“ท่านน่ะหรือ?”ฮูหยินหลินขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อสิ่งที่ซูชิงอู่พูดซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก แล้วมองดูหลินเสวี่ยอิ๋งที่เกือบจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ถูกคนรับใช้สองคนช่วยพยุง รอยยิ้มที่ชั่วร้ายเล็ก ๆ ปรากฏบนดวงตาของนาง“แน่นอนว่าข้ารักษาได้ อีกอย่างตอนนี้ฮูหยินหลินก็คงจนปัญญาแล้ว ท่านหญิงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ลองดูคงไม่เสียหายอะไรหรอก”ฮูหยินหลินฟังแล้ว รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องแต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว นางก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ซูชิงอู่พูดนั้นสมเหตุสมผลอยู่บ้างใบหน้าของนางหม่นลง พูดขึ้นว่า "หากท่านไม่สามารถรักษาเสวี่ยอิ๋งได้ ข้าจะคิดบัญชีทั้งเก่าและใหม่ด้วยกันก็อย่ามาโทษข้าล่ะ!"ซูชิงอู่หรี่ตายิ้ม จากนั้นจึงพยักหน้า “โปรดให้คนอื่น ๆ ออกไปด้วย”ฮูหยินหลินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เหลือบมองลูกสาวของนาง “เสวี่ยอิ๋ง ลูกเชื่อฟังหน่อย แม่จะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”หลินเสวี่ยอิ๋งจ้องมองไปที่ซูชิงอู่ด้วยสายตาโกรธแค้น ราวกับว่านางจะกระโจนเข้ามาได้ทุกเมื่อ“ท่านแม่ ข้าไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่ ข้าเกลียดนาง!”ฮูหยินหลินถอนหายใจ แต่ก็ไม่รั้งอยู่ต่อเย่เสวียนถิงดูกังวลเ
ขณะที่นางพูดพลาง หยิบตะเกียบขึ้นมากินเองไปพลางระหว่างกิน นางก็ไม่ลืมที่จะอธิบายว่า “กรอบนอกนุ่มใน น้ำแกงก็อร่อย เนื้อก็นุ่ม ไม่มันเลี่ยน อย่างที่คิดไว้เลย...”หลินเสวี่ยอิ๋งหิวมากแล้วและอาหารที่คนนำมาปกติก็ถูกนางโยนทิ้งไป ก่อนนั้นอย่างน้อยนางก็ยังทนได้แต่ตอนนี้มีซูชิงอู่มากินต่อหน้านาง ทำให้นางน้ำลายไหลไม่หยุดยิ่งไปกว่านั้นอาหารยังอยู่ใกล้แค่เอื้อมทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งเสียสมาธิตลอดเวลา ความตั้งใจที่ไม่แน่วแน่ของนางกำลังจะพังทลายลง...นางรีบเอื้อมมือไปควานหายาใต้หมอนหลังจากกินยาแล้วจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมากนัก นี่คือสิ่งที่หมอหลวงบอกนางนางอาศัยยานี้เอาตัวรอดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอย่างไรก็ตาม...ยาหายไปแล้วซูชิงอู่วางขวดกระเบื้องเคลือบอีกขวดไว้บนโต๊ะ“เจ้าหายานี่อยู่หรือ?”หลินเสวี่ยอิ๋งเมื่อเห็นว่าของของตนอยู่ในมือซูชิงอู่ โดยไม่รู้ว่านางได้ไปอย่างไร สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “เอาคืนมา เอาของข้าคืนมา!!"ซูชิงอู่ยิ้มแล้ว จากนั้นจึงโยนขวดยาออกไปนอกหน้าต่าง“ถ้าอยากได้ก็ไปหาเอาเอง”“เจ้า…”หลินเสวี่ยอิ๋งโกรธมาก รีบวิ่งเข้าไปหมายจะคว่ำ
เมื่อฮูหยินหลินถูกเรียกเข้าไป นางก็ได้เห็นลูกสาวของนางนอนดื่มโจ๊กอยู่ข้างโต๊ะซูชิงอู่เช็ดมุมปากของนาง ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท้องไส้ของท่านหญิงไม่ค่อยดี ดังนั้นนางอาจไม่สามารถกินปลาและเนื้อสัตว์ย่อยยากเหล่านี้ได้ แต่ฮูหยินก็เห็นแล้วว่าตอนนี้นางกินอาหารได้แล้ว”เมื่อฮูหยินหลินเห็นภาพนี้ ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว รีบพุ่งไปกอดลูกสาวเอาไว้ในอ้อมแขนทันทีสำหรับลูกสาวสุดที่รักคนนี้ ฮูหยินหลินรักดั่งแก้วตาดวงใจ แต่ตอนนี้นางประสบกับความทุกข์ทรมาน นางเองก็ผ่ายผอมลงไปมากเมื่อหลินเสวี่ยอิ๋งเห็นแม่ของนางเป็นเช่นนี้ นางก็ตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านี้เป็นนางที่เอาแต่ใจเกินไปเมื่อคิดไปได้ว่าแม่ของนางพยายามหาทางช่วยเหลือนาง ทำตามความปรารถนาของนางมาตั้งเท่าไร แต่นางกลับพยายามหลอกลวง บีบบังคับฮูหยินหลินอยู่เสมอ เสวี่ยอิ๋งก็รู้สึกผิด ใบหน้าแสดงออกว่าเสียใจเช่นกันซูชิงอู่ไม่อยู่รบกวนความผูกพันแม่ลูกนางติดตามเย่เสวียนถิงออกจากห้องไปนางถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังต้องการสิ่งอื่นอีกหรือไม่?”"อะไรหรือ?"เมื่อเห็นใบหน้ามีคำถามของเย่เสวียนถิง ซูชิงอู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดขึ้นว่า “เช่นเรื
คราวนี้นางเตรียมพร้อมมาอย่างดี ในใจคิดถึงแต่การเอาตัวรอด ไม่สนใจชีวิตสหายอีกแล้ว หากองค์หญิงสี่ไม่แสร้งป่วย เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นกับนาง และนางก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้โดยรวมแล้ว เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้องจะลึกซึ้งเพียงใด ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วซูชิงอู่เฝ้าดูสัมพันธ์ฉันพี่น้องคู่นี้ต่อสู้ด้วยสติปัญญาและเล่ห์กลของพวกนางขณะที่นางเดินตามหลังหมอชราไปอย่างช้า ๆ“แค่ก แค่ก แค่ก…”เสียงไอของเย่หมิงเยว่ดังมาจากข้างในหลินเสวี่ยอิ๋งเปิดม่านแล้วเดินเข้าไป นางมองไปที่เย่หมิงเย่วที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง จึงนั่งลงข้างเตียง และจับมือของนางทันทีมีสีหน้าวิตกกังวลและเป็นทุกข์บนใบหน้าของนาง“หมิงเยว่ เหตุใดเจ้าถึงเป็นเยี่ยงนี้เล่า? มาเยี่ยมเจ้าไม่ได้เพราะข้าก็ป่วย เป็นไข้หวัดกลัวว่าจะเอาโรคมาติดเจ้า ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว เลยมาเยี่ยมเจ้าโดยเร็วที่สุด…”เย่หมิงเยว่ฟังคำพูดของหลินเสวี่ยอิ๋ง ดวงตาของนางเป็นประกาย แต่กลับยิ้มด้วยความซาบซึ้ง“ข้าลุกไม่ไหว เสวี่ยอิ๋งโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”หลินเสวี่ยอิ๋งจับไหล่ของนาง “เหตุใดระหว่างเราต้องมากพิธีด้วยเล่า?
ซูชิงอู่ก้าวไปที่เตียงเมื่อเย่หมิงเยว่ได้ยินเสียงเคาะประตูด้านนอก ใบหน้าของนางซีดลงด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วของนางยิ่งดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น“เจ้าอย่าเข้ามานะ หากกิดอะไรขึ้นกับข้าตอนนี้ เจ้าจะต้องมีความผิดด้วยแน่นอน!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “องค์หญิงสี่เสียชีวิตจากอาการป่วย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?"“เจ้า…”ดวงตาของเย่หมิงเยว่จ้องมองนางอย่างเย็นชา นางโกรธจัดซูชิงอู่ไม่สนใจสายตาของนางเลย ชิงอู่ยื่นมือไปบีบคางนาง ทำให้นางไม่อาจส่งเสียงออกมาได้“องค์หญิงสี่ ท่านอยู่ในนั้นหรือเปล่าเพคะ?”“องค์หญิง ท่านเป็นอะไรหรือ?”ดวงตาของเย่หมิงเยว่เบิกกว้าง นางพยายามดิ้นรนต่อมือของซูชิงอู่แต่กำลังของของนางไม่เทียบกับซูชิงอู่ได้ นางจึงไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปาก ในพริบตาก็รู้ว่าเย่หมิงเยว่ใช้วิธีการใด“เจ้าเก่งจริง ๆ ถึงสามารถหายาเปลี่ยนแปลงชีพจรได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดหมอหลวงจึงหาสาเหตุไม่พบ…”"อื้อ อื้อ อื้อ..."ดวงตาของเย่หมิงเยว่เบิกกว้าง เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงอู่หลินเสวี่ยอิ๋งที่อยู่ด้านข้างก็ดูโกรธจัด เมื่อได้ยินสิ่งนี
แต่ไม่นานหลังจากที่นางพูดจบ ก็มีเสียงป่าวร้องอันเฉียบคมจากขันทีผู้น้อยด้านนอก“ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องทั้งสองครั้ง นางกำนัลทุกคนในห้องก็คุกเข่าลงทันทีเย่หมิงเยว่อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าโล่งใจยังดีที่นางมีคนหนุนหลัง!เย่หมิงเยว่พยายามลุกขึ้นจากเตียงและรีบไปที่ประตูทันทีพลางคุกเข่าต่อหน้าไทเฮาและฮองเฮาซูชิงอู่ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นฮองเฮาปรากฏตัว แต่นางก็รู้ได้ว่าคงเป็นไทเฮาที่พาฮองเฮาออกจากมาจากตำหนักเย็นใครจะคิดว่าไทเฮาที่เกลียดวิชาอาคมมากที่สุดจะยอมเข้าข้างไทเฮา?อย่างที่คาดไว้ คำพูดของเหล่าสตรีในวังหลังนั้นล้วนไม่เป็นความจริง...“เสด็จแม่ ไทเฮา โปรดช่วยหมิงเยว่ด้วย เมื่อครู่นี้พระชายาเสวียนบังคับให้หมิงเยว่ทานยา หมิงเยว่ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร...โปรดทรงช่วยเรียกหมอหลวงมาให้หมิงเยว่หน่อยนะเพคะ…”นางแทบรอไม่ไหวที่จะฟ้องด้วยสีหน้าร้อนรนเย่หมิงเยว่พยายามล้วงคอของตัวเอง แม้นางรู้สึกคลื่นไส้ แต่กลับไม่ได้อาเจียนเอาอะไรออกมา?สีหน้าของฮองเฮามีความเป็นกังวล จากนั้นพระนางก็รีบเข้ามาประคองเย่หมิงเยว่ให้ลุกขึ้นนับตั้งแต่ถูกกักบริเวณ ฮองเฮาก็ผอมลงไปมากแ
การถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่ทำให้มีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากของนางหลินเสวี่ยอิ๋งอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูชิงอู่ นางคิดว่าซูชิงอู่จะกลัวหรือเป็นกังวลบ้าง แต่นางก็ตรวจไม่พบอารมณ์ใดใดจากสีหน้าของอีกฝ่ายซูชิงอู่มองนางอย่างนิ่งสงบ ราวกับไม่ว่าตนจะตอบอย่างไรนางก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยหลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกเหมือนกำลังไต่เชือก หากนางเลือกทางผิด ผลที่ตามมาก็คือหายนะหัวใจของนางเต้นแรง ทำให้แก้มของนางแดงก่ำ หลินเสวี่ยอิ๋งรวบรวมความกล้าและเงยหน้าขึ้น “มะ...หม่อมฉันขอให้นางมาเพคะ!”แม้เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่ยามที่พูดออกมาก็หนักแน่นราวกับทองคำพันชั่งหลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกว่านางได้ใช้ความกล้าหาญทั้งหมดในชีวิตของตัวเองหมดแล้วนางเริ่มรู้สึกเสียใจหลังจากที่พูดออกไปนางจะทำอย่างไรหากไทเฮาทรงตำหนินาง?ไทเฮาทรงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด พระนางคาดไม่ถึงว่าหลินเสวี่ยอิ๋งที่ปกติไม่กล้าแม้แต่จะพูดจาเหลวไหลต่อหน้าตนจะพูดเช่นนั้นฮองเฮาเงยหน้ามองหลินเสวี่ยอิ๋ง “ตอนนี้ท่านหญิงก็ยังจะพูดช่วยนางอยู่อีกหรือ เจ้าลืมความเสียใจในงานเลี้ยงครั้งก่อน อีกทั้งเรื่องที่นางแย่งชิงคนที่เจ้ามีใจให้ไปแล้วหรือ?”
นางดึงแขนเสื้อของฮองเฮาเบา ๆฮองเฮาทรงเข้าใจความนัยของเย่หมิงเยว่ พระนางจึงหลุบตาลงพลางตบหลังเพื่อให้ความมั่นใจกับนางแม้นางจะเป็นเด็กที่ตนรับเลี้ยง แต่เย่หมิงเยว่ก็ฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นองค์หญิงเมื่อเทียบกับการต้องเสียเปล่าไปแต่งงานกับองค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวันออก นางมีคุณค่ามากกว่านั้นยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเย่อวิ๋นถูแต่งงานกับน้องสาวของอีกฝ่าย ความเกี่ยวดองทั้งหมดในฝั่งของฉีเทียนหยวนจะเป็นของพวกเขาโดยปริยาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับความปรารถนานี้เสียงฝีเท้าดังมากจากด้านนอกหมอหลวงเดินถือกระเป๋ายาเข้ามาซูชิงอู่มองไปก็พบว่าเป็นหมอหลวงที่นางไม่รู้จัก เขาคงเพิ่งจะเข้าสำนักหมอหลวงมาเขาเดินไปหาองค์หญิงสี่และพูดด้วยความเคารพ “กระหม่อมขออนุญาตตรวจชีพจรให้องค์หญิงสี่พ่ะย่ะค่ะ”เย่หมิงเยว่พยักหน้าพลางเดินตามหมอหลวงไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมน้ำตาคลอเบ้าแล้วยื่นแขนให้อีกฝ่ายหลังจากที่หมอหลวงตรวจชีพจรของนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาหลุบตาลงเล็กน้อยและดึงนิ้วออกจากชีพจรของนางเย่หมิงเยว่ถามอย่างกังวลใจ“ท่านหมอ ร่างกายข้าเป็นอย่างไรบ้