนเพื่อช่วยเหลืออัครเสนาบดีซูแทนนางแต่ด้วยภาระงานที่จัดเตรียมไว้เงียบ ๆ ยังไม่เสร็จสิ้นจึงไม่ได้กลับมาเลยเมื่อเดือนก่อนหลังจากที่นางคลอดลูก แม้นางจะได้รับจดหมาย แต่นางก็ไม่เคยได้รับข่าวที่ทำให้สบายใจขึ้นว่าทั้งสองคนจะกลับมานางมองไปที่เย่หลิงจูอย่างรวดเร็ว “หลิงจู ช่วยดูแลพวกเขาให้ที ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”เย่หลิงจูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ“มีข้าอยู่ พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วง”บรรยากาศหน้าจวนคึกคักราวกับมีงานเทศกาลคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เป็นซูหัวจิ่นและซูเชียนหมิงที่ตามเนื้อตัวยังคงเปื้อนคราบสกปรกจากการเดินทางเล็กน้อยซูชิงอู่เดินออกจากห้องพร้อมกับอวิ๋นจื่ออวิ๋นชิงตรงไปทักทายพวกเขา“พี่ใหญ่ พี่รอง...”ทันทีที่ซูชิงอู่พูดจบ ร่างสูงก็เข้ามาหาและกอดนางไว้แน่นร่างกายของซูเชียนหมิงเจือด้วยความเย็น ดวงตาของเขาแดงก่ำและเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดดูออกว่าระหว่างทางกลับมาเขาพักผ่อนไม่เพียงพออ้อมแขนของพี่รองทำให้ผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่งเสียงของซูเชียนหมิงแหบแห้ง เขาลดเสียงลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ขอ
เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาสามคู่ก็มองมาที่นางน้ำเสียงของซูหัวจิ่นเจือความสงสัย “ชิงอู่ เจ้ารู้จักค่ายชิงเฟิงได้อย่างไร?”ชื่อนี้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ และล้าสมัยมากคนที่เห็นชอบชื่อนี้ควจะไม่มีหัวด้านวรรณกรรมนักซูชิงอู่หลุบตาลงพลางนึกถึงสิ่งเหล่านั้น นางมีความทรงจำบางส่วนจากชาติก่อนติดตัวมาด้วย ตอนนี้หลังจากที่นางนึกอะไรออก ดวงตาของนางก็จะส่อประกายคมปลาบ“ค่ายชิงเฟิงอะไรนั่นเป็นเพียงเครื่องมือที่ตระกูลมู่หรงใช้เพื่อหาเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่ายชิงเฟิงหรือค่ายเป่ยเฟิง ก็ล้วนมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง”คนที่นั่งฟังอยู่นั้นก็ไม่ได้โง่เขลา ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เข้าใจทันทีว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไร?”เย่เสวียนถิงพูดเนิบ ๆ “พวกมันปล้นขบวนเบี้ยบรรเทาทุกข์ ทั้งยังปล้นฆ่าเผาบ้านเรือน การที่ยังไม่สามารถกำจัดพวกมันได้แม้จะผ่านมาเป็นเวลานาน แสดงให้เห็นว่าต้องมีคนจากราชสำนักแอบสนับสนุนพวกมันอยู่ อาอู่พูดถูกแล้ว”ดวงตาของซูหัวจิ่นเบิกกว้างขึ้นในขณะที่เขาฟังคู่รักอธิบายไปมา“เชียนหมิงเคยนำคนไปโจมตีค่ายชิงเฟิง แต่คนเหล่านั้นได้หนีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเ
ทารกน้อยที่นุ่มนิ่มบอบบางและงดงามในอ้อมแขนเขาตอนนี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องสาวเขาความรู้สึกนี้ทำให้เขานึกถึงน้องสาวที่เคยเห็นเมื่อตอนยังเด็กขึ้นมาซูเชียนหมิงเอ็นดูซูชิงอู่มาตั้งแต่เด็ก และแน่นอนว่ามันเกิดจากที่เขาชอบช่วยท่านแม่ดูแลน้องสาวของเขามากที่สุดเขาสัมผัสใบหน้าขาวเนียนและละเอียดอ่อนราวกับไข่ปอกเปลือกของทารกน้อยอย่างอ่อนโยนดวงตาสีเข้มโตคู่หนึ่งเปิดขึ้นพาขนตายาวเป็นแพพัดขึ้นมาด้วย เจ้าหนูคนโตที่ร้องไห้งอแงเมื่อครู่ก็หยุดร้องทันทีราวกับเห็นสิ่งที่น่าสนใจ แล้วจู่ ๆ ก็ยื่นมือออกมา“โอ๊ย ๆ ...ไม่ได้นะเจ้าหนู อย่าดึง!”สิ่งที่ตามมาคือเสียงอุทานของซูเซียนหมิงซูเซียนหมิงที่ถูกดึงผมหลุดไปกระจุกหนึ่งก็ส่งทารกในอ้อมแขนให้กับแม่นมเขาถอนหายใจพลางเอ่ยด้วยความคิดถึงวันเก่า ๆ “ไม่เห็นน่ารักเหมือนเจ้าตอนเด็ก ๆ เลย”ซูชิงอู่มองท่าทางของซูเซียนหมิงและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆสุดท้ายทั้งห้องก็เงียบลง ทารกน้อยที่แสนสดใสทั้งสองต่างจ้องมองไปยังคนสองคนที่มาใหม่อย่างตั้งใจมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นมีเพียงดวงตาของสาวน้อยตัวเล็ก ๆ คนสุดท้องเท่านั้นที่ไม่ได้สบตาพวกเขาซูหัวจิ่นได้รู
คนผู้นั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย เป็นสตรีอายุประมาณยี่สิบปี นางสวมผ้าคลุมหน้า ดวงตาของนางค่อนข้างน่าเกรงขามและมีท่าทางการเดินที่เด่นเป็นสง่าซูชิงอู่ได้กลายเป็นแม่ลูกสาม และกลิ่นอายของสตรีแรกรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของนางก็สูญสิ้นไปมากแล้วปัจจุบันดวงหน้าของซูชิงอู่มีเสน่ห์และงดงามราวกับภาพวาด นางสวมชุดลำลองที่ค่อนข้างบางเบาและเดินออกมาโดยไม่อิดออดนางเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ท่านหมอเทวดาหญิง”หมอเทวดาหญิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหลุบสายตาลงอย่างสงบ น้ำเสียงของนางแม้เย็นชาแต่น่าฟัง ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสะอาดและบริสุทธิ์ความประทับใจแรกของซูชิงอู่ที่มีต่อนางคือท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำไม่แปลกใจที่พี่ใหญ่ยังจำนางได้แม้จะผ่านมานานแล้วไม่สิ เมื่อมองหน้าตาของอีกฝ่าย นางก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยเหมือนเคยเห็นในภาพวาดสักภาพหลังจากเกิดใหม่ ความทรงจำของซูชิงอู่ก็แจ่มชัดขึ้นอย่างมาก และไม่ได้เลอะเลือนอีกต่อไปทันใดนั้นดวงตาของนางก็สั่นไหวราวกับนึกอะไรออกสตรีนางนั้นค่อย ๆ โน้มตัวทักทาย “นั่นเป็นเพียงชื่อปลอมที่คนอื่น ๆ บอกกล่าวกันตามใจชอบ พระชายาเรียกหม่อมฉันว่าเจี่ยหร