เมื่อราชครูเฒ่าเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติในฐานะองค์ชาย สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การทำผิดพลาด แต่เป็นการที่ฮ่องเต้ทรงคิดว่าตนเองเป็นคนไม่เอาไหน และทรงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก“ฝ่าบาท ชีวิตของสัตว์ร้ายจะเทียบกับชีวิตขององค์ชายสามได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”เย่เสวียนถิงหรี่ตาเหยี่ยวของเขาอย่างไร้ความปราณีพร้อมโต้กลับอย่างเย็นชา “การฆ่าสัตว์ร้ายที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์สามารถลบล้างความจริงที่ว่าองค์ชายสามไม่ได้ดีไปกว่าสัตว์ร้ายได้หรือ?”ราชครูเฒ่า “...”“สิ่งที่อ๋องเสวียนพูดก็มีเหตุผล ไม่จำเป็นต้องโต้ตอบกับสัตว์ร้ายที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เมื่อเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูมัน ในภายภาคหน้าเจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่สัตว์ร้ายตัวนี้ทำ!”เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลง “ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”เนื่องจากความบ้าคลั่งอย่างกะทันหันของเสือขาวเกิดจากการที่องค์ชายสามวางยามัน ฮ่องเต้จึงไม่ติดพระทัยและสืบสาวเรื่องราวต่อพระองค์เพียงแค่สั่งให้เย่เสวียนถิงพาเสือขาวออกไปเพื่อที่งานเลี้ยงในวังจะได้ดำเนินต่อไปซูชิงอู่ลูบหัวของต้าไป๋ ในใจของนางรู้สึกมีความสุขถึงที่สุด นางยิ้มมุมปากเบา ๆ และเมื่อ
... ซูชิงอู่เอ่ยขึ้น “ในเมื่อท่านไม่เป็นอะไรหม่อมฉันก็โล่งใจ”จากนั้นนางก็หันหลังกลับไปเย่หมิงเยว่ตกตะลึงนางสงสัยว่าการกระทำของตัวเองนั้นอ้อมค้อมเกินไปหรือไม่ซูชิงอู่ถึงไม่เข้าใจคำใบ้ของนางเลยยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าเสือขาวมีความเกี่ยวข้องกับซู่ชิงอู่ ตัวเองต้องลงเอยเช่นนี้ก็เพราะเสือขาว นางควรจะรู้สึกผิดบ้างสิ?เย่หมิงเยว่คิดไม่ออก สีหน้าท่าทางของนางในสายตาของใครหลายคนมักจะเป็นความน่าสงสาร ซึ่งจะกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจได้มาก นอกจากนี้ชีวิตของนางในวังหลังถือว่าน่าสังเวช และผู้คนจำนวนมากไม่ค่อยอยากสนิทกับนางแต่ซูชิงอู่นี่ก็เหลือเกิน พอตนเองพูดว่าไม่เป็นไรก็รีบหันหลังไปไม่กลับมามองอีกเลย ไม่แม้แต่จะขอโทษด้วยซ้ำเนี่ยนะ?ขณะที่องค์หญิงสี่กำลังจะเรียกซูชิงอู่ นางก็เห็นว่าซูชิงอู่เดินไปหาองค์หญิงห้าแล้ว“เมื่อครู่ขอบคุณท่านนะเพคะ”เย่หลิงจูมองนางด้วยความประหลาดใจพร้อมจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงอีกครั้งใบหน้าที่แต่งมาอย่างจัดจ้านของนางเงยขึ้นมามอง “ขอบคุณข้าเรื่องอะไร?”ซูชิงอู่ยิ้มเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว เมื่อเห็นสีหน้าว่างเปล่าของเย่หลิงจูนางก็รู้สึกชื่น
เย่เสวียนถิงรู้ว่าซูชิงอู่มีจุดประสงค์เสมอไม่ว่านางตัดสินใจอะไร แม้แต่วัวเก้าตัวก็ไม่สามารถดึงนางกลับมาได้“ระวังตัวด้วย หากเกิดอะไรขึ้นก็ส่งคนมาตามข้า”“อืม”ซูชิงอู่ยิ้มและจุมพิตริมฝีปากของเขาเหมือนที่เคยทำประจำก่อนจะออกไปพร้อมกับนางกำนัลเมื่อเย่เสวียนถิงแตะริมฝีปากของตัวเอง ก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นที่แผ่กระจายออกมา ทำให้เขามีความสุขโดยไม่รู้ตัวขอเพียงนางคอยอยู่เคียงข้างเขา อารมณ์ทั้งหมดของเขาก็จะดีขึ้นหลังจากตามนางกำนัลไปจนถึงตำหนักของเจียวกุ้ยเฟยรายละเอียดทุกแห่งในตำหนักหว่านถิงแสดงถึงความหรูหราอลังการ สีสันงดงามตระการตามีดอกบ๊วยสีชมพูจำนวนมากปลูกอยู่ตรงกลางลานใหญ่ ทำให้สถานที่นี้ได้รับการตกแต่งอย่างมีชีวิตชีวาเจียวกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ในห้องเป็นเวลานาน เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างนอกนางก็เงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่ประตูเมื่อเห็นซูชิงอู่เดินเข้ามา ใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยก็ยิ้มราวกับดอกไม้ที่งดงามและบอบบาง“พระชายาเสวียน เชิญนั่งก่อนเถิด”ซูชิงอู่ตกตะลึงเมื่อนางได้ยินเสียงที่กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง นางเงยหน้ามองเจียวกุ้ยเฟยด้วยความเหลือเชื่อหญิงผู้นี้เป็
ด้วยวิธีนี้องค์ชายก็จะถูกเลือกให้เป็นองค์รัชทายาทที่เหมาะสมที่สุด!ต้องบอกว่าเจียวกุ้ยเฟยฉลาดและเป็นคนที่ยืดหยุ่นมากอย่างไรก็ตาม ซูชิงอู่จะไม่ทำร้ายคนของเย่เสวียนถิง...ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น!นางหลุบสายตาลงเล็กน้อย แสร้งทำเป็นลังเลจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นพลางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้อเสนอของเจียวกุ้ยเฟยทำเอาหม่อมฉันคล้อยตาม แต่ว่า…”“แต่อะไรหรือ?”เจียวกุ้ยเฟยดีใจมากที่ในที่สุดก็มีทางออกสำหรับเรื่องนี้เสียทีซูชิงอู่พูดเนิบ ๆ “สิ่งนี้จะมีประโยชน์อะไรกับหม่อมฉันและท่านอ๋องเพคะ?”รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยแข็งค้างนางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ซูชิงอู่กล่าวต่อ “หากฮองเฮาถูกโค่นล้ม ท่านและองค์ชายใหญ่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด องค์ชายใหญ่จะได้เป็นรัชทายาท แต่หม่อมฉันกับท่านอ๋องกลับไม่ได้อะไรเลย…”เจียวกุ้ยเฟยยิ้มอย่างฝืนใจพลางถามด้วยความระแวง “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมา เจ้าต้องการสิ่งใด? พวกเรามาตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งในภายหลัง”ซูชิงอู่ตบโต๊ะ “หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดีเลยเพคะ”เมื่อเจียวกุ้ยเฟยฟังคำพูดของอีกฝ่าย น้ำเสียงของซูชิงอู่ก็ดูแปลกไปเล็กน้อยนาง
เห็นได้ชัดว่าเจียวกุ้ยเฟยเป็นผู้เสนอความร่วมมือ แต่ตอนนี้แต้มต่อทั้งหมดกลับตกเป็นของซูชิงอู่คำพูดของนางทำให้เจียวกุ้ยเฟยพูดไม่ออก ดวงตาหลุบต่ำจมอยู่ในห้วงความคิดสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย และหลังจากเงียบไปนาน เจียวกุ้ยเฟยก็กล่าวว่า “ข้าต้องการที่จะละทิ้งความแค้นในอดีตที่มีต่อกัน พระชายาปรารถนาสิ่งใดก็แจ้งได้เลย หากตระกูลเจียวสามารถทำให้ได้ ก็จะไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใด พระชายาคิดว่าเช่นนี้ดูจริงใจพอแล้วหรือไม่?”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก “ในเมื่อกุ้ยเฟยจริงใจถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็ขอน้อมรับไว้เพคะ…”ขณะที่พูด นางก็ดึงแผ่นที่เขียนรายการบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อเจียวกุ้ยเฟยตะลึง“นี่มัน…”ซูชิงอู่ยิ้มด้วยดวงตาอันมีเสน่ห์ แลดูงดงามอย่างมาก“เงื่อนไขของหม่อมฉันเพคะ”เจียวกุ้ยเฟยเหลือบเห็นว่าในแผ่นรายการใบนั้นมีตัวหนังสือเขียนติดกันแน่นขนัดไปหมด แม้จะยังไม่ทันได้อ่านอย่างละเอียดว่าเขียนอะไรไปบ้าง แต่แค่มองคร่าว ๆ ก็ทำเอานางรู้สึกเวียนหัวเสียแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเหตุใดจู่ ๆ ซูชิงอู่ถึงได้เอาใบรายการนี้ออกมาจากแขนเสื้อหรือนางเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว?หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนางเดา
เจียวกุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ นางไม่ได้ทำหน้าบูดบึ้ง แต่กลับถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพระชายาถึงพูดเช่นนั้น?”ซูชิงอู่เม้มปากไม่พูดอะไรทั้งห้องเงียบลงในทันที ความเงียบของซูชิงอู่ทำให้บรรยากาศในตำหนักดูนิ่งงันดอกบ๊วยสีชมพูที่อยู่นอกหน้าต่างปลิวไสวท่ามกลางลมหนาว แสงและเงาตกกระทบลงบนโครงตาข่ายหน้าต่าง เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกถึงความเย็นที่คืบคลานเข้ามาตามกระดูกสันหลังนางวางใบรายการ “มันยากที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ในทันที วันนี้พระชายากลับไปก่อน ข้าขอนำใบรายการนี้ไปปรึกษากับทางตระกูลให้เรียบร้อยแล้วจะตอบกลับไปหาพระชายา ว่าอย่างไร?”ซูชิงอู่ยืนขึ้นและกล่าวคำอำลา “หม่อมฉันรอฟังข่าวดีนะเพคะ”ทันทีที่ซูชิงอู่จากไป เจียวกุ้ยเฟยก็ฟาดใบรายการที่ซูชิงอู่ทิ้งไว้ลงบนโต๊ะด้วยความโกรธคิ้วของนางกระตุก ครู่หนึ่งนางสงสัยว่าตัวเองประมาทเกินไปหรือไม่ นางถึงได้ตั้งเงื่อนไขสูงขนาดนี้แต่ก็คงต้องบอกว่า ทางจวนอ๋องเสวียนจะมอบผลประโยชน์ให้กับตระกูลเจียวของนางได้มากมาย หากเป็นจริงดังที่ซูชิงอู่พูด นางกับอ๋องเสวียนก็คงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชิวหมิงให้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท…เช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากนางจะตอบรับเ
ซูชิงอู่ยิ้ม “ท่านอ๋องเหม่ออะไรอยู่หรือ?”หูของเย่เสวียนถิงแดงเล็กน้อย เขาไอเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อน จากนั้นก็พูดเสียงเบา “ข้าแค่สงสัยว่าเหตุใดอาอู่ถึงฉลาดมากขนาดนี้”ซูชิงอู่ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นจึงตระหนักว่านางเพิ่งจะได้รับคำชมหากคำชมนี้ออกมาจากปากของคนอื่น นางจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม แต่เมื่อมันออกมาจากปากของชายคนนี้ ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้นางก้มหน้าลงทันที มีสีแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนแก้มสวยของนาง “ชะ...เช่นนั้นหรือ?”เมื่อพระสนมซูเฟยเห็นภาพนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ดวงตาของนางเจือไปด้วยความเอ็นดูตอนนี้นางอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว แต่นางไม่เคยมีลูกเป็นของตัวเองเลยนางอ่อนแอและป่วยง่ายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังอ่อนไหวต่อลมหนาว แม้หลังเข้าวังนางจะได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่นางก็ผ่านพ้นยุคแห่งภาพลวงตาไปแล้วเมื่อคนใหม่เข้ามาแทนที่คนเก่าภายในตำหนักหกฝ่ายในทุกวันนี้ยามที่เห็นฮ่องเต้ นอกจากจะหวาดกลัวแล้ว ก็ยังรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยอีกด้วยแต่อยู่วังหลังนั้นย่อมทำตามใจตัวเองไม่ได้พระสนมซูเฟยมองไปที่ซูชิงอู่แล้วพูดว่า
คราวนี้นางมาพร้อมกับแม่ของนาง ฮูหยินหลินพี่สะใภ้ของพระสนมซูเฟยฮูหยินหลินมีสีหน้าจริงจังและใบหน้าที่เย็นชาซึ่งแตกต่างจากอารมณ์ที่สง่างามของสตรีส่วนใหญ่ในเมืองหลวงรูปร่างของนางยังสูงกว่าสตรีธรรมดาทั่วไปอีกด้วย รูปร่างของนางทำให้มีรัศมีที่คมชัดและเยือกเย็น และตาชั้นเดียวของนางก็ดูเฉียบคมมากเวลามองคนสมแล้วที่เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกจากจวนแม่ทัพนางพาหลินเสวี่ยอิ๋งไปทักทายพระสนมซูเฟยก่อน จากนั้นจึงเห็นเย่เสวียนถิงกลับมาสีหน้าของฮูหยินหลินขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด และเสียงของนางก็เย็นชาจนน่ากลัว“พระสนมซูเฟย คนบางคนได้อำนาจไปจนมีชื่อเสียงแล้วแต่กลับลืมว่าตัวเองเป็นใคร หม่อมฉันคิดว่าหากท่านมีเวลาก็ควรอบรมสั่งสอนสักหน่อย หากท่านไม่รู้จะพูดอย่างไร ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นป้าสะใภ้ หม่อมฉันก็สามารถสั่งสอนแทนท่านได้!”คำพูดคลุมเครือเหล่านี้มีความหมายบางอย่างแฝงอยู่คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจเกือบจะในทันทีว่านางกำลังพูดถึงใครซูชิงอู่รู้สึกโกรธนางสามารถทนต่อสิ่งที่หลินเสวี่ยอิ๋งพูดเกี่ยวกับนางได้ แต่นางจะไม่ยอมให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์เย่เสวียนถิงเด็ดขาด!นางกำลังจะก้าวไปข