คราวนี้นางเตรียมพร้อมมาอย่างดี ในใจคิดถึงแต่การเอาตัวรอด ไม่สนใจชีวิตสหายอีกแล้ว หากองค์หญิงสี่ไม่แสร้งป่วย เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นกับนาง และนางก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้โดยรวมแล้ว เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้องจะลึกซึ้งเพียงใด ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วซูชิงอู่เฝ้าดูสัมพันธ์ฉันพี่น้องคู่นี้ต่อสู้ด้วยสติปัญญาและเล่ห์กลของพวกนางขณะที่นางเดินตามหลังหมอชราไปอย่างช้า ๆ“แค่ก แค่ก แค่ก…”เสียงไอของเย่หมิงเยว่ดังมาจากข้างในหลินเสวี่ยอิ๋งเปิดม่านแล้วเดินเข้าไป นางมองไปที่เย่หมิงเย่วที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง จึงนั่งลงข้างเตียง และจับมือของนางทันทีมีสีหน้าวิตกกังวลและเป็นทุกข์บนใบหน้าของนาง“หมิงเยว่ เหตุใดเจ้าถึงเป็นเยี่ยงนี้เล่า? มาเยี่ยมเจ้าไม่ได้เพราะข้าก็ป่วย เป็นไข้หวัดกลัวว่าจะเอาโรคมาติดเจ้า ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว เลยมาเยี่ยมเจ้าโดยเร็วที่สุด…”เย่หมิงเยว่ฟังคำพูดของหลินเสวี่ยอิ๋ง ดวงตาของนางเป็นประกาย แต่กลับยิ้มด้วยความซาบซึ้ง“ข้าลุกไม่ไหว เสวี่ยอิ๋งโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”หลินเสวี่ยอิ๋งจับไหล่ของนาง “เหตุใดระหว่างเราต้องมากพิธีด้วยเล่า?
ซูชิงอู่ก้าวไปที่เตียงเมื่อเย่หมิงเยว่ได้ยินเสียงเคาะประตูด้านนอก ใบหน้าของนางซีดลงด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วของนางยิ่งดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น“เจ้าอย่าเข้ามานะ หากกิดอะไรขึ้นกับข้าตอนนี้ เจ้าจะต้องมีความผิดด้วยแน่นอน!”ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “องค์หญิงสี่เสียชีวิตจากอาการป่วย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?"“เจ้า…”ดวงตาของเย่หมิงเยว่จ้องมองนางอย่างเย็นชา นางโกรธจัดซูชิงอู่ไม่สนใจสายตาของนางเลย ชิงอู่ยื่นมือไปบีบคางนาง ทำให้นางไม่อาจส่งเสียงออกมาได้“องค์หญิงสี่ ท่านอยู่ในนั้นหรือเปล่าเพคะ?”“องค์หญิง ท่านเป็นอะไรหรือ?”ดวงตาของเย่หมิงเยว่เบิกกว้าง นางพยายามดิ้นรนต่อมือของซูชิงอู่แต่กำลังของของนางไม่เทียบกับซูชิงอู่ได้ นางจึงไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปาก ในพริบตาก็รู้ว่าเย่หมิงเยว่ใช้วิธีการใด“เจ้าเก่งจริง ๆ ถึงสามารถหายาเปลี่ยนแปลงชีพจรได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดหมอหลวงจึงหาสาเหตุไม่พบ…”"อื้อ อื้อ อื้อ..."ดวงตาของเย่หมิงเยว่เบิกกว้าง เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงอู่หลินเสวี่ยอิ๋งที่อยู่ด้านข้างก็ดูโกรธจัด เมื่อได้ยินสิ่งนี
แต่ไม่นานหลังจากที่นางพูดจบ ก็มีเสียงป่าวร้องอันเฉียบคมจากขันทีผู้น้อยด้านนอก“ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องทั้งสองครั้ง นางกำนัลทุกคนในห้องก็คุกเข่าลงทันทีเย่หมิงเยว่อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าโล่งใจยังดีที่นางมีคนหนุนหลัง!เย่หมิงเยว่พยายามลุกขึ้นจากเตียงและรีบไปที่ประตูทันทีพลางคุกเข่าต่อหน้าไทเฮาและฮองเฮาซูชิงอู่ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นฮองเฮาปรากฏตัว แต่นางก็รู้ได้ว่าคงเป็นไทเฮาที่พาฮองเฮาออกจากมาจากตำหนักเย็นใครจะคิดว่าไทเฮาที่เกลียดวิชาอาคมมากที่สุดจะยอมเข้าข้างไทเฮา?อย่างที่คาดไว้ คำพูดของเหล่าสตรีในวังหลังนั้นล้วนไม่เป็นความจริง...“เสด็จแม่ ไทเฮา โปรดช่วยหมิงเยว่ด้วย เมื่อครู่นี้พระชายาเสวียนบังคับให้หมิงเยว่ทานยา หมิงเยว่ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร...โปรดทรงช่วยเรียกหมอหลวงมาให้หมิงเยว่หน่อยนะเพคะ…”นางแทบรอไม่ไหวที่จะฟ้องด้วยสีหน้าร้อนรนเย่หมิงเยว่พยายามล้วงคอของตัวเอง แม้นางรู้สึกคลื่นไส้ แต่กลับไม่ได้อาเจียนเอาอะไรออกมา?สีหน้าของฮองเฮามีความเป็นกังวล จากนั้นพระนางก็รีบเข้ามาประคองเย่หมิงเยว่ให้ลุกขึ้นนับตั้งแต่ถูกกักบริเวณ ฮองเฮาก็ผอมลงไปมากแ
การถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่ทำให้มีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากของนางหลินเสวี่ยอิ๋งอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูชิงอู่ นางคิดว่าซูชิงอู่จะกลัวหรือเป็นกังวลบ้าง แต่นางก็ตรวจไม่พบอารมณ์ใดใดจากสีหน้าของอีกฝ่ายซูชิงอู่มองนางอย่างนิ่งสงบ ราวกับไม่ว่าตนจะตอบอย่างไรนางก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยหลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกเหมือนกำลังไต่เชือก หากนางเลือกทางผิด ผลที่ตามมาก็คือหายนะหัวใจของนางเต้นแรง ทำให้แก้มของนางแดงก่ำ หลินเสวี่ยอิ๋งรวบรวมความกล้าและเงยหน้าขึ้น “มะ...หม่อมฉันขอให้นางมาเพคะ!”แม้เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่ยามที่พูดออกมาก็หนักแน่นราวกับทองคำพันชั่งหลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกว่านางได้ใช้ความกล้าหาญทั้งหมดในชีวิตของตัวเองหมดแล้วนางเริ่มรู้สึกเสียใจหลังจากที่พูดออกไปนางจะทำอย่างไรหากไทเฮาทรงตำหนินาง?ไทเฮาทรงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด พระนางคาดไม่ถึงว่าหลินเสวี่ยอิ๋งที่ปกติไม่กล้าแม้แต่จะพูดจาเหลวไหลต่อหน้าตนจะพูดเช่นนั้นฮองเฮาเงยหน้ามองหลินเสวี่ยอิ๋ง “ตอนนี้ท่านหญิงก็ยังจะพูดช่วยนางอยู่อีกหรือ เจ้าลืมความเสียใจในงานเลี้ยงครั้งก่อน อีกทั้งเรื่องที่นางแย่งชิงคนที่เจ้ามีใจให้ไปแล้วหรือ?”
นางดึงแขนเสื้อของฮองเฮาเบา ๆฮองเฮาทรงเข้าใจความนัยของเย่หมิงเยว่ พระนางจึงหลุบตาลงพลางตบหลังเพื่อให้ความมั่นใจกับนางแม้นางจะเป็นเด็กที่ตนรับเลี้ยง แต่เย่หมิงเยว่ก็ฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นองค์หญิงเมื่อเทียบกับการต้องเสียเปล่าไปแต่งงานกับองค์ชายสามแห่งแคว้นฉีตะวันออก นางมีคุณค่ามากกว่านั้นยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเย่อวิ๋นถูแต่งงานกับน้องสาวของอีกฝ่าย ความเกี่ยวดองทั้งหมดในฝั่งของฉีเทียนหยวนจะเป็นของพวกเขาโดยปริยาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับความปรารถนานี้เสียงฝีเท้าดังมากจากด้านนอกหมอหลวงเดินถือกระเป๋ายาเข้ามาซูชิงอู่มองไปก็พบว่าเป็นหมอหลวงที่นางไม่รู้จัก เขาคงเพิ่งจะเข้าสำนักหมอหลวงมาเขาเดินไปหาองค์หญิงสี่และพูดด้วยความเคารพ “กระหม่อมขออนุญาตตรวจชีพจรให้องค์หญิงสี่พ่ะย่ะค่ะ”เย่หมิงเยว่พยักหน้าพลางเดินตามหมอหลวงไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมน้ำตาคลอเบ้าแล้วยื่นแขนให้อีกฝ่ายหลังจากที่หมอหลวงตรวจชีพจรของนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาหลุบตาลงเล็กน้อยและดึงนิ้วออกจากชีพจรของนางเย่หมิงเยว่ถามอย่างกังวลใจ“ท่านหมอ ร่างกายข้าเป็นอย่างไรบ้
หลินเสวี่ยอิ๋งไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน ในฐานะท่านหญิง นางถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมีน้อยคนที่กล้าลงมือกับนางแต่ถึงอย่างไรไทเฮากับฮองเฮาก็ไม่ได้ทรงสนพระทัยว่านางจะอยู่ในฐานะใดนางจึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ซูชิงอู่ยังคงไม่พูด แม้นางจะเห็นคนเหล่านั้นเดินมาหา นางกลับไม่ได้ขยับเท้าด้วยซ้ำทันใดนั้น…“ฝ่าบาทเสด็จ ซูเฟยเสด็จ...”เมื่อมีเสียงป่าวร้องดังมาจากด้านนอก ทุกคนในโถงใหญ่ก็เปลี่ยนสีหน้าซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองออกไปข้างนอก นางเห็นฮ่องเต้เดินเข้ามาพร้อมกับซูเฟย เต๋อเฟย ฮุ่ยเฟยและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาด้วยนางยิ้มมุมปากนางก็มีคนหนุนหลังเช่นกันไทเฮาทรงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พระนางจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่เดินเข้ามาฮองเฮารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังไทเฮาพลางแอบมองฮ่องเต้อย่างเงียบ ๆ ด้วยสายตาคับข้องใจเและคะนึงหานางถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นมานาน แม้แต่พระพักตร์ของฝ่าบาทก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำฮ่องเต้เฒ่าทรงยืนอยู่ที่ทางเข้าโดยเอามือไพล่หลัง “ไทเฮาทรงมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”ไทเฮาทรงหลุบตาลงแล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ห
“คือ... ไทเฮา กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น...”ฮ่องเต้ทรงมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นเช่นนั้น ไทเฮาก็ค่อย ๆ ส่งสายตาเย็นชาพลางตรัสว่า “หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทหมายความเช่นนั้นนะเพคะ ช่วงนี้หมอหลวงซุนมีความสนิทสนมอย่างมากกับพระชายาเสวียน รวมไปถึงซูเฟยคนอื่น ๆ ด้วย”คำพูดเหล่านั้นทำให้สีหน้าของหมอหลวงซุนเปลี่ยนไปเขาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเกรงกลัว “ไทเฮาทรงตรัสอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยมีความสนิทสนมกับเหล่าพระสนม ทุกคนในวังต่างทราบเรื่องนี้ดีพ่ะย่ะค่ะ!”“ยังจะปฏิเสธอีกหรือ? เจ้ามาช่วยเหลือพระชายาเสวียนทุกครั้ง ไหนจะทักษะด้านการแพทย์แปลก ๆ ของนางที่มีเพียงเจ้าที่เข้าใจนั่นอีก!”หมอหลวงซุนรู้สึกได้ถึงความอยุติธรรม“นั่นเป็นเพราะกระหม่อมอ่านหนังสือมามากจึงพอจะเข้าใจได้บ้าง แน่นอนว่าคงไม่ละเอียดเท่ากับพระชายาเสวียน แม้แต่กระหม่อมเองก็ยังตกใจกับทักษะด้านการแพทย์บางอย่างที่พระชายาเสวียนเคยแสดงออกมาพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้านี่ขยันปกป้องพระชายาเสวียนเสียจริงนะ!”ไทเฮาทรงหัวเราะเยาะ คำพูดของพระนางก็แปลกเล็กน้อยหมอหลวงซุนถูกไทเฮาซักถามอย่างต่อเนื่องจนแก้มของเขาแดงก่ำด้วยความวิตกกังวล แต่เขา
ฮ่องเต้เฒ่ามีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย “แม้กระหม่อมจะรู้ซึ้งในสิ่งที่ไทเฮาตรัส แต่เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้!”ไทเฮาตกตะลึงพลางหรี่ตาลงแล้วตรัสว่า “เอาล่ะ เมื่อถึงตอนที่หม่อมฉันนำความจริงทั้งหมดมากองตรงหน้าฝ่าบาทเมื่อไหร่ ฝ่าบาทก็จะได้ทราบแน่ชัดเองว่าใครเจตนาดีใครประสงค์ร้าย”ฮองเฮาเม้มปากด้วยความคับข้องใจและซ่อนตัวอยู่หลังไทเฮาต่อไปองเต้ทรงเหลือบมองหลินเสวี่ยอิ๋งและซูชิงอู่แล้วโบกมือ “ปล่อยพวกนาง”หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกราวกับนางสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดพลางมองซูเฟยอย่างน่าสงสาร“ท่านป้า…”ซูเฟยเองก็ร้อนใจ ด้วยเพราะไทเฮาทรงยืนกรานว่าจะไม่ให้หมอหลวงซุนวินิจฉัยและรักษาองค์หญิงสี่ เรื่องนี้ดูมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่นางไม่รู้ว่าจะหาข้อแก้ตัวให้หมอหลวงซุนอย่างไรณ ตอนนี้...เย่หมิงเยว่กำลังชมการแสดงอยู่ขอบสนาม ทันใดนั้นนางก็รู้สึกแน่นหน้าอก จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดนางมองเลือดที่ตัวเองอาเจียนออกมาอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวทันใดนั้นนางก็เงยหน้ามองไปทางซูชิงอู่อย่างตกตะลึง “...”นางคิดว่าซูชิงอู่คงไม่กล้าลงมือทำร้ายนางง่าย ๆทว่านางคิดผิด
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้