หลินเสวี่ยอิ๋งไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน ในฐานะท่านหญิง นางถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมีน้อยคนที่กล้าลงมือกับนางแต่ถึงอย่างไรไทเฮากับฮองเฮาก็ไม่ได้ทรงสนพระทัยว่านางจะอยู่ในฐานะใดนางจึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ซูชิงอู่ยังคงไม่พูด แม้นางจะเห็นคนเหล่านั้นเดินมาหา นางกลับไม่ได้ขยับเท้าด้วยซ้ำทันใดนั้น…“ฝ่าบาทเสด็จ ซูเฟยเสด็จ...”เมื่อมีเสียงป่าวร้องดังมาจากด้านนอก ทุกคนในโถงใหญ่ก็เปลี่ยนสีหน้าซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองออกไปข้างนอก นางเห็นฮ่องเต้เดินเข้ามาพร้อมกับซูเฟย เต๋อเฟย ฮุ่ยเฟยและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาด้วยนางยิ้มมุมปากนางก็มีคนหนุนหลังเช่นกันไทเฮาทรงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พระนางจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่เดินเข้ามาฮองเฮารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังไทเฮาพลางแอบมองฮ่องเต้อย่างเงียบ ๆ ด้วยสายตาคับข้องใจเและคะนึงหานางถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นมานาน แม้แต่พระพักตร์ของฝ่าบาทก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำฮ่องเต้เฒ่าทรงยืนอยู่ที่ทางเข้าโดยเอามือไพล่หลัง “ไทเฮาทรงมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ไทเฮาทรงหลุบตาลงแล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ห
“คือ... ไทเฮา กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น...”ฮ่องเต้ทรงมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นเช่นนั้น ไทเฮาก็ค่อย ๆ ส่งสายตาเย็นชาพลางตรัสว่า “หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทหมายความเช่นนั้นนะเพคะ ช่วงนี้หมอหลวงซุนมีความสนิทสนมอย่างมากกับพระชายาเสวียน รวมไปถึงซูเฟยคนอื่น ๆ ด้วย”คำพูดเหล่านั้นทำให้สีหน้าของหมอหลวงซุนเปลี่ยนไปเขาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเกรงกลัว “ไทเฮาทรงตรัสอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยมีความสนิทสนมกับเหล่าพระสนม ทุกคนในวังต่างทราบเรื่องนี้ดีพ่ะย่ะค่ะ!”“ยังจะปฏิเสธอีกหรือ? เจ้ามาช่วยเหลือพระชายาเสวียนทุกครั้ง ไหนจะทักษะด้านการแพทย์แปลก ๆ ของนางที่มีเพียงเจ้าที่เข้าใจนั่นอีก!”หมอหลวงซุนรู้สึกได้ถึงความอยุติธรรม“นั่นเป็นเพราะกระหม่อมอ่านหนังสือมามากจึงพอจะเข้าใจได้บ้าง แน่นอนว่าคงไม่ละเอียดเท่ากับพระชายาเสวียน แม้แต่กระหม่อมเองก็ยังตกใจกับทักษะด้านการแพทย์บางอย่างที่พระชายาเสวียนเคยแสดงออกมาพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้านี่ขยันปกป้องพระชายาเสวียนเสียจริงนะ!”ไทเฮาทรงหัวเราะเยาะ คำพูดของพระนางก็แปลกเล็กน้อยหมอหลวงซุนถูกไทเฮาซักถามอย่างต่อเนื่องจนแก้มของเขาแดงก่ำด้วยความวิตกกังวล แต่เขา
ฮ่องเต้เฒ่ามีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย “แม้กระหม่อมจะรู้ซึ้งในสิ่งที่ไทเฮาตรัส แต่เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้!”ไทเฮาตกตะลึงพลางหรี่ตาลงแล้วตรัสว่า “เอาล่ะ เมื่อถึงตอนที่หม่อมฉันนำความจริงทั้งหมดมากองตรงหน้าฝ่าบาทเมื่อไหร่ ฝ่าบาทก็จะได้ทราบแน่ชัดเองว่าใครเจตนาดีใครประสงค์ร้าย”ฮองเฮาเม้มปากด้วยความคับข้องใจและซ่อนตัวอยู่หลังไทเฮาต่อไปองเต้ทรงเหลือบมองหลินเสวี่ยอิ๋งและซูชิงอู่แล้วโบกมือ “ปล่อยพวกนาง”หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกราวกับนางสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดพลางมองซูเฟยอย่างน่าสงสาร“ท่านป้า…”ซูเฟยเองก็ร้อนใจ ด้วยเพราะไทเฮาทรงยืนกรานว่าจะไม่ให้หมอหลวงซุนวินิจฉัยและรักษาองค์หญิงสี่ เรื่องนี้ดูมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่นางไม่รู้ว่าจะหาข้อแก้ตัวให้หมอหลวงซุนอย่างไรณ ตอนนี้...เย่หมิงเยว่กำลังชมการแสดงอยู่ขอบสนาม ทันใดนั้นนางก็รู้สึกแน่นหน้าอก จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดนางมองเลือดที่ตัวเองอาเจียนออกมาอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวทันใดนั้นนางก็เงยหน้ามองไปทางซูชิงอู่อย่างตกตะลึง “...”นางคิดว่าซูชิงอู่คงไม่กล้าลงมือทำร้ายนางง่าย ๆทว่านางคิดผิด
“อืม เจ้าไปสิ”หลังจากได้รับอนุญาตจากไทเฮา หมอหลวงซุนก็หายใจเข้าลึก ๆ พลางเดินไปที่ข้างเตียง และเริ่มตรวจชีพจรขององค์หญิงสี่อย่างระมัดระวังแม้ชีพจรจะดูไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ทำให้หมอหลวงซุนประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีของเขา ทุกคนก็กังวลเล็กน้อยฮ่องเต้รีบตรัสถามว่า “อาการขององค์หญิงสี่เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงซุนกล่าวว่า “ชีพจรขององค์หญิงสี่แปลกมากพ่ะย่ะค่ะ…”“แปลกอย่างไร?”หมอหลวงซุนกล่าวด้วยความเคารพต่อฮ่องเต้ว่า “ตามหลักการแล้วร่างกายขององค์หญิงในตอนนี้ไม่ควรจะมีอาการเจ็บป่วยพ่ะย่ะค่ะ ทว่าชีพจรของนางกลับอ่อนแรงหลังจากร่างกายเริ่มแสดงอาการอย่างรุนแรง...ด้วยเหตุนี้ ยาบำรุงที่พระชายาเสวียนให้นางทานไปจึงส่งผลให้ชีพจรเกิดความผิดปกติ ชี่และเลือดไหลเวียนบกพร่องพ่ะย่ะค่ะ…”คนรอบข้างที่ได้ฟังต่างก็สับสนแต่ฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องนี้และถามอย่างตรงไปตรงมา “องค์หญิงสี่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หมอหลวงซุนหรี่ตาลงด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ทำการรักษาให้ดี กระหม่อมเกรงว่าเส้นเลือดในร่างกายขององค์หญิงสี่จะแตกปะทุและส่งผลถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ…”ซูเฟยเข้าประเด็นสำคัญ “หมอหลวงซุน ท่านหมายความว่าสิ่
“หลังจากรับประทานไปแล้วจะทำให้ร่างกายมีอาการเหมือนโรคร้ายแรง ส่งให้ผลการวินิจฉัยเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากได้ยินเช่นนั้น เย่หมิงเยว่ก็รู้สึกราวกับมีบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวของนางจบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!นางลงมือได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ หากซูชิงอู่ไม่เสนอหน้าออกมาเปิดเผยนางอย่างมุ่งร้าย นางก็คงไม่...ตามที่คาดไว้…ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็ขึ้นเสียง “เจ้าหมายความว่าเย่หมิงเยว่ทำการหลอกลวงโดยจงใจใช้ยานี้เพื่อแสร้งทำเป็นป่วยหนักและหลบเลี่ยงการแต่งงานรึ!”หมอหลวงซุนไม่ตอบและนิ่งเงียบเย่หมิงเยว่ตัวสั่นอย่างกังวลอยู่บนเตียง นางอยากจะลุกขึ้นแต่นางไม่มีแรง“ไม่ใช่นะเพคะ...เสด็จพ่อได้โปรดฟังลูกก่อน...”นางต้องการอธิบาย แต่ฮ่องเต้กลับหัวเสียด้วยความโกรธทรงชี้นิ้วไปที่เย่หมิงเยว่แล้วมองไปทางฮองเฮา “ดูลูกสาวแสนดีที่เจ้าอบรมมากับมือสิ นางคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงข้า! น่าเสียดายเหลือเกินที่ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงนาง พยายามสุดชีวิตเพื่อหาหมอมารักษานาง แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าหรือ?”ฮ่องเต้เฒ่ากริ้วมากเมื่อฮองเฮาได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ นางก็ตกใจมากจนขาอ่อนแรงและคุกเข่าอ้อนวอนเสียงอ่อนน
ซูเฟยยิ้มเยาะ “ในฐานะองค์หญิง หากนางไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เช่นนั้นนางจะคู่ควรกับสายเลือดราชวงศ์ได้อย่างไรเพคะ?”เมื่อไทเฮาทรงได้ยินซูเฟยโต้แย้งนางอย่างทันควัน ดวงตาของนางก็วาวโรจน์มากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของพระนางที่แต่เดิมดูใจดีตอนนี้ดูน่าขนลุกเล็กน้อย“ซูเฟย! เจ้าจงใจโต้แย้งข้ารึ?”“หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่ตามหาข้อเท็จจริงเพคะ!”“ตั้งหน้าตั้งตาหาข้อเท็จจริงอย่างดีจริงเชียว ข้าคงประเมินฝีปากของเจ้าต่ำไป เจ้าเอาแต่พูดจาไร้สาระและวุ่นวายกับข้าไม่เลิก หรือว่าเจ้าเป็นคนจัดหานางกำนัลผู้นี้เข้ามาถึงได้ขอร้องอ้อนวอนแทนนาง!”ซูเฟยตกตะลึงเล็กน้อย นางคาดไม่ถึงว่าไทเฮาจะสาดน้ำสกปรกมาหานางโต้ง ๆ เช่นนี้นางโกรธมาก แต่ไม่มีทางที่นางจะมีเรื่องขัดแย้งกับไทเฮาต่อหน้าฮ่องเต้ได้ฮ่องเต้ส่งสายตาให้ซูเฟยเป็นสัญญาณไม่ให้นางพูดต่อซูเฟยรู้สึกหดหู่ นางทำได้เพียงถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นเพราะสตรีตรงหน้านางคือไทเฮา!และเป็นพระราชมารดาทางสายเลือดของฮ่องเต้...เมื่อเห็นซูเฟยถอยกลับไป ไทเฮาก็ทรงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ยืนงงอะไรกัน พานางไปสิ!”นางกำนัลผู้นั้นถูกลากออก
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ไทเฮากับข้าปรึกษากันแล้วว่าจะให้องค์ชายสามอภิเษกกับองค์หญิงแห่งแคว้นฉีตะวันออก หากเสวี่ยอิ๋งไม่อยากแต่งงาน ข้าก็จะจัดการให้”เมื่อซูเฟยได้ยินดังนั้น นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกดวงตาของหลินเสวี่ยอิ๋งเป็นประกาย หัวใจที่วูบไปอยู่ตาตุ่มในตอนแรกก็กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิมดวงตาของนางแดงรื้น และแทบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจไม่ว่าอย่างไร จากคำพูดของฮ่องเต้ ความผิดที่ได้รับในวันนี้คงไม่สูญเปล่า และจุดประสงค์ของการมาที่นี่ก็บรรลุผลสำเร็จทันใดนั้น หลินเสวี่ยอิ๋งก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นางเข้าใจว่าซูชิงอู่ต้องการจะทำร้ายนางเมื่อนึกถึงสิ่งที่หมอหลวงพูด นางก็รู้สึกผิดขึ้นมานางย้ายไปอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่อย่างเงียบ ๆ และลดเสียงพูด “เมื่อครู่ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ควรสงสัยเจ้าเลย”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเรียวงามเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ท่านหญิงขอโทษคนอื่นเป็นแล้วหรือเจ้าคะ?”เมื่อหลินเสวี่ยอิ๋งได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แก้มของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีนางกัดฟันแล้วพูดว่า “อย่าได้ใจไป ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าไม่ใช่หรือ? เรื่องระหว่างเราสองคนก่อนหน้านี้ยังถือว่าไม่จบ!”ซูชิงอู่มองหลินเสวี่ย
ซูชิงอู่ปิดปากยิ้มเบา ๆ “ท่านพูดได้อย่างไรว่าข้าตัวคนเดียว มีซูเฟยกับเต๋อเฟยและคนอื่น ๆ อยู่ด้วย ย่อมไม่มีใครรังแกข้าได้”นางไม่รู้ตัวว่าตนได้เผลอตั้งกลุ่มในวังหลังขึ้นมายิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจียวกุ้ยเฟยก็คงไม่สามารถได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพันธมิตรของนางอีกทั้งองค์ชายใหญ่คงบอกเรื่องที่ซูชิงอู่ช่วยเขาได้ในช่วงนี้ ขอเพียงนางต้องการ เจียวกุ้ยเฟยต้องยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอนเย่เสวียนถิงรู้ว่าซูชิงอู่มีเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่รบเร้านางอีกตอนนี้ท้องช่วงล่างของนางนูนออกมาค่อนข้างชัดเจน และเมื่อเย่เสวียนถิงวางมือลงบนจุดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความโค้งมนความรู้สึกของการเป็นพ่อครั้งแรกนี้ค่อนข้างแปลกใหม่เย่เสวียนถิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง “ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อนางได้ยินเขาถาม “รีบอะไรปานนั้น ใช่ว่าลูกจะวิ่งออกจากท้องข้าได้เลยสักหน่อย?”เย่เสวียนถิงจูบหน้าผากของนาง “ต้องวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งที่ต้องอุ้มท้องเขาไปด้วย เจ้าคงจะลำบากแย่”“ไม่เป็นไรหรอก ใส่เสื้อผ้าหลวมกว่านี้หน่อยก็ดูไม่ออกแล้ว คงจะปิดบังไปได้อีกสักเดือนหนึ่ง”ในอีกห
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้