เย่เสวียนถิงรู้ว่าซูชิงอู่มีจุดประสงค์เสมอไม่ว่านางตัดสินใจอะไร แม้แต่วัวเก้าตัวก็ไม่สามารถดึงนางกลับมาได้“ระวังตัวด้วย หากเกิดอะไรขึ้นก็ส่งคนมาตามข้า”“อืม”ซูชิงอู่ยิ้มและจุมพิตริมฝีปากของเขาเหมือนที่เคยทำประจำก่อนจะออกไปพร้อมกับนางกำนัลเมื่อเย่เสวียนถิงแตะริมฝีปากของตัวเอง ก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นที่แผ่กระจายออกมา ทำให้เขามีความสุขโดยไม่รู้ตัวขอเพียงนางคอยอยู่เคียงข้างเขา อารมณ์ทั้งหมดของเขาก็จะดีขึ้นหลังจากตามนางกำนัลไปจนถึงตำหนักของเจียวกุ้ยเฟยรายละเอียดทุกแห่งในตำหนักหว่านถิงแสดงถึงความหรูหราอลังการ สีสันงดงามตระการตามีดอกบ๊วยสีชมพูจำนวนมากปลูกอยู่ตรงกลางลานใหญ่ ทำให้สถานที่นี้ได้รับการตกแต่งอย่างมีชีวิตชีวาเจียวกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ในห้องเป็นเวลานาน เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างนอกนางก็เงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่ประตูเมื่อเห็นซูชิงอู่เดินเข้ามา ใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยก็ยิ้มราวกับดอกไม้ที่งดงามและบอบบาง“พระชายาเสวียน เชิญนั่งก่อนเถิด”ซูชิงอู่ตกตะลึงเมื่อนางได้ยินเสียงที่กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง นางเงยหน้ามองเจียวกุ้ยเฟยด้วยความเหลือเชื่อหญิงผู้นี้เป็
ด้วยวิธีนี้องค์ชายก็จะถูกเลือกให้เป็นองค์รัชทายาทที่เหมาะสมที่สุด!ต้องบอกว่าเจียวกุ้ยเฟยฉลาดและเป็นคนที่ยืดหยุ่นมากอย่างไรก็ตาม ซูชิงอู่จะไม่ทำร้ายคนของเย่เสวียนถิง...ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น!นางหลุบสายตาลงเล็กน้อย แสร้งทำเป็นลังเลจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นพลางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้อเสนอของเจียวกุ้ยเฟยทำเอาหม่อมฉันคล้อยตาม แต่ว่า…”“แต่อะไรหรือ?”เจียวกุ้ยเฟยดีใจมากที่ในที่สุดก็มีทางออกสำหรับเรื่องนี้เสียทีซูชิงอู่พูดเนิบ ๆ “สิ่งนี้จะมีประโยชน์อะไรกับหม่อมฉันและท่านอ๋องเพคะ?”รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยแข็งค้างนางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ซูชิงอู่กล่าวต่อ “หากฮองเฮาถูกโค่นล้ม ท่านและองค์ชายใหญ่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด องค์ชายใหญ่จะได้เป็นรัชทายาท แต่หม่อมฉันกับท่านอ๋องกลับไม่ได้อะไรเลย…”เจียวกุ้ยเฟยยิ้มอย่างฝืนใจพลางถามด้วยความระแวง “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมา เจ้าต้องการสิ่งใด? พวกเรามาตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งในภายหลัง”ซูชิงอู่ตบโต๊ะ “หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดีเลยเพคะ”เมื่อเจียวกุ้ยเฟยฟังคำพูดของอีกฝ่าย น้ำเสียงของซูชิงอู่ก็ดูแปลกไปเล็กน้อยนาง
เห็นได้ชัดว่าเจียวกุ้ยเฟยเป็นผู้เสนอความร่วมมือ แต่ตอนนี้แต้มต่อทั้งหมดกลับตกเป็นของซูชิงอู่คำพูดของนางทำให้เจียวกุ้ยเฟยพูดไม่ออก ดวงตาหลุบต่ำจมอยู่ในห้วงความคิดสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย และหลังจากเงียบไปนาน เจียวกุ้ยเฟยก็กล่าวว่า “ข้าต้องการที่จะละทิ้งความแค้นในอดีตที่มีต่อกัน พระชายาปรารถนาสิ่งใดก็แจ้งได้เลย หากตระกูลเจียวสามารถทำให้ได้ ก็จะไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใด พระชายาคิดว่าเช่นนี้ดูจริงใจพอแล้วหรือไม่?”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก “ในเมื่อกุ้ยเฟยจริงใจถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็ขอน้อมรับไว้เพคะ…”ขณะที่พูด นางก็ดึงแผ่นที่เขียนรายการบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อเจียวกุ้ยเฟยตะลึง“นี่มัน…”ซูชิงอู่ยิ้มด้วยดวงตาอันมีเสน่ห์ แลดูงดงามอย่างมาก“เงื่อนไขของหม่อมฉันเพคะ”เจียวกุ้ยเฟยเหลือบเห็นว่าในแผ่นรายการใบนั้นมีตัวหนังสือเขียนติดกันแน่นขนัดไปหมด แม้จะยังไม่ทันได้อ่านอย่างละเอียดว่าเขียนอะไรไปบ้าง แต่แค่มองคร่าว ๆ ก็ทำเอานางรู้สึกเวียนหัวเสียแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเหตุใดจู่ ๆ ซูชิงอู่ถึงได้เอาใบรายการนี้ออกมาจากแขนเสื้อหรือนางเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว?หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนางเดา
เจียวกุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ นางไม่ได้ทำหน้าบูดบึ้ง แต่กลับถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพระชายาถึงพูดเช่นนั้น?”ซูชิงอู่เม้มปากไม่พูดอะไรทั้งห้องเงียบลงในทันที ความเงียบของซูชิงอู่ทำให้บรรยากาศในตำหนักดูนิ่งงันดอกบ๊วยสีชมพูที่อยู่นอกหน้าต่างปลิวไสวท่ามกลางลมหนาว แสงและเงาตกกระทบลงบนโครงตาข่ายหน้าต่าง เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกถึงความเย็นที่คืบคลานเข้ามาตามกระดูกสันหลังนางวางใบรายการ “มันยากที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ในทันที วันนี้พระชายากลับไปก่อน ข้าขอนำใบรายการนี้ไปปรึกษากับทางตระกูลให้เรียบร้อยแล้วจะตอบกลับไปหาพระชายา ว่าอย่างไร?”ซูชิงอู่ยืนขึ้นและกล่าวคำอำลา “หม่อมฉันรอฟังข่าวดีนะเพคะ”ทันทีที่ซูชิงอู่จากไป เจียวกุ้ยเฟยก็ฟาดใบรายการที่ซูชิงอู่ทิ้งไว้ลงบนโต๊ะด้วยความโกรธคิ้วของนางกระตุก ครู่หนึ่งนางสงสัยว่าตัวเองประมาทเกินไปหรือไม่ นางถึงได้ตั้งเงื่อนไขสูงขนาดนี้แต่ก็คงต้องบอกว่า ทางจวนอ๋องเสวียนจะมอบผลประโยชน์ให้กับตระกูลเจียวของนางได้มากมาย หากเป็นจริงดังที่ซูชิงอู่พูด นางกับอ๋องเสวียนก็คงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชิวหมิงให้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท…เช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากนางจะตอบรับเ
ซูชิงอู่ยิ้ม “ท่านอ๋องเหม่ออะไรอยู่หรือ?”หูของเย่เสวียนถิงแดงเล็กน้อย เขาไอเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อน จากนั้นก็พูดเสียงเบา “ข้าแค่สงสัยว่าเหตุใดอาอู่ถึงฉลาดมากขนาดนี้”ซูชิงอู่ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นจึงตระหนักว่านางเพิ่งจะได้รับคำชมหากคำชมนี้ออกมาจากปากของคนอื่น นางจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม แต่เมื่อมันออกมาจากปากของชายคนนี้ ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้นางก้มหน้าลงทันที มีสีแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนแก้มสวยของนาง “ชะ...เช่นนั้นหรือ?”เมื่อพระสนมซูเฟยเห็นภาพนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ดวงตาของนางเจือไปด้วยความเอ็นดูตอนนี้นางอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว แต่นางไม่เคยมีลูกเป็นของตัวเองเลยนางอ่อนแอและป่วยง่ายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังอ่อนไหวต่อลมหนาว แม้หลังเข้าวังนางจะได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่นางก็ผ่านพ้นยุคแห่งภาพลวงตาไปแล้วเมื่อคนใหม่เข้ามาแทนที่คนเก่าภายในตำหนักหกฝ่ายในทุกวันนี้ยามที่เห็นฮ่องเต้ นอกจากจะหวาดกลัวแล้ว ก็ยังรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยอีกด้วยแต่อยู่วังหลังนั้นย่อมทำตามใจตัวเองไม่ได้พระสนมซูเฟยมองไปที่ซูชิงอู่แล้วพูดว่า
คราวนี้นางมาพร้อมกับแม่ของนาง ฮูหยินหลินพี่สะใภ้ของพระสนมซูเฟยฮูหยินหลินมีสีหน้าจริงจังและใบหน้าที่เย็นชาซึ่งแตกต่างจากอารมณ์ที่สง่างามของสตรีส่วนใหญ่ในเมืองหลวงรูปร่างของนางยังสูงกว่าสตรีธรรมดาทั่วไปอีกด้วย รูปร่างของนางทำให้มีรัศมีที่คมชัดและเยือกเย็น และตาชั้นเดียวของนางก็ดูเฉียบคมมากเวลามองคนสมแล้วที่เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกจากจวนแม่ทัพนางพาหลินเสวี่ยอิ๋งไปทักทายพระสนมซูเฟยก่อน จากนั้นจึงเห็นเย่เสวียนถิงกลับมาสีหน้าของฮูหยินหลินขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด และเสียงของนางก็เย็นชาจนน่ากลัว“พระสนมซูเฟย คนบางคนได้อำนาจไปจนมีชื่อเสียงแล้วแต่กลับลืมว่าตัวเองเป็นใคร หม่อมฉันคิดว่าหากท่านมีเวลาก็ควรอบรมสั่งสอนสักหน่อย หากท่านไม่รู้จะพูดอย่างไร ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นป้าสะใภ้ หม่อมฉันก็สามารถสั่งสอนแทนท่านได้!”คำพูดคลุมเครือเหล่านี้มีความหมายบางอย่างแฝงอยู่คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจเกือบจะในทันทีว่านางกำลังพูดถึงใครซูชิงอู่รู้สึกโกรธนางสามารถทนต่อสิ่งที่หลินเสวี่ยอิ๋งพูดเกี่ยวกับนางได้ แต่นางจะไม่ยอมให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์เย่เสวียนถิงเด็ดขาด!นางกำลังจะก้าวไปข
คำพูดของเย่เสวียนถิงนับว่าชวนตะลึงจนฮูหยินหลินไม่สามารถโต้ตอบได้ครู่หนึ่งขณะที่นางกำลังนึกถึงสิ่งที่ตนต้องการจะพูด นางก็ได้เห็นว่าทุกคนในจวนอ๋องเสวียนออกไปหมดแล้วใบหน้าของนางบอกบุญไม่รับ ราวกับว่ามีคนตบนางอย่างแรงถึงสองครั้งการแสดงออกของเขาค่อนข้างวิเศษมากหลินเสวี่ยอิ๋งไม่คาดคิดเลยว่ามารดาของนางจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้จะไม่สามารถฉวยโอกาสนี้เอาไว้ได้ลูกพี่ลูกน้องของนางซึ่งนางชื่นชมมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้พร้อมจะเอาเรื่องทุกคนเพราะเหตุการณ์ของซูชิงอู่ ถึงขนาดไม่สนหน้าใครทั้งนั้นดวงตาของนางแดง และดึงแขนเสื้อมารดาอย่างเสียใจ "ท่านแม่ ญาติผู้พี่เสวียนถิงสับสนกับถูกซูชิงอู่นั่นปั่นหัวแน่เจ้าค่ะ!"หน้าอกของฮูหยินหลินกระเพื่อมด้วยความโกรธอย่างรุนแรงซูเฟยปลอบใจนางอย่างรวดเร็วและพูดว่า "พี่สะใภ้ใหญ่ อย่าถือเป็นอารมณ์ไปเลย เสวียนถิงยังอายุน้อยใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ท่านอย่าไปถือสาผู้น้อยเลย"ฮูหยินหลินหัวเราะด้วยความโกรธกับคำพูดเหล่านี้แต่ยังเก็บงำสีหน้าต่อซูเฟย“ผู้น้อยหรือ? พระนางได้ยินสิ่งที่เขาพูดต่อหน้าหม่อมฉันเมื่อครู่รึไม่? อย่างไรเสียหม่อมฉันก็เป็นป้าสะใภ้ของเขาและอาวุโสก
“ท่านน้า ท่านแม่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านโกรธ คืนนี้เป็นวันส่งท้ายปี ครอบครัวของเราน่าจะได้ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกัน”การแสดงออกของซูเฟยเห็นได้ชัดว่าไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนดูเหมือนคำพูดไม่กี่คำที่ฮูหยินหลินพูดออกมาได้กลืนกินความอ่อนโยนและความกระตือรือร้นของนางไปจนหมดนางยกมือขึ้นเพื่อปล่อยมือของหลินเสวี่ยอิ๋งและให้พวกเขาออกไป ซูเฟยพูดอย่างใจเย็น "ไม่ คืนนี้ข้าไม่อยากกินอะไรแล้ว"นางเดินตรงเข้าไปในโถงด้านในโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งสองแม่ลูกตระกูลหลินไว้ที่ประตูด้วยความอับอายและใบหน้าบอกบุญไม่รับผู้คนในตำหนักมากมายกำลังเฝ้าดูพวกนาง แม้จะไม่ได้ขับไล่พวกนางออกไปตรง ๆ แต่ภายใต้การจ้องมองเช่นนี้ สองแม่ลูกไม่อาจทนได้หลินเสวี่ยอิ๋งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานี้ ท่าทีของท่านน้าที่มีต่อนางและซูชิงอู่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมากนางมองหน้ามารดาของตนด้วยใบหน้าซีดเซียว "ท่านแม่ ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าท่านน้าเลือกอยู่ข้างซูชิงอู่และญาติผู้พี่..."ฮูหยินหลินกำมือแน่นแล้วดึงนางออกมา ด้วยไม่อยากทำให้ตนต้องขายหน้าคนในตำหนักอีกต่อไปขณะที่นางเดินออกไป นางก็พูดขึ้นว่า "เจ้าต้องบอกเรื่องนี้ให้พ่อเจ้ารู้
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้