แต่ไม่นานหลังจากที่นางพูดจบ ก็มีเสียงป่าวร้องอันเฉียบคมจากขันทีผู้น้อยด้านนอก“ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องทั้งสองครั้ง นางกำนัลทุกคนในห้องก็คุกเข่าลงทันทีเย่หมิงเยว่อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าโล่งใจยังดีที่นางมีคนหนุนหลัง!เย่หมิงเยว่พยายามลุกขึ้นจากเตียงและรีบไปที่ประตูทันทีพลางคุกเข่าต่อหน้าไทเฮาและฮองเฮาซูชิงอู่ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นฮองเฮาปรากฏตัว แต่นางก็รู้ได้ว่าคงเป็นไทเฮาที่พาฮองเฮาออกจากมาจากตำหนักเย็นใครจะคิดว่าไทเฮาที่เกลียดวิชาอาคมมากที่สุดจะยอมเข้าข้างไทเฮา?อย่างที่คาดไว้ คำพูดของเหล่าสตรีในวังหลังนั้นล้วนไม่เป็นความจริง...“เสด็จแม่ ไทเฮา โปรดช่วยหมิงเยว่ด้วย เมื่อครู่นี้พระชายาเสวียนบังคับให้หมิงเยว่ทานยา หมิงเยว่ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร...โปรดทรงช่วยเรียกหมอหลวงมาให้หมิงเยว่หน่อยนะเพคะ…”นางแทบรอไม่ไหวที่จะฟ้องด้วยสีหน้าร้อนรนเย่หมิงเยว่พยายามล้วงคอของตัวเอง แม้นางรู้สึกคลื่นไส้ แต่กลับไม่ได้อาเจียนเอาอะไรออกมา?สีหน้าของฮองเฮามีความเป็นกังวล จากนั้นพระนางก็รีบเข้ามาประคองเย่หมิงเยว่ให้ลุกขึ้นนับตั้งแต่ถูกกักบริเวณ ฮองเฮาก็ผอมลงไปมากแ
การถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่ทำให้มีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากของนางหลินเสวี่ยอิ๋งอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูชิงอู่ นางคิดว่าซูชิงอู่จะกลัวหรือเป็นกังวลบ้าง แต่นางก็ตรวจไม่พบอารมณ์ใดใดจากสีหน้าของอีกฝ่ายซูชิงอู่มองนางอย่างนิ่งสงบ ราวกับไม่ว่าตนจะตอบอย่างไรนางก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยหลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกเหมือนกำลังไต่เชือก หากนางเลือกทางผิด ผลที่ตามมาก็คือหายนะหัวใจของนางเต้นแรง ทำให้แก้มของนางแดงก่ำ หลินเสวี่ยอิ๋งรวบรวมความกล้าและเงยหน้าขึ้น “มะ...หม่อมฉันขอให้นางมาเพคะ!”แม้เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่ยามที่พูดออกมาก็หนักแน่นราวกับทองคำพันชั่งหลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกว่านางได้ใช้ความกล้าหาญทั้งหมดในชีวิตของตัวเองหมดแล้วนางเริ่มรู้สึกเสียใจหลังจากที่พูดออกไปนางจะทำอย่างไรหากไทเฮาทรงตำหนินาง?ไทเฮาทรงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด พระนางคาดไม่ถึงว่าหลินเสวี่ยอิ๋งที่ปกติไม่กล้าแม้แต่จะพูดจาเหลวไหลต่อหน้าตนจะพูดเช่นนั้นฮองเฮาเงยหน้ามองหลินเสวี่ยอิ๋ง “ตอนนี้ท่านหญิงก็ยังจะพูดช่วยนางอยู่อีกหรือ เจ้าลืมความเสียใจในงานเลี้ยงครั้งก่อน อีกทั้งเรื่องที่นางแย่งชิงคนที่เจ้ามีใจให้ไปแล้วหรือ?”
นางดึงแขนเสื้อของฮองเฮาเบา ๆฮองเฮาทรงเข้าใจความนัยของเย่หมิงเยว่ พระนางจึงหลุบตาลงพลางตบหลังเพื่อให้ความมั่นใจกับนางแม้นางจะเป็นเด็กที่ตนรับเลี้ยง แต่เย่หมิงเยว่ก็ฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นองค์หญิงเมื่อเทียบกับการต้องเสียเปล่าไปแต่งงานกับองค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวันออก นางมีคุณค่ามากกว่านั้นยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเย่อวิ๋นถูแต่งงานกับน้องสาวของอีกฝ่าย ความเกี่ยวดองทั้งหมดในฝั่งของฉีเทียนหยวนจะเป็นของพวกเขาโดยปริยาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับความปรารถนานี้เสียงฝีเท้าดังมากจากด้านนอกหมอหลวงเดินถือกระเป๋ายาเข้ามาซูชิงอู่มองไปก็พบว่าเป็นหมอหลวงที่นางไม่รู้จัก เขาคงเพิ่งจะเข้าสำนักหมอหลวงมาเขาเดินไปหาองค์หญิงสี่และพูดด้วยความเคารพ “กระหม่อมขออนุญาตตรวจชีพจรให้องค์หญิงสี่พ่ะย่ะค่ะ”เย่หมิงเยว่พยักหน้าพลางเดินตามหมอหลวงไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมน้ำตาคลอเบ้าแล้วยื่นแขนให้อีกฝ่ายหลังจากที่หมอหลวงตรวจชีพจรของนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาหลุบตาลงเล็กน้อยและดึงนิ้วออกจากชีพจรของนางเย่หมิงเยว่ถามอย่างกังวลใจ“ท่านหมอ ร่างกายข้าเป็นอย่างไรบ้
หลินเสวี่ยอิ๋งไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน ในฐานะท่านหญิง นางถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมีน้อยคนที่กล้าลงมือกับนางแต่ถึงอย่างไรไทเฮากับฮองเฮาก็ไม่ได้ทรงสนพระทัยว่านางจะอยู่ในฐานะใดนางจึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ซูชิงอู่ยังคงไม่พูด แม้นางจะเห็นคนเหล่านั้นเดินมาหา นางกลับไม่ได้ขยับเท้าด้วยซ้ำทันใดนั้น…“ฝ่าบาทเสด็จ ซูเฟยเสด็จ...”เมื่อมีเสียงป่าวร้องดังมาจากด้านนอก ทุกคนในโถงใหญ่ก็เปลี่ยนสีหน้าซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองออกไปข้างนอก นางเห็นฮ่องเต้เดินเข้ามาพร้อมกับซูเฟย เต๋อเฟย ฮุ่ยเฟยและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาด้วยนางยิ้มมุมปากนางก็มีคนหนุนหลังเช่นกันไทเฮาทรงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พระนางจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่เดินเข้ามาฮองเฮารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังไทเฮาพลางแอบมองฮ่องเต้อย่างเงียบ ๆ ด้วยสายตาคับข้องใจเและคะนึงหานางถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นมานาน แม้แต่พระพักตร์ของฝ่าบาทก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำฮ่องเต้เฒ่าทรงยืนอยู่ที่ทางเข้าโดยเอามือไพล่หลัง “ไทเฮาทรงมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ไทเฮาทรงหลุบตาลงแล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ห
“คือ... ไทเฮา กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น...”ฮ่องเต้ทรงมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นเช่นนั้น ไทเฮาก็ค่อย ๆ ส่งสายตาเย็นชาพลางตรัสว่า “หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทหมายความเช่นนั้นนะเพคะ ช่วงนี้หมอหลวงซุนมีความสนิทสนมอย่างมากกับพระชายาเสวียน รวมไปถึงซูเฟยคนอื่น ๆ ด้วย”คำพูดเหล่านั้นทำให้สีหน้าของหมอหลวงซุนเปลี่ยนไปเขาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเกรงกลัว “ไทเฮาทรงตรัสอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยมีความสนิทสนมกับเหล่าพระสนม ทุกคนในวังต่างทราบเรื่องนี้ดีพ่ะย่ะค่ะ!”“ยังจะปฏิเสธอีกหรือ? เจ้ามาช่วยเหลือพระชายาเสวียนทุกครั้ง ไหนจะทักษะด้านการแพทย์แปลก ๆ ของนางที่มีเพียงเจ้าที่เข้าใจนั่นอีก!”หมอหลวงซุนรู้สึกได้ถึงความอยุติธรรม“นั่นเป็นเพราะกระหม่อมอ่านหนังสือมามากจึงพอจะเข้าใจได้บ้าง แน่นอนว่าคงไม่ละเอียดเท่ากับพระชายาเสวียน แม้แต่กระหม่อมเองก็ยังตกใจกับทักษะด้านการแพทย์บางอย่างที่พระชายาเสวียนเคยแสดงออกมาพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้านี่ขยันปกป้องพระชายาเสวียนเสียจริงนะ!”ไทเฮาทรงหัวเราะเยาะ คำพูดของพระนางก็แปลกเล็กน้อยหมอหลวงซุนถูกไทเฮาซักถามอย่างต่อเนื่องจนแก้มของเขาแดงก่ำด้วยความวิตกกังวล แต่เขา
ฮ่องเต้เฒ่ามีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย “แม้กระหม่อมจะรู้ซึ้งในสิ่งที่ไทเฮาตรัส แต่เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้!”ไทเฮาตกตะลึงพลางหรี่ตาลงแล้วตรัสว่า “เอาล่ะ เมื่อถึงตอนที่หม่อมฉันนำความจริงทั้งหมดมากองตรงหน้าฝ่าบาทเมื่อไหร่ ฝ่าบาทก็จะได้ทราบแน่ชัดเองว่าใครเจตนาดีใครประสงค์ร้าย”ฮองเฮาเม้มปากด้วยความคับข้องใจและซ่อนตัวอยู่หลังไทเฮาต่อไปองเต้ทรงเหลือบมองหลินเสวี่ยอิ๋งและซูชิงอู่แล้วโบกมือ “ปล่อยพวกนาง”หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกราวกับนางสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดพลางมองซูเฟยอย่างน่าสงสาร“ท่านป้า…”ซูเฟยเองก็ร้อนใจ ด้วยเพราะไทเฮาทรงยืนกรานว่าจะไม่ให้หมอหลวงซุนวินิจฉัยและรักษาองค์หญิงสี่ เรื่องนี้ดูมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่นางไม่รู้ว่าจะหาข้อแก้ตัวให้หมอหลวงซุนอย่างไรณ ตอนนี้...เย่หมิงเยว่กำลังชมการแสดงอยู่ขอบสนาม ทันใดนั้นนางก็รู้สึกแน่นหน้าอก จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดนางมองเลือดที่ตัวเองอาเจียนออกมาอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวทันใดนั้นนางก็เงยหน้ามองไปทางซูชิงอู่อย่างตกตะลึง “...”นางคิดว่าซูชิงอู่คงไม่กล้าลงมือทำร้ายนางง่าย ๆทว่านางคิดผิด
“อืม เจ้าไปสิ”หลังจากได้รับอนุญาตจากไทเฮา หมอหลวงซุนก็หายใจเข้าลึก ๆ พลางเดินไปที่ข้างเตียง และเริ่มตรวจชีพจรขององค์หญิงสี่อย่างระมัดระวังแม้ชีพจรจะดูไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ทำให้หมอหลวงซุนประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีของเขา ทุกคนก็กังวลเล็กน้อยฮ่องเต้รีบตรัสถามว่า “อาการขององค์หญิงสี่เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงซุนกล่าวว่า “ชีพจรขององค์หญิงสี่แปลกมากพ่ะย่ะค่ะ…”“แปลกอย่างไร?”หมอหลวงซุนกล่าวด้วยความเคารพต่อฮ่องเต้ว่า “ตามหลักการแล้วร่างกายขององค์หญิงในตอนนี้ไม่ควรจะมีอาการเจ็บป่วยพ่ะย่ะค่ะ ทว่าชีพจรของนางกลับอ่อนแรงหลังจากร่างกายเริ่มแสดงอาการอย่างรุนแรง...ด้วยเหตุนี้ ยาบำรุงที่พระชายาเสวียนให้นางทานไปจึงส่งผลให้ชีพจรเกิดความผิดปกติ ชี่และเลือดไหลเวียนบกพร่องพ่ะย่ะค่ะ…”คนรอบข้างที่ได้ฟังต่างก็สับสนแต่ฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องนี้และถามอย่างตรงไปตรงมา “องค์หญิงสี่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หมอหลวงซุนหรี่ตาลงด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ทำการรักษาให้ดี กระหม่อมเกรงว่าเส้นเลือดในร่างกายขององค์หญิงสี่จะแตกปะทุและส่งผลถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ…”ซูเฟยเข้าประเด็นสำคัญ “หมอหลวงซุน ท่านหมายความว่าสิ่
“หลังจากรับประทานไปแล้วจะทำให้ร่างกายมีอาการเหมือนโรคร้ายแรง ส่งให้ผลการวินิจฉัยเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากได้ยินเช่นนั้น เย่หมิงเยว่ก็รู้สึกราวกับมีบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวของนางจบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!นางลงมือได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ หากซูชิงอู่ไม่เสนอหน้าออกมาเปิดเผยนางอย่างมุ่งร้าย นางก็คงไม่...ตามที่คาดไว้…ทันใดนั้นฮ่องเต้เฒ่าก็ขึ้นเสียง “เจ้าหมายความว่าเย่หมิงเยว่ทำการหลอกลวงโดยจงใจใช้ยานี้เพื่อแสร้งทำเป็นป่วยหนักและหลบเลี่ยงการแต่งงานรึ!”หมอหลวงซุนไม่ตอบและนิ่งเงียบเย่หมิงเยว่ตัวสั่นอย่างกังวลอยู่บนเตียง นางอยากจะลุกขึ้นแต่นางไม่มีแรง“ไม่ใช่นะเพคะ...เสด็จพ่อได้โปรดฟังลูกก่อน...”นางต้องการอธิบาย แต่ฮ่องเต้กลับหัวเสียด้วยความโกรธทรงชี้นิ้วไปที่เย่หมิงเยว่แล้วมองไปทางฮองเฮา “ดูลูกสาวแสนดีที่เจ้าอบรมมากับมือสิ นางคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงข้า! น่าเสียดายเหลือเกินที่ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงนาง พยายามสุดชีวิตเพื่อหาหมอมารักษานาง แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าหรือ?”ฮ่องเต้เฒ่ากริ้วมากเมื่อฮองเฮาได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ นางก็ตกใจมากจนขาอ่อนแรงและคุกเข่าอ้อนวอนเสียงอ่อนน