เห็นได้ชัดว่าเจียวกุ้ยเฟยเป็นผู้เสนอความร่วมมือ แต่ตอนนี้แต้มต่อทั้งหมดกลับตกเป็นของซูชิงอู่คำพูดของนางทำให้เจียวกุ้ยเฟยพูดไม่ออก ดวงตาหลุบต่ำจมอยู่ในห้วงความคิดสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย และหลังจากเงียบไปนาน เจียวกุ้ยเฟยก็กล่าวว่า “ข้าต้องการที่จะละทิ้งความแค้นในอดีตที่มีต่อกัน พระชายาปรารถนาสิ่งใดก็แจ้งได้เลย หากตระกูลเจียวสามารถทำให้ได้ ก็จะไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใด พระชายาคิดว่าเช่นนี้ดูจริงใจพอแล้วหรือไม่?”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก “ในเมื่อกุ้ยเฟยจริงใจถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็ขอน้อมรับไว้เพคะ…”ขณะที่พูด นางก็ดึงแผ่นที่เขียนรายการบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อเจียวกุ้ยเฟยตะลึง“นี่มัน…”ซูชิงอู่ยิ้มด้วยดวงตาอันมีเสน่ห์ แลดูงดงามอย่างมาก“เงื่อนไขของหม่อมฉันเพคะ”เจียวกุ้ยเฟยเหลือบเห็นว่าในแผ่นรายการใบนั้นมีตัวหนังสือเขียนติดกันแน่นขนัดไปหมด แม้จะยังไม่ทันได้อ่านอย่างละเอียดว่าเขียนอะไรไปบ้าง แต่แค่มองคร่าว ๆ ก็ทำเอานางรู้สึกเวียนหัวเสียแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเหตุใดจู่ ๆ ซูชิงอู่ถึงได้เอาใบรายการนี้ออกมาจากแขนเสื้อหรือนางเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว?หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนางเดา
เจียวกุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ นางไม่ได้ทำหน้าบูดบึ้ง แต่กลับถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพระชายาถึงพูดเช่นนั้น?”ซูชิงอู่เม้มปากไม่พูดอะไรทั้งห้องเงียบลงในทันที ความเงียบของซูชิงอู่ทำให้บรรยากาศในตำหนักดูนิ่งงันดอกบ๊วยสีชมพูที่อยู่นอกหน้าต่างปลิวไสวท่ามกลางลมหนาว แสงและเงาตกกระทบลงบนโครงตาข่ายหน้าต่าง เจียวกุ้ยเฟยรู้สึกถึงความเย็นที่คืบคลานเข้ามาตามกระดูกสันหลังนางวางใบรายการ “มันยากที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ในทันที วันนี้พระชายากลับไปก่อน ข้าขอนำใบรายการนี้ไปปรึกษากับทางตระกูลให้เรียบร้อยแล้วจะตอบกลับไปหาพระชายา ว่าอย่างไร?”ซูชิงอู่ยืนขึ้นและกล่าวคำอำลา “หม่อมฉันรอฟังข่าวดีนะเพคะ”ทันทีที่ซูชิงอู่จากไป เจียวกุ้ยเฟยก็ฟาดใบรายการที่ซูชิงอู่ทิ้งไว้ลงบนโต๊ะด้วยความโกรธคิ้วของนางกระตุก ครู่หนึ่งนางสงสัยว่าตัวเองประมาทเกินไปหรือไม่ นางถึงได้ตั้งเงื่อนไขสูงขนาดนี้แต่ก็คงต้องบอกว่า ทางจวนอ๋องเสวียนจะมอบผลประโยชน์ให้กับตระกูลเจียวของนางได้มากมาย หากเป็นจริงดังที่ซูชิงอู่พูด นางกับอ๋องเสวียนก็คงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชิวหมิงให้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท…เช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากนางจะตอบรับเ
ซูชิงอู่ยิ้ม “ท่านอ๋องเหม่ออะไรอยู่หรือ?”หูของเย่เสวียนถิงแดงเล็กน้อย เขาไอเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อน จากนั้นก็พูดเสียงเบา “ข้าแค่สงสัยว่าเหตุใดอาอู่ถึงฉลาดมากขนาดนี้”ซูชิงอู่ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นจึงตระหนักว่านางเพิ่งจะได้รับคำชมหากคำชมนี้ออกมาจากปากของคนอื่น นางจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม แต่เมื่อมันออกมาจากปากของชายคนนี้ ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้นางก้มหน้าลงทันที มีสีแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนแก้มสวยของนาง “ชะ...เช่นนั้นหรือ?”เมื่อพระสนมซูเฟยเห็นภาพนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ดวงตาของนางเจือไปด้วยความเอ็นดูตอนนี้นางอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว แต่นางไม่เคยมีลูกเป็นของตัวเองเลยนางอ่อนแอและป่วยง่ายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังอ่อนไหวต่อลมหนาว แม้หลังเข้าวังนางจะได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่นางก็ผ่านพ้นยุคแห่งภาพลวงตาไปแล้วเมื่อคนใหม่เข้ามาแทนที่คนเก่าภายในตำหนักหกฝ่ายในทุกวันนี้ยามที่เห็นฮ่องเต้ นอกจากจะหวาดกลัวแล้ว ก็ยังรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยอีกด้วยแต่อยู่วังหลังนั้นย่อมทำตามใจตัวเองไม่ได้พระสนมซูเฟยมองไปที่ซูชิงอู่แล้วพูดว่า
คราวนี้นางมาพร้อมกับแม่ของนาง ฮูหยินหลินพี่สะใภ้ของพระสนมซูเฟยฮูหยินหลินมีสีหน้าจริงจังและใบหน้าที่เย็นชาซึ่งแตกต่างจากอารมณ์ที่สง่างามของสตรีส่วนใหญ่ในเมืองหลวงรูปร่างของนางยังสูงกว่าสตรีธรรมดาทั่วไปอีกด้วย รูปร่างของนางทำให้มีรัศมีที่คมชัดและเยือกเย็น และตาชั้นเดียวของนางก็ดูเฉียบคมมากเวลามองคนสมแล้วที่เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกจากจวนแม่ทัพนางพาหลินเสวี่ยอิ๋งไปทักทายพระสนมซูเฟยก่อน จากนั้นจึงเห็นเย่เสวียนถิงกลับมาสีหน้าของฮูหยินหลินขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด และเสียงของนางก็เย็นชาจนน่ากลัว“พระสนมซูเฟย คนบางคนได้อำนาจไปจนมีชื่อเสียงแล้วแต่กลับลืมว่าตัวเองเป็นใคร หม่อมฉันคิดว่าหากท่านมีเวลาก็ควรอบรมสั่งสอนสักหน่อย หากท่านไม่รู้จะพูดอย่างไร ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นป้าสะใภ้ หม่อมฉันก็สามารถสั่งสอนแทนท่านได้!”คำพูดคลุมเครือเหล่านี้มีความหมายบางอย่างแฝงอยู่คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจเกือบจะในทันทีว่านางกำลังพูดถึงใครซูชิงอู่รู้สึกโกรธนางสามารถทนต่อสิ่งที่หลินเสวี่ยอิ๋งพูดเกี่ยวกับนางได้ แต่นางจะไม่ยอมให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์เย่เสวียนถิงเด็ดขาด!นางกำลังจะก้าวไปข
คำพูดของเย่เสวียนถิงนับว่าชวนตะลึงจนฮูหยินหลินไม่สามารถโต้ตอบได้ครู่หนึ่งขณะที่นางกำลังนึกถึงสิ่งที่ตนต้องการจะพูด นางก็ได้เห็นว่าทุกคนในจวนอ๋องเสวียนออกไปหมดแล้วใบหน้าของนางบอกบุญไม่รับ ราวกับว่ามีคนตบนางอย่างแรงถึงสองครั้งการแสดงออกของเขาค่อนข้างวิเศษมากหลินเสวี่ยอิ๋งไม่คาดคิดเลยว่ามารดาของนางจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้จะไม่สามารถฉวยโอกาสนี้เอาไว้ได้ลูกพี่ลูกน้องของนางซึ่งนางชื่นชมมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้พร้อมจะเอาเรื่องทุกคนเพราะเหตุการณ์ของซูชิงอู่ ถึงขนาดไม่สนหน้าใครทั้งนั้นดวงตาของนางแดง และดึงแขนเสื้อมารดาอย่างเสียใจ "ท่านแม่ ญาติผู้พี่เสวียนถิงสับสนกับถูกซูชิงอู่นั่นปั่นหัวแน่เจ้าค่ะ!"หน้าอกของฮูหยินหลินกระเพื่อมด้วยความโกรธอย่างรุนแรงซูเฟยปลอบใจนางอย่างรวดเร็วและพูดว่า "พี่สะใภ้ใหญ่ อย่าถือเป็นอารมณ์ไปเลย เสวียนถิงยังอายุน้อยใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ท่านอย่าไปถือสาผู้น้อยเลย"ฮูหยินหลินหัวเราะด้วยความโกรธกับคำพูดเหล่านี้แต่ยังเก็บงำสีหน้าต่อซูเฟย“ผู้น้อยหรือ? พระนางได้ยินสิ่งที่เขาพูดต่อหน้าหม่อมฉันเมื่อครู่รึไม่? อย่างไรเสียหม่อมฉันก็เป็นป้าสะใภ้ของเขาและอาวุโสก
“ท่านน้า ท่านแม่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านโกรธ คืนนี้เป็นวันส่งท้ายปี ครอบครัวของเราน่าจะได้ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกัน”การแสดงออกของซูเฟยเห็นได้ชัดว่าไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนดูเหมือนคำพูดไม่กี่คำที่ฮูหยินหลินพูดออกมาได้กลืนกินความอ่อนโยนและความกระตือรือร้นของนางไปจนหมดนางยกมือขึ้นเพื่อปล่อยมือของหลินเสวี่ยอิ๋งและให้พวกเขาออกไป ซูเฟยพูดอย่างใจเย็น "ไม่ คืนนี้ข้าไม่อยากกินอะไรแล้ว"นางเดินตรงเข้าไปในโถงด้านในโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งสองแม่ลูกตระกูลหลินไว้ที่ประตูด้วยความอับอายและใบหน้าบอกบุญไม่รับผู้คนในตำหนักมากมายกำลังเฝ้าดูพวกนาง แม้จะไม่ได้ขับไล่พวกนางออกไปตรง ๆ แต่ภายใต้การจ้องมองเช่นนี้ สองแม่ลูกไม่อาจทนได้หลินเสวี่ยอิ๋งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานี้ ท่าทีของท่านน้าที่มีต่อนางและซูชิงอู่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมากนางมองหน้ามารดาของตนด้วยใบหน้าซีดเซียว "ท่านแม่ ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าท่านน้าเลือกอยู่ข้างซูชิงอู่และญาติผู้พี่..."ฮูหยินหลินกำมือแน่นแล้วดึงนางออกมา ด้วยไม่อยากทำให้ตนต้องขายหน้าคนในตำหนักอีกต่อไปขณะที่นางเดินออกไป นางก็พูดขึ้นว่า "เจ้าต้องบอกเรื่องนี้ให้พ่อเจ้ารู้
ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของนางโค้งขึ้น "ท่านนี่โลภจริง ๆ"เย่เสวียนถิงก็ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของนางเช่นกัน นั่นทำให้เขาหัวเราะเบา ๆ ใบหน้าของเขายังคงความอ่อนเยาว์และความมีชีวิตชีวาที่เป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มสาว และดูสดใสยิ่งขึ้นเมื่อเขาผ่อนคลายลงได้แม้ว่าเขาจะค่อนข้างแตกต่างไปจากความเป็นผู้ใหญ่และอารมณ์ที่มั่นคงที่เขามีในไม่กี่ปีต่อจากนี้ แต่ร่างกายของเขาไร้ซึ่งกำแพงหนา อีกทั้งใบหน้าก็ไม่ได้แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ทุกการเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความมุ่งมั่นที่หาได้ยาก“อย่างนั้นอย่าได้ให้รางวัลข้าเลย อย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าจะทำให้เจ้าห่างจากความกังวล ข้าจะปล่อยให้เจ้าอารมณ์ไม่ดีเพราะคนของตระกูลหลินได้อย่างไร”ซูชิงอู่ถอนหายใจและส่ายหัว "ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร"เย่เสวียนถิงตกตะลึง“ข้าไม่ชอบฟังคนอื่นพูดถึงท่านแบบนั้น ท่านอ๋องเป็นได้อย่างทุกวันนี้เพราะความอุตสาหะของท่านเอง ท่านไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากใคร ท่านไต่เต้าขึ้นมาเป็นใหญ่ในกองทัพโดยอาศัยความแข็งแกร่งของตนเอง คนที่จะทำเช่นท่านได้ มีไม่มากหรอกเจ้าค่ะเย่
เย่เสวียนถิงคว้าตัวนางกำนัลประจำตำหนักข้าง ๆ เอาไว้ แล้วถามว่า "เหตุใดไฟจึงไหม้ได้"นางกำนัลตัวสั่นด้วยความกลัว "หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ แต่หม่อมฉันเพิ่งได้ยินเสียงระเบิดครั้งใหญ่ แล้วไฟก็เริ่มไหม้ ซูเฟยน่าจะติดอยู่ข้างใน หม่อมฉันควรทำอย่างไรดี?"ซูชิงอู่มองไปที่ผู้คนรอบตัวนาง "มัวทำอะไรอยู่? ไปเอาน้ำมาดับไฟสิ!""เพคะ!"ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาแยกย้ายกันไปและพยายามตักน้ำมาดับไฟอย่างเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามบ่อน้ำในตำหนักจิ้งอี๋นั้นอยู่ห่างออกไปพอสมควร ทำให้ต้องเสียเวลาเดินไปมาอย่างมากกว่าพวกเขาจะตักน้ำมาดับไฟได้ ไฟก็คงลามจนไหม้ไปทั้งตำหนักแล้วเย่เสวียนถิงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วรีบวิ่งไปยังเรือนภายในที่ถูกไฟไหม้ เขาต้องช่วยเหลือคนก่อนเป็นอันดับแรกซูชิงอู่อ่านความคิดของเขาได้ ริมฝีปากเม้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้ห้ามเขานางติดตามเขาไป เนื่องด้วยต้องการเข้าไปด้วยกันไฟไหม้ครั้งนี้นับว่าแปลกประหลาดจริง ๆ เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ กลับลามไปได้ไกลเพียงนี้ ข้อสันนิษฐานแรกคงมีสาเหตุเพราะตัวเรือนไม้ของตำหนักจิ้งอี๋นั้นเก่ามาก และข้อสันนิษฐานที่สองคงเป็นฝีมือมนุษย์เย่เสวียนถิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้า