ซูชิงอู่ยิ้มให้ฉีหว่านเอ๋อร์อย่างใจดี“องค์หญิงอย่าได้ทรงกังวลไปเลยเพคะ”ฉีหว่านเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก นางรู้ว่าซูชิงอู่คือใคร เมื่อครู่ตอนที่เป็นลมอยู่ในห้อง นางได้ถูกลักพาตัวมา...“เจ้าคิดจะทำอะไร?”นางถามอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็พูดว่า “องค์หญิงทรงอยากพบองค์ชายใหญ่หรือไม่เพคะ?”เมื่อฉีหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาของนางก็เป็นประกายนางกัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพยักหน้าแต่นางกลับพูดว่า “เสด็จพี่ไม่ให้ข้าไปพบองค์ชายใหญ่อีก ทั้งยังบอกว่าจะให้ข้าอภิเษกกับองค์ชายสาม…”ฉีหว่านเอ๋อร์เป็นคนที่อ่อนโยนมาก นางพูดแต่ละคำอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลให้ความรู้สึกสง่างามและเงียบสงบเป็นพิเศษซูชิงอู่มองนางราวกับกำลังมองลูกสะใภ้ของตัวเองซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ “แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรล่ะเพคะ?”ฉีหว่านเอ๋อร์ก้มหน้า “ขะ...ข้าไม่อยากทำ ข้าฝันอยากแต่งงานกับบุรุษเช่นองค์ชายใหญ่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว”ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่าเย่ชิวหมิงที่ดูซื่อบื้อจะมัดใจองค์หญิงได้อย่างอยู่หมัดทว่านั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเขา เขาสามารถเสแสร้งได้ชั่วค
“ไม่นะ…”“อย่าไป!”ทั้งสองคนพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกันเมื่อเห็นคนทั้งคู่ใจตรงกันเช่นนี้ ซูชิงอู่ก็กระตุกมุมปากแล้วพูดว่า “เอาล่ะ พวกท่านสองคนค่อย ๆ พูดคุยกันไปนะเพคะ ภารกิจของหม่อมฉันเสร็จสิ้นแล้ว อวิ๋นจื่ออวิ๋นชิง ส่วนเกินอย่างพวกเราคงต้องรีบออกไปแล้วล่ะ อย่าอยู่เป็นก้างขวางคอเลย”“เพคะพระชายา!”สาวน้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน จากนั้นจึงรีบเดินตามพระชายาออกไปที่สวนหลังเรือนทันทีซูชิงอู่ไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกผิดแต่อย่างใดในการลักพาตัวองค์หญิงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่อวิ๋นถูก็ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนี้และทำให้ผู้หญิงบริสุทธิ์อีกคนต้องเสียใจถึงอย่างไรฉีหว่านเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงาน และหลังจากที่นางสังเกตมาเป็นเวลานาน เย่ชิวหมิงก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดจริง ๆขอเพียงทั้งสองมีใจให้กัน นางก็ยินดีที่จะเป็นแม่สื่อให้อวิ๋นจื่อที่อยู่ข้างกายซูชิงอู่มาตลอดย่อมได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับฉีเทียนหยวนสาวใช้ผู้น้อยอยากรู้อยากเห็นมาก จึงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ที่พระชายาพูดว่าอยากให้องค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาท นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเพคะ...”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว “พระชายาของเจ้าเคยพูดโกหกด้วยหรือ?”นางเงยหน้า
แม้ซูชิงอู่จะไม่แปลกใจ แต่นางก็ถอนหายใจเล็กน้อยอยู่ในใจนางคิดว่างานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้คงจะมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม แต่นางคาดไม่ถึงว่าแม้จะผ่านมาสองชาติแล้ว บางสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็ยังเกิดขึ้นตามเดิมด้วยเหตุนี้นางจึงได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเหมือนกับชาติก่อนอย่างแน่นอน...ซูชิงอู่ไม่ยอมจากไปแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแทน “ให้ข้าเข้าไปเถอะ หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเองและจะไม่ให้เดือดร้อนไปถึงเจ้า”เมื่อนางกำนัลผู้นั้นเห็นว่าซูชิงอู่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้าไป นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลีกทางให้เมื่อซูชิงอู่เปิดประตู นางก็ได้ยินเสียงไอซูเฟยร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ฤดูกาลจะผันเปลี่ยนไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ ก็มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้ลมหนาวพัดมาได้ง่ายดังนั้นจึงไม่มีใครสงสัยสาเหตุอาการป่วยของซูเฟยเย่เสวียนถิงที่เดินตามหลังซูชิงอู่ หลังจากผ่านประตูเข้ามาแล้ว เขาก็ปิดประตูด้วยตัวเองเข้ารับรู้การเคลื่อนไหวของซูชิงอู่ในครั้งนี้มาล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเย่เสวียนถิงจึงรู้จุดประสงค์ของนางในการมาท
การที่จะหานางกำนัลที่ลงมือทำมันง่าย แต่เรื่องราวสกปรกในวังหลังมันมีมากมาย แม้จะจับตัวมาได้ก็ยากที่จะถามหาความจริงแทนที่จะทำให้ศัตรูรู้ตัว ไม่สู้รอดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ จับตามองหมากตัวนั้นและป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าพวกเขาค้นพบมันแล้ว จึงจะสามารถได้รับประโยชน์สูงสุดได้ซูชิงอู่รู้ดีว่าจุดประสงค์ของฮองเฮาคืออะไร นางกล่าวเสียงเบา “ซูเฟย ท่านป่วยแล้ว ไทเฮาก็จะมอบหมายทุกอย่างในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดนี้ให้ฮองเฮาจัดการ”“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”เมื่อได้ยินคำถามของซูเฟย ซูชิงอู่ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “นั่นหม่อมฉันพูดไม่ได้ หม่อมฉันให้คนต้มยามาให้ท่านแล้ว สำหรับอาการไข้หวัดแบบนี้ได้ผลดีมาก กินสักประมาณสองวันพระนางก็จะทรงดีขึ้น พระนางทรงไม่สบายอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใดอีก”ซูเฟยดูตะลึง "เจ้าเด็กคนนี้นี่!"นางเงยหน้าขึ้นมาและรอฟังสิ่งที่ซูชิงอู่จะพูด แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับทำให้ต้องรอคอยอีกแล้ว!ซูชิงอู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าทำแบบนี้มันผิดแต่อย่างไร หลังจากทิ้งความสงสัยไว้ให้ซูเฟยแล้ว นางก็ออกไปพร้อมกับเย่เสวียนถิงใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงวันประสูติแล้วขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและทหารของราชวงศ์ก็มารวมตัวกันใน
ในขณะที่เขากำลังพูด ก็มีคนเข้ามาจากด้านหลังและคลี่ม้วนภาพให้ทุกคนดูอย่างระมัดระวังซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อมองภาพนั้น สีหน้าพวกเขาก็แปลกไปเล็กน้อยนางกระซิบข้างหูเย่เสวียนถิงว่า “ภาพวาดนั้น...ดูเหมือนจะเป็นของปลอมนะ”เย่เสวียนถิงเลิกคิ้ว เขายังจำได้ว่าภาพวาดของจริงซูชิงอู่มอบให้ซูหัวจิ่น และซูหัวจิ่นก็ถวายแก่ฮ่องเต้ไปแล้ว...ดังนั้น...เขาไม่พูดอะไร และพาซูชิงอู่ไปหาที่นั่งคนที่อยู่ด้านข้างเกิดความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมามือเปล่า อีกทั้งคนรับใช้ที่อยู่รอบตัวก็ไม่ได้เอาอะไรมาเลยทุกปีในงานเลี้ยงวันประสูติของฮ่องเต้และไทเฮา สิ่งของต่าง ๆ ที่เหล่าองค์ชายและองค์หญิงมอบให้จะกลายเป็นจุดสำคัญของการแข่งขันใครก็ตามที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และไทเฮา ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นวันเกิดไทเฮาในโอกาสสำคัญเช่นนี้ ทุกคนต่างอยากหยิบสิ่งของล้ำค่าที่สุดออกมา เพื่อให้ไทเฮาสนใจแต่เพราะภาพที่เย่อวิ๋นถูนำออกมา ข้าราชการทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นต่างก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่เพราะมีสมบัติมากมายที่ไม่สามารถประเมินค่าด้วยเงินได้แม้แต่พระพุทธ
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขา ไทเฮาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นหรือฝ่าบาท?”ฮ่องเต้แตะมัน แววตาของเขาดูโกรธจัดเขาจำได้ว่าภาพวาดนี้เป็นของขวัญที่บุตรชายคนโตของตระกูลซูถวายมาให้ตอนแรกเขามัวแต่ดีใจจนไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ตอนนี้มาเห็นอีกภาพที่เหมือนกันทุกประการ จะไม่ให้เขาคิดมากได้อย่างไรแม้ว่าวันนี้จะเป็นงานเลี้ยงวันประสูติไทเฮา และไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าวในที่สาธารณะ แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถกลืนความโกรธนี้ลงไปได้หากภาพนั้นเป็นของปลอมจริง ๆ ซูหัวจิ่นก็เท่ากับทำความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้!เนื่องจากมีอคติมาก่อน ฮ่องเต้จึงไม่เคยคิดว่าคนที่ส่งของปลอมมาคือเย่อวิ๋นถู...ซูหัวจิ่นไม่มีเส้นสาย และไม่มีเงิน เขาจะโชคดีเพียงใดที่ได้ภาพวาดนั้นมา?ดวงตาของฮ่องเต้หนักอึ้ง ทันใดนั้นเขาก็พูดกับขันทีที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “ไปเอาภาพวาดจากคลังสมบัติของข้ามา”ขันทีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบตอบ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”เขาดุขันทีตัวเล็กที่อยู่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ขอให้พวกเขาเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นหลังจากนั้นไม่นานภาพวาดที่ถูกเก็บไว้ในคลังของฮ่องเต้ก็ถูกนำมาวางต่อหน้าผู้คนฮ่องเต้หยิบมั
แนวทางเกือบจะเหมือนกันทุกประการนางลดสายตาลง จับมือของเย่เสวียนถิงเบา ๆ รอผลการถกเถียงเกี่ยวกับภาพวาดทั้งสองนางอยากเห็นเย่อวิ๋นถูอับอายต่อหน้าสาธารณชน!แน่นอนว่าเมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะ“ซูหัวจิ่น น่าชื่นชมนัก!”ตอนนี้ไม่มีพี่น้องซูคนใดอยู่ในวัง ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถพูดแทนพวกเขาได้เลยแต่ในเวลานี้จู่ ๆ ก็มีคนในหมู่ขุนนางกล่าวขึ้น“เหตุใดฝ่าบาทจึงคิดว่าภาพวาดของใต้เท้าซูเป็นของปลอมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อได้ยินเสียงพูดขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทุกคนก็หันไปมองทันทีก็เห็นข้าราชการหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งเดินออกมา มองภาพวาดทั้งสองอย่างใจเย็นฮ่องเต้ตกใจเล็กน้อย “อวิ๋นเซียงหรูเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ใบหน้าของอวิ๋นเซียงหรูสงบและน้ำเสียงของเขาก็สงบ “เพราะในความคิดของกระหม่อม ภาพวาดที่องค์ชายสามมอบให้ไทเฮาต่างหากที่เป็นของปลอม”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย่อวิ๋นถูก็มองเขาอย่างเย็นชาทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหล ใส่ร้ายข้า!”สวีชิงโม่ก็แทรกออกมาจากฝูงชน ยืนอยู่ข้างอวิ๋นเซียงหรูและเอ่ยด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมพอ
ภาพทิวทัศน์อีกภาพถูกนำมาให้ผู้คนได้เห็นในไม่ช้าสวีชิงโม่วางภาพวาดทั้งสามลงบนโต๊ะทันทีเขายืนอยู่ข้างฮ่องเต้ เปรียบเทียบภาพวาดทั้งสามอย่างละเอียด“ฝ่าบาทโปรดตรวจดูตราประทับนี้ให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุที่หลายปีมานี้ไม่มีใครสามารถเลียนแบบจิตรกรไป๋ได้ก็เป็นเพราะเหตุนี้เป็นหลัก แท่นหมึกที่จิตรกรไป๋ใช้นั้นทำขึ้นเอง สามารถปล่อยกลิ่นหอมออกมาได้ แม้จะทิ้งไว้นานหลายปี ก็ยังได้กลิ่นชัดเจน”“นอกจากนี้พู่กันและหมึกที่ใช้ในภาพเขียนนี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากมาก เส้นที่วาดออกมาก็มีความเรียบเนียนและสวยงามมาก ในรายละเอียดบางส่วนในภาพทั้งสองภาพใช้ทักษะเดียวกันทุกประการ ส่วนภาพสุดท้ายจะเห็นได้ชัดว่าเป็นของด้อยคุณภาพ มองเผิน ๆ เหมือนกัน แต่ดูละเอียดแล้วเทียบกันไม่ได้”สวีชิงโม่พูดอย่างชัดเจน วิจารณ์ภาพปลอมจนไม่เหลือดีคนอื่น ๆ ต่างเงียบ แม้ว่าสิ่งที่สวีชิงโม่พูดจะค่อนข้างเกินจริง แต่ใครก็ตามที่มีสมองจะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง...ภาพวาดที่เย่อวิ๋นถูส่งมานั้นเป็นของปลอมแน่นอน จะสังสัยอะไรได้อีก?บรรยากาศเงียบสงัดชั่วขณะ ทุกคนมองไปทางองค์ชายสามอย่างไม่ตั้งใจเห็นว่าใบหน้าของเย่อวิ