อวิ๋นเซียงหรู "..." ซูอะไรนะ? ซูชิงอู่! วันนี้เขารู้สึกตกตะลึงมากพอแล้ว แต่กลับเทียบมิได้เลยกับยามนี้ เมื่อซูชิงอู่เห็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่โลกทัศน์แหลกสลายโดยสิ้นเชิง นางก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา "เจ้ากับข้าถูกองค์ชายสามหลอกด้วยกันทั้งคู่ อีกทั้งเจ้ากับข้าก็ขึ้นเรือโจรมานานแล้ว เกรงว่าคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ในเมื่อพวกเราอยู่ข้างเดียวกันแล้ว ข้าก็หามีอันใดต้องปิดบังอีกต่อไป พอถึงวันสอบ เจ้าก็จงไปสอบเถิด ข้ารับรองว่าการสอบครั้งนี้จะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแน่นอน" อวิ๋นเซียงหรูทราบว่าผู้คุมสอบครั้งนี้คือ องค์ชายใหญ่ มีใจความสำคัญมากมายแฝงอยู่ในวาจาของซูชิงอู่อยู่จริง ๆ การที่นางสามารถเอ่ยเรื่องเช่นนี้ด้วยความมั่นใจถึงเพียงนั้นได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม อวิ๋นเซียงหรูก้มหน้าและเอาแต่นิ่งเงียบ ราวกับว่าเขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่อยากจะเข้าไปพัวพันกับการแก่งแย่งอำนาจภายในเมืองหลวง ทว่าครู่ถัดมา ซูชิงอู่ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า "ข้าจะช่วยเจ้าล้างมลทินให้ตระกูลอวิ๋นและขจัดความคับข้องใจให้หมดสิ้นไป"
"ไยเจ้าต้องปีนกำแพงด้วย?" ซูชิงอู่รู้สึกผิดอยู่บ้าง นางจึงเอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า "ข้าแค่รู้สึกว่าหากนั่งชมจันทร์อยู่บนกำแพง... ก็จะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น" เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็กอดนางเอาไว้แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาทันที ซูชิงอู่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้าจึงคว้าท่อนแขนของเย่เสวียนถิงเอาไว้ทันที หัวใจของนางเต้นระรัวพลางมองทัศนียภาพโดยรอบที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางด้วยแววตาเป็นประกาย แน่นอนว่าบนหลังคาย่อมกว้างขวางพอ ราวกับว่าเข้าใกล้ดวงจันทร์ไปอีกก้าวหนึ่ง เย่เสวียนถิงถามว่า "คราวหน้าอยากชมจันทร์ ก็ขึ้นมาบนหลังคาสินะ" ซูชิงอู่ "..." นางรู้สึกว่าเย่เสวียนถิงจงใจล้อเลียนนาง แต่นางกลับไร้ซึ่งหลักฐาน เมื่อได้ยินคำโกหกอันมิได้เรื่องได้ราวที่นางสู้อุตส่าห์ปั้นแต่งขึ้นมาก็ให้รู้สึกละอายใจ นายไม่คิดว่าเย่เสวียนถิงจะเชื่อจริง ๆ หรอก เพราะฉะนั้นก่อนที่เรื่องราวจะยิ่งเลวร้าย ซูชิงอู่จึงตัดสินใจที่จะสารภาพความจริงและพูดอย่างละมุนละม่อม "เสวียนถิง ที่จริงแล้ว ข้า..." เย่เสวียนถิงพลันเอ่ยขึ้นมาว่า "เจ้ามิจำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ข้าฟังหรอก มีข้าอยู่ตรงนี
"ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ที่ไหนหรือท่านจะเป็นผู้ใดก็ตาม ท่านก็เป็นคนสำคัญที่สุดในใจของข้า ถึงขนาด... สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของข้าเองเสียด้วยซ้ำไป ท่านเข้าใจหรือไม่?" เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย เขาไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ซูชิงอู่กล่าววาจาเช่นนั้น ถ้าเป็นเพราะปลอบใจเขาล่ะก็ เช่นนั้นนางก็ทำสำเร็จแล้ว ความรู้สึกเป็นกังวลและไม่แน่ใจที่กำลังปั่นป่วนอยู่ข้างใน ทำให้เขาควบคุมตนเองไม่ค่อยได้ เขาเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าขึ้นมาว่า "อาอู่ ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นอีก ข้าไม่แน่ใจว่าจะทำอันใดที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตนเองหรือไม่ อย่าทำให้ข้าเชื่อว่ามันเป็นความจริงเลย" ซูชิงอู่ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วยิ้มอ่อนโยน นางจุมพิตมุมปากของเย่เสวียนถิงพลางเอ่ยกระซิบว่า "นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านสามารถเชื่อทุกคำที่ข้าพูดได้" เย่เสวียนถิงกะพริบตา จากนั้นดวงตาสีดำสนิทที่ดูเหมือนซุกซ่อนดวงดารานับพันเอาไว้ก็วูบไหวชั่วขณะ เขาพลันควบคุมตัวเองมิได้แล้วดึงตัวซูชิงอู่เข้ามาในอ้อมแขนของตนเองอีกครั้ง เขาโอบเอวระหงและละมุนละไมของนางเอาไว้แน่น น้ำเสียงทุ้มและแหบพร่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความรู้
ดันพลั้งเผลอหลุดปากออกมาเสียได้…หากว่านางสามารถทำยาแก้ความรู้สึกเสียใจภายหลังได้ ตัวนางเองต้องกินก่อนเป็นคนแรกแน่นอน หากว่าร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงขึ้นมากหลังจากที่ได้แช่ยาสมุนไพรรักษามาเป็นเวลานาน หรือหากว่ายาพิษที่อยู่ในร่างเมื่อสามปีก่อนที่นางจะได้ย้อนกลับมายังคงหลงเหลืออยู่... สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงทำให้คนธรรมดาทั่วไปต้องนอนซมอยู่กับเตียงลุกไม่ขึ้นไม่สามก็ห้าวันเลยทีเดียว อวิ๋นซิงกับอวิ๋นจื่อต่างก็แลกสายตากัน เมื่อเห็นรอยแดงบนลำคอขาวผ่องของซูซิงอู่ ใบหน้าของพวกนางก็แดงก่ำ แก้มเห่อร้อน “เอ่อ... พระชายา นั่น...” ซูซิงอู่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนรักษาท่าทีให้สงบนิ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง ขณะที่ช่วยใส่สายรัดเอวและรองเท้า บ่าวรับใช้ตัวน้อยทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันเปี่ยมล้นจนทำให้หัวใจของพวกนางเต้นรัว “มีเรื่องอะไรเหรอ? บอกข้ามา” อวิ๋นจื่อบอก “พระชายาให้หม่อมฉันคอยจับตาฟังข่าวจากตำหนักขององค์ชายสาม หม่อมฉันเพิ่งได้ข่าวมาจากบ่าวรับใช้ว่าองค์ชายสามได้ตั้งรางวัลทองคำหนึ่งพันตำลึงให้หาชายชื่อหวังหยุน ภาพชายผู้นั้นแปะไปทั่วทุกตรอกซอกซอยทั่วเมืองหลวงเลยเพคะ”
เมื่อซูซิงอู่เข้าไปในพระราชวังอย่างเร่งร้อน ท่านหมอเทวดาก็กำลังสอบถามความกับเหล่าหมอหลวงในท้องพระโรง หยิงกงกงพานางเข้าไปที่ห้องโถงข้างที่เย่เสวียนถิงพักอยู่ชั่วคราว ทันทีที่เย่เสวียนถิงเปิดประตู เขาก็ดึงร่างของซูซิงอู่เข้าไปในห้องแล้วใช้หลังมือปิดประตูห้อง เขากวาดตามองทั่วร่างซูซิงอู่ ก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใย “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?” ซูซิงอู่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าไม่เป็นอันใด เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือขาของท่าน ทำไมจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงได้หาหมอมารักษาท่านกัน?” เย่เสวียนถิงหรุบตาต่ำ “มันก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะหมอเทวดาหรือไม่ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น” ซูซิงอู่กะพริบตาปริบ และนางก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จู่ ๆ นางก็รู้สึกเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจ ฮ่องเต้ก็สมกับที่เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านางพระองค์จะมีทีท่าใจดีเพียงใด พระองค์ยังพูดหยอกล้อเล่นหัวกับผู้เยาว์อย่างพวกตน แต่อย่างไรพระองค์ก็เป็นฮ่องเต้... จิตใจของเจ้าเหนือหัวนั้นยากแท้หยั่งถึง หากว่ามองเพียงแค่เปลือกนอกก็อาจจะพลาดพลั้ง
ซูซิงอู่หรี่ตาลอบมองพระสนมเจียวเป็นนางนี่เองเย่เสวียนถิงพูดอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยเสด็จพ่อมากพ่ะย่ะค่ะ อาการบาดเจ็บที่ขาของกระหม่อมมีหมอนับไม่ถ้วนที่มาตรวจดู แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้กระหม่อมยอมรับชะตาแล้ว”ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “เจ้ายังหนุ่มแน่นและมีอนาคตอีกยาวไกล ตราบใดที่ยังพอมีหนทาง ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ท่านหมอหม่า ข้าได้ยินมาจากพระสนมว่าท่านเก่งเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บทางกระดูก ช่วยดูอาการอ๋องเสวียนให้ถี่ถ้วนด้วย”ท่านหมอหม่าถอดรองเท้าและถุงเท้าของเย่เสวียนถิงออกอย่างรวดเร็ว พร้อมม้วนขากางเกงของเขาขึ้นเปิดเผยให้เห็นอาการบาดเจ็บที่ขาบาดแผลนั้นถูกพันผ้าไว้อย่างดี และมีไม้สองชิ้นดามไว้ฮ่องเต้หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมมองมาทั้งห้องโถงเงียบสนิท มีเพียงเสียงของหมอหม่าที่กำลังแกะผ้าที่พันไม้ดามออกเท่านั้นเมื่อไม้ดามร่วงลงไปและเผยให้เห็นขา เพียงแวบแรกท่านหมอหม่าก็ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ“นี่มัน...”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเสียงท่านหมอหม่า พระองค์ก็ผุดลุกขึ้นทันที“มีอะไร?”หมอหม่ารีบขยับตัวหลบไปเล็กน้อย เผยให้เห็นท่อนขาที่บาดเจ็บของเย่เสวียนถิงที่อยู่ต่อหน้าของตนให้ฮ่องเต้ได้เห็นฮ่องเต
ท่านหมอเทวดาหม่าคุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทางประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อฮ่องเต้เห็นว่าซูซิงอู่ขัดขวางการรักษาของหมอเทวดา พระองค์ก็นิ่วหน้า “พระชายาเสวียน เจ้าทำอันใดกัน?”ซูซิงอู่หันกลับมาคารวะ “ฝ่าบาท ซิงอู่ไม่เคยเห็นหมอผู้ไหนพกมีดมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเลยเพคะ”พระสนมเจียวพูดช้า ๆ “นี่เป็นวิธีการรักษาเฉพาะตัวของท่านหมอเทวดา หากว่าเจ้าอยากให้ท่านอ๋องเสวียนหายดี เจ้าก็ไม่ควรสร้างปัญหา”ซูซิงอู่แอบแค่นเสียงหยันในใจ แต่น้ำเสียงของนางยังสงบนิ่ง “ผิวหนังบนร่างกายล้วนเป็นสิ่งที่บิดามารดามอบให้ ในฐานะองค์ชายเช่นท่านอ๋องเสวียน จะกล้าทำร้ายผู้อื่นได้เช่นไร? หมอเทวดาผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถอันใด เขาเพียงแต่ต้องการใช้วิธีการรักษาที่ดูน่ากลัวเพื่อดึงดูดความสนใจ หากว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นใครจะรับผิดชอบได้เพคะ พระสนมเจียว?”หมอเทวดาผู้เฒ่ารีบคุกเข่าลงและบอกว่า “กระหม่อมขอรับรองด้วยชีวิตว่าหากมีอันใดเกิดขึ้นกับท่านอ๋อง...”ซูซิงอู่กวาดตามองเขาอย่างดุร้าย “หุบปาก ชีวิตของเจ้าไม่มีค่าเทียบเท่าแม้นิ้วเท้าของท่านอ๋องสักนิ้ว เจ้ามีคุณค่าใดที่จะมารับรองได้?”เมื่อพระสนมเจียวเห็นว่าซูซิงอู่มุ่งเป้ามาที่ตน
เมื่อได้ยินคำพูดหยามหมิ่น ดวงตาของเย่เสวียนถิงก็พลันเย็นเยียบราวน้ำแข็งเขาเงยหน้าขึ้นและมองพระสนมเจียว หนังศีรษะของนางชาหนึบเมื่อเขามองนาง และนางแทบอยากจะกลืนคำพูดที่เอ่ยมาเมื่อครู่กลับไปฮ่องเต้คว่ำโต๊ะทันที “ข้าสั่งให้เจ้ารักษา เจ้าก็ต้องรักษา ข้าก็ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ใครจะกล้าทำร้ายเจ้ากัน?”พระองค์เงียบไป จากนั้นก็มองออกไปนอกห้องโถง “ใครก็ได้เข้ามา”ประตูของห้องโถงข้างถูกเปิดออก และองครักษ์หลวงพร้อมดาบก็รุดเข้ามาซูซิงอู่ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะมีคำสั่งเช่นนี้ นางกำหมัดแน่นและหัวใจก็เย็นเยียบจนถึงขั้วนางไม่ได้ห่วงตัวเองแต่นางเจ็บปวดแทนเย่เสวียนถิงเห็นได้ชัดว่าพระสนมเจียวมีเจตนาร้ายเมื่อนางได้เจอหมอเทวดา แต่ฮ่องเต้กลับมองไม่เห็นไม่สิ บางทีพระองค์อาจเห็นมานานแล้ว แต่พระองค์มีส่วนช่วยส่งเสริมคนร้ายแน่นอนเป้าหมายไม่ใช่เพื่อแค่ให้ขาของเย่เสวียนถิงไม่อาจฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ความหวังของเขาถูกทำลายไปนานแล้ว แต่คนพวกนี้ฉากหน้าทำเป็นหวังดีต่อเขา หากแต่จริง ๆ ต้องการทำลายเขาไม่เหลือซากตอนนี้เองที่ซูซิงอู่ได้เห็นว่าเย่เสวียนถิงต้องเผชิญกับเรื่องราวเช่นไร...สถานการณ์ของเขาเหมือนหนี