“อืม เจ้าไปสิ”หลังจากได้รับอนุญาตจากไทเฮา หมอหลวงซุนก็หายใจเข้าลึก ๆ พลางเดินไปที่ข้างเตียง และเริ่มตรวจชีพจรขององค์หญิงสี่อย่างระมัดระวังแม้ชีพจรจะดูไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ทำให้หมอหลวงซุนประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีของเขา ทุกคนก็กังวลเล็กน้อยฮ่องเต้รีบตรัสถามว่า “อาการขององค์หญิงสี่เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงซุนกล่าวว่า “ชีพจรขององค์หญิงสี่แปลกมากพ่ะย่ะค่ะ…”“แปลกอย่างไร?”หมอหลวงซุนกล่าวด้วยความเคารพต่อฮ่องเต้ว่า “ตามหลักการแล้วร่างกายขององค์หญิงในตอนนี้ไม่ควรจะมีอาการเจ็บป่วยพ่ะย่ะค่ะ ทว่าชีพจรของนางกลับอ่อนแรงหลังจากร่างกายเริ่มแสดงอาการอย่างรุนแรง...ด้วยเหตุนี้ ยาบำรุงที่พระชายาเสวียนให้นางทานไปจึงส่งผลให้ชีพจรเกิดความผิดปกติ ชี่และเลือดไหลเวียนบกพร่องพ่ะย่ะค่ะ…”คนรอบข้างที่ได้ฟังต่างก็สับสนแต่ฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องนี้และถามอย่างตรงไปตรงมา “องค์หญิงสี่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หมอหลวงซุนหรี่ตาลงด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ทำการรักษาให้ดี กระหม่อมเกรงว่าเส้นเลือดในร่างกายขององค์หญิงสี่จะแตกปะทุและส่งผลถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ…”ซูเฟยเข้าประเด็นสำคัญ “หมอหลวงซุน ท่านหมายความว่าสิ่
“หลังจากรับประทานไปแล้วจะทำให้ร่างกายมีอาการเหมือนโรคร้ายแรง ส่งให้ผลการวินิจฉัยเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากได้ยินเช่นนั้น เย่หมิงเยว่ก็รู้สึกราวกับมีบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวของนางจบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!นางลงมือได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ หากซูชิงอู่ไม่เสนอหน้าออกมาเปิดเผยนางอย่างมุ่งร้าย นางก็คงไม่...ตามที่คาดไว้…ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็ขึ้นเสียง “เจ้าหมายความว่าเย่หมิงเยว่ทำการหลอกลวงโดยจงใจใช้ยานี้เพื่อแสร้งทำเป็นป่วยหนักและหลบเลี่ยงการแต่งงานรึ!”หมอหลวงซุนไม่ตอบและนิ่งเงียบเย่หมิงเยว่ตัวสั่นอย่างกังวลอยู่บนเตียง นางอยากจะลุกขึ้นแต่นางไม่มีแรง“ไม่ใช่นะเพคะ...เสด็จพ่อได้โปรดฟังลูกก่อน...”นางต้องการอธิบาย แต่ฮ่องเต้กลับหัวเสียด้วยความโกรธทรงชี้นิ้วไปที่เย่หมิงเยว่แล้วมองไปทางฮองเฮา “ดูลูกสาวแสนดีที่เจ้าอบรมมากับมือสิ นางคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงข้า! น่าเสียดายเหลือเกินที่ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงนาง พยายามสุดชีวิตเพื่อหาหมอมารักษานาง แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าหรือ?”ฮ่องเต้เฒ่ากริ้วมากเมื่อฮองเฮาได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ นางก็ตกใจมากจนขาอ่อนแรงและคุกเข่าอ้อนวอนเสียงอ่อนน
ซูเฟยยิ้มเยาะ “ในฐานะองค์หญิง หากนางไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เช่นนั้นนางจะคู่ควรกับสายเลือดราชวงศ์ได้อย่างไรเพคะ?”เมื่อไทเฮาทรงได้ยินซูเฟยโต้แย้งนางอย่างทันควัน ดวงตาของนางก็วาวโรจน์มากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของพระนางที่แต่เดิมดูใจดีตอนนี้ดูน่าขนลุกเล็กน้อย“ซูเฟย! เจ้าจงใจโต้แย้งข้ารึ?”“หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่ตามหาข้อเท็จจริงเพคะ!”“ตั้งหน้าตั้งตาหาข้อเท็จจริงอย่างดีจริงเชียว ข้าคงประเมินฝีปากของเจ้าต่ำไป เจ้าเอาแต่พูดจาไร้สาระและวุ่นวายกับข้าไม่เลิก หรือว่าเจ้าเป็นคนจัดหานางกำนัลผู้นี้เข้ามาถึงได้ขอร้องอ้อนวอนแทนนาง!”ซูเฟยตกตะลึงเล็กน้อย นางคาดไม่ถึงว่าไทเฮาจะสาดน้ำสกปรกมาหานางโต้ง ๆ เช่นนี้นางโกรธมาก แต่ไม่มีทางที่นางจะมีเรื่องขัดแย้งกับไทเฮาต่อหน้าฮ่องเต้ได้ฮ่องเต้ส่งสายตาให้ซูเฟยเป็นสัญญาณไม่ให้นางพูดต่อซูเฟยรู้สึกหดหู่ นางทำได้เพียงถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นเพราะสตรีตรงหน้านางคือไทเฮา!และเป็นพระราชมารดาทางสายเลือดของฮ่องเต้...เมื่อเห็นซูเฟยถอยกลับไป ไทเฮาก็ทรงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ยืนงงอะไรกัน พานางไปสิ!”นางกำนัลผู้นั้นถูกลากออก
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ไทเฮากับข้าปรึกษากันแล้วว่าจะให้องค์ชายสามอภิเษกกับองค์หญิงแห่งแคว้นฉีตะวันออก หากเสวี่ยอิ๋งไม่อยากแต่งงาน ข้าก็จะจัดการให้”เมื่อซูเฟยได้ยินดังนั้น นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกดวงตาของหลินเสวี่ยอิ๋งเป็นประกาย หัวใจที่วูบไปอยู่ตาตุ่มในตอนแรกก็กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิมดวงตาของนางแดงรื้น และแทบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจไม่ว่าอย่างไร จากคำพูดของฮ่องเต้ ความผิดที่ได้รับในวันนี้คงไม่สูญเปล่า และจุดประสงค์ของการมาที่นี่ก็บรรลุผลสำเร็จทันใดนั้น หลินเสวี่ยอิ๋งก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นางเข้าใจว่าซูชิงอู่ต้องการจะทำร้ายนางเมื่อนึกถึงสิ่งที่หมอหลวงพูด นางก็รู้สึกผิดขึ้นมานางย้ายไปอยู่ข้าง ๆ ซูชิงอู่อย่างเงียบ ๆ และลดเสียงพูด “เมื่อครู่ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ควรสงสัยเจ้าเลย”ซูชิงอู่เลิกคิ้วเรียวงามเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ท่านหญิงขอโทษคนอื่นเป็นแล้วหรือเจ้าคะ?”เมื่อหลินเสวี่ยอิ๋งได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แก้มของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีนางกัดฟันแล้วพูดว่า “อย่าได้ใจไป ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าไม่ใช่หรือ? เรื่องระหว่างเราสองคนก่อนหน้านี้ยังถือว่าไม่จบ!”ซูชิงอู่มองหลินเสวี่ย
ซูชิงอู่ปิดปากยิ้มเบา ๆ “ท่านพูดได้อย่างไรว่าข้าตัวคนเดียว มีซูเฟยกับเต๋อเฟยและคนอื่น ๆ อยู่ด้วย ย่อมไม่มีใครรังแกข้าได้”นางไม่รู้ตัวว่าตนได้เผลอตั้งกลุ่มในวังหลังขึ้นมายิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจียวกุ้ยเฟยก็คงไม่สามารถได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพันธมิตรของนางอีกทั้งองค์ชายใหญ่คงบอกเรื่องที่ซูชิงอู่ช่วยเขาได้ในช่วงนี้ ขอเพียงนางต้องการ เจียวกุ้ยเฟยต้องยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอนเย่เสวียนถิงรู้ว่าซูชิงอู่มีเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่รบเร้านางอีกตอนนี้ท้องช่วงล่างของนางนูนออกมาค่อนข้างชัดเจน และเมื่อเย่เสวียนถิงวางมือลงบนจุดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความโค้งมนความรู้สึกของการเป็นพ่อครั้งแรกนี้ค่อนข้างแปลกใหม่เย่เสวียนถิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง “ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อนางได้ยินเขาถาม “รีบอะไรปานนั้น ใช่ว่าลูกจะวิ่งออกจากท้องข้าได้เลยสักหน่อย?”เย่เสวียนถิงจูบหน้าผากของนาง “ต้องวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งที่ต้องอุ้มท้องเขาไปด้วย เจ้าคงจะลำบากแย่”“ไม่เป็นไรหรอก ใส่เสื้อผ้าหลวมกว่านี้หน่อยก็ดูไม่ออกแล้ว คงจะปิดบังไปได้อีกสักเดือนหนึ่ง”ในอีกห
ซูชิงอู่พูดสิ่งนี้ต่อหน้าเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจหาญอย่างยิ่งเขามองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ จากนั้นก็ลดเสียงลงแล้วพูดกับซูชิงอู่ “พระชายาอย่าได้พูดเรื่องไร้สาระเช่นนั้นเชียว”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว คิ้วเรียวสวยของนางกระตุกขึ้น“ท่านเห็นว่าหม่อมฉันเป็นคนชอบพูดเรื่องไร้สาระหรือเพคะ?”ในเมื่อไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ แสดงว่านี่กำลังจริงจังรึฉีเทียนหยวนถอนหายใจพลางส่งสายตาแปลก ๆ “หากองค์ชายใหญ่ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ น้องสาวของข้าก็สามารถเติมเต็มความปรารถนาของนางได้เช่นกัน ถึงอย่างนั้น…”เขาหยุดชะงักพลางเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “เรื่องบางเรื่องไม่ใช่พูดแล้วจะทำให้สำเร็จได้เลย”ซูชิงอู่ถามว่า “ครั้งนี้องค์ชายสามจะทรงอยู่ที่นี่นานเท่าไรเพคะ?”ฉีเทียนหยวนคิดอย่างรอบคอบ “อย่างน้อยหนึ่งเดือน”“เช่นนั้นก็ดีเพคะ หม่อมฉันอยากจะขอให้องค์ชายทรงช่วยเลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย หลังจากหนึ่งเดือน หม่อมฉันจะทำให้องค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานเย่ให้ได้เพคะ!”นี่คือข้อตกลงระหว่างนางกับตระกูลเจียวซึ่งได้มีการเตรียมการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วองค์ชายใหญ่ต้องการชิงบัลลั
ซูชิงอู่ยิ้มให้ฉีหว่านเอ๋อร์อย่างใจดี“องค์หญิงอย่าได้ทรงกังวลไปเลยเพคะ”ฉีหว่านเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก นางรู้ว่าซูชิงอู่คือใคร เมื่อครู่ตอนที่เป็นลมอยู่ในห้อง นางได้ถูกลักพาตัวมา...“เจ้าคิดจะทำอะไร?”นางถามอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็พูดว่า “องค์หญิงทรงอยากพบองค์ชายใหญ่หรือไม่เพคะ?”เมื่อฉีหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาของนางก็เป็นประกายนางกัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพยักหน้าแต่นางกลับพูดว่า “เสด็จพี่ไม่ให้ข้าไปพบองค์ชายใหญ่อีก ทั้งยังบอกว่าจะให้ข้าอภิเษกกับองค์ชายสาม…”ฉีหว่านเอ๋อร์เป็นคนที่อ่อนโยนมาก นางพูดแต่ละคำอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลให้ความรู้สึกสง่างามและเงียบสงบเป็นพิเศษซูชิงอู่มองนางราวกับกำลังมองลูกสะใภ้ของตัวเองซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ “แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรล่ะเพคะ?”ฉีหว่านเอ๋อร์ก้มหน้า “ขะ...ข้าไม่อยากทำ ข้าฝันอยากแต่งงานกับบุรุษเช่นองค์ชายใหญ่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว”ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่าเย่ชิวหมิงที่ดูซื่อบื้อจะมัดใจองค์หญิงได้อย่างอยู่หมัดทว่านั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเขา เขาสามารถเสแสร้งได้ชั่วค
“ไม่นะ…”“อย่าไป!”ทั้งสองคนพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกันเมื่อเห็นคนทั้งคู่ใจตรงกันเช่นนี้ ซูชิงอู่ก็กระตุกมุมปากแล้วพูดว่า “เอาล่ะ พวกท่านสองคนค่อย ๆ พูดคุยกันไปนะเพคะ ภารกิจของหม่อมฉันเสร็จสิ้นแล้ว อวิ๋นจื่ออวิ๋นชิง ส่วนเกินอย่างพวกเราคงต้องรีบออกไปแล้วล่ะ อย่าอยู่เป็นก้างขวางคอเลย”“เพคะพระชายา!”สาวน้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน จากนั้นจึงรีบเดินตามพระชายาออกไปที่สวนหลังเรือนทันทีซูชิงอู่ไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกผิดแต่อย่างใดในการลักพาตัวองค์หญิงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่อวิ๋นถูก็ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนี้และทำให้ผู้หญิงบริสุทธิ์อีกคนต้องเสียใจถึงอย่างไรฉีหว่านเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงาน และหลังจากที่นางสังเกตมาเป็นเวลานาน เย่ชิวหมิงก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดจริง ๆขอเพียงทั้งสองมีใจให้กัน นางก็ยินดีที่จะเป็นแม่สื่อให้อวิ๋นจื่อที่อยู่ข้างกายซูชิงอู่มาตลอดย่อมได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับฉีเทียนหยวนสาวใช้ผู้น้อยอยากรู้อยากเห็นมาก จึงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ที่พระชายาพูดว่าอยากให้องค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาท นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเพคะ...”ซูชิงอู่เลิกคิ้ว “พระชายาของเจ้าเคยพูดโกหกด้วยหรือ?”นางเงยหน้า