"ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ที่ไหนหรือท่านจะเป็นผู้ใดก็ตาม ท่านก็เป็นคนสำคัญที่สุดในใจของข้า ถึงขนาด... สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของข้าเองเสียด้วยซ้ำไป ท่านเข้าใจหรือไม่?" เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย เขาไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ซูชิงอู่กล่าววาจาเช่นนั้น ถ้าเป็นเพราะปลอบใจเขาล่ะก็ เช่นนั้นนางก็ทำสำเร็จแล้ว ความรู้สึกเป็นกังวลและไม่แน่ใจที่กำลังปั่นป่วนอยู่ข้างใน ทำให้เขาควบคุมตนเองไม่ค่อยได้ เขาเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าขึ้นมาว่า "อาอู่ ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นอีก ข้าไม่แน่ใจว่าจะทำอันใดที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตนเองหรือไม่ อย่าทำให้ข้าเชื่อว่ามันเป็นความจริงเลย" ซูชิงอู่ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วยิ้มอ่อนโยน นางจุมพิตมุมปากของเย่เสวียนถิงพลางเอ่ยกระซิบว่า "นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านสามารถเชื่อทุกคำที่ข้าพูดได้" เย่เสวียนถิงกะพริบตา จากนั้นดวงตาสีดำสนิทที่ดูเหมือนซุกซ่อนดวงดารานับพันเอาไว้ก็วูบไหวชั่วขณะ เขาพลันควบคุมตัวเองมิได้แล้วดึงตัวซูชิงอู่เข้ามาในอ้อมแขนของตนเองอีกครั้ง เขาโอบเอวระหงและละมุนละไมของนางเอาไว้แน่น น้ำเสียงทุ้มและแหบพร่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความรู้
ดันพลั้งเผลอหลุดปากออกมาเสียได้…หากว่านางสามารถทำยาแก้ความรู้สึกเสียใจภายหลังได้ ตัวนางเองต้องกินก่อนเป็นคนแรกแน่นอน หากว่าร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงขึ้นมากหลังจากที่ได้แช่ยาสมุนไพรรักษามาเป็นเวลานาน หรือหากว่ายาพิษที่อยู่ในร่างเมื่อสามปีก่อนที่นางจะได้ย้อนกลับมายังคงหลงเหลืออยู่... สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงทำให้คนธรรมดาทั่วไปต้องนอนซมอยู่กับเตียงลุกไม่ขึ้นไม่สามก็ห้าวันเลยทีเดียว อวิ๋นซิงกับอวิ๋นจื่อต่างก็แลกสายตากัน เมื่อเห็นรอยแดงบนลำคอขาวผ่องของซูซิงอู่ ใบหน้าของพวกนางก็แดงก่ำ แก้มเห่อร้อน “เอ่อ... พระชายา นั่น...” ซูซิงอู่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนรักษาท่าทีให้สงบนิ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง ขณะที่ช่วยใส่สายรัดเอวและรองเท้า บ่าวรับใช้ตัวน้อยทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันเปี่ยมล้นจนทำให้หัวใจของพวกนางเต้นรัว “มีเรื่องอะไรเหรอ? บอกข้ามา” อวิ๋นจื่อบอก “พระชายาให้หม่อมฉันคอยจับตาฟังข่าวจากตำหนักขององค์ชายสาม หม่อมฉันเพิ่งได้ข่าวมาจากบ่าวรับใช้ว่าองค์ชายสามได้ตั้งรางวัลทองคำหนึ่งพันตำลึงให้หาชายชื่อหวังหยุน ภาพชายผู้นั้นแปะไปทั่วทุกตรอกซอกซอยทั่วเมืองหลวงเลยเพคะ”
เมื่อซูซิงอู่เข้าไปในพระราชวังอย่างเร่งร้อน ท่านหมอเทวดาก็กำลังสอบถามความกับเหล่าหมอหลวงในท้องพระโรง หยิงกงกงพานางเข้าไปที่ห้องโถงข้างที่เย่เสวียนถิงพักอยู่ชั่วคราว ทันทีที่เย่เสวียนถิงเปิดประตู เขาก็ดึงร่างของซูซิงอู่เข้าไปในห้องแล้วใช้หลังมือปิดประตูห้อง เขากวาดตามองทั่วร่างซูซิงอู่ ก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใย “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?” ซูซิงอู่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าไม่เป็นอันใด เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือขาของท่าน ทำไมจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงได้หาหมอมารักษาท่านกัน?” เย่เสวียนถิงหรุบตาต่ำ “มันก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะหมอเทวดาหรือไม่ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น” ซูซิงอู่กะพริบตาปริบ และนางก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จู่ ๆ นางก็รู้สึกเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจ ฮ่องเต้ก็สมกับที่เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านางพระองค์จะมีทีท่าใจดีเพียงใด พระองค์ยังพูดหยอกล้อเล่นหัวกับผู้เยาว์อย่างพวกตน แต่อย่างไรพระองค์ก็เป็นฮ่องเต้... จิตใจของเจ้าเหนือหัวนั้นยากแท้หยั่งถึง หากว่ามองเพียงแค่เปลือกนอกก็อาจจะพลาดพลั้ง
ซูซิงอู่หรี่ตาลอบมองพระสนมเจียวเป็นนางนี่เองเย่เสวียนถิงพูดอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยเสด็จพ่อมากพ่ะย่ะค่ะ อาการบาดเจ็บที่ขาของกระหม่อมมีหมอนับไม่ถ้วนที่มาตรวจดู แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้กระหม่อมยอมรับชะตาแล้ว”ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “เจ้ายังหนุ่มแน่นและมีอนาคตอีกยาวไกล ตราบใดที่ยังพอมีหนทาง ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ท่านหมอหม่า ข้าได้ยินมาจากพระสนมว่าท่านเก่งเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บทางกระดูก ช่วยดูอาการอ๋องเสวียนให้ถี่ถ้วนด้วย”ท่านหมอหม่าถอดรองเท้าและถุงเท้าของเย่เสวียนถิงออกอย่างรวดเร็ว พร้อมม้วนขากางเกงของเขาขึ้นเปิดเผยให้เห็นอาการบาดเจ็บที่ขาบาดแผลนั้นถูกพันผ้าไว้อย่างดี และมีไม้สองชิ้นดามไว้ฮ่องเต้หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมมองมาทั้งห้องโถงเงียบสนิท มีเพียงเสียงของหมอหม่าที่กำลังแกะผ้าที่พันไม้ดามออกเท่านั้นเมื่อไม้ดามร่วงลงไปและเผยให้เห็นขา เพียงแวบแรกท่านหมอหม่าก็ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ“นี่มัน...”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเสียงท่านหมอหม่า พระองค์ก็ผุดลุกขึ้นทันที“มีอะไร?”หมอหม่ารีบขยับตัวหลบไปเล็กน้อย เผยให้เห็นท่อนขาที่บาดเจ็บของเย่เสวียนถิงที่อยู่ต่อหน้าของตนให้ฮ่องเต้ได้เห็นฮ่องเต
ท่านหมอเทวดาหม่าคุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทางประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อฮ่องเต้เห็นว่าซูซิงอู่ขัดขวางการรักษาของหมอเทวดา พระองค์ก็นิ่วหน้า “พระชายาเสวียน เจ้าทำอันใดกัน?”ซูซิงอู่หันกลับมาคารวะ “ฝ่าบาท ซิงอู่ไม่เคยเห็นหมอผู้ไหนพกมีดมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเลยเพคะ”พระสนมเจียวพูดช้า ๆ “นี่เป็นวิธีการรักษาเฉพาะตัวของท่านหมอเทวดา หากว่าเจ้าอยากให้ท่านอ๋องเสวียนหายดี เจ้าก็ไม่ควรสร้างปัญหา”ซูซิงอู่แอบแค่นเสียงหยันในใจ แต่น้ำเสียงของนางยังสงบนิ่ง “ผิวหนังบนร่างกายล้วนเป็นสิ่งที่บิดามารดามอบให้ ในฐานะองค์ชายเช่นท่านอ๋องเสวียน จะกล้าทำร้ายผู้อื่นได้เช่นไร? หมอเทวดาผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถอันใด เขาเพียงแต่ต้องการใช้วิธีการรักษาที่ดูน่ากลัวเพื่อดึงดูดความสนใจ หากว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นใครจะรับผิดชอบได้เพคะ พระสนมเจียว?”หมอเทวดาผู้เฒ่ารีบคุกเข่าลงและบอกว่า “กระหม่อมขอรับรองด้วยชีวิตว่าหากมีอันใดเกิดขึ้นกับท่านอ๋อง...”ซูซิงอู่กวาดตามองเขาอย่างดุร้าย “หุบปาก ชีวิตของเจ้าไม่มีค่าเทียบเท่าแม้นิ้วเท้าของท่านอ๋องสักนิ้ว เจ้ามีคุณค่าใดที่จะมารับรองได้?”เมื่อพระสนมเจียวเห็นว่าซูซิงอู่มุ่งเป้ามาที่ตน
เมื่อได้ยินคำพูดหยามหมิ่น ดวงตาของเย่เสวียนถิงก็พลันเย็นเยียบราวน้ำแข็งเขาเงยหน้าขึ้นและมองพระสนมเจียว หนังศีรษะของนางชาหนึบเมื่อเขามองนาง และนางแทบอยากจะกลืนคำพูดที่เอ่ยมาเมื่อครู่กลับไปฮ่องเต้คว่ำโต๊ะทันที “ข้าสั่งให้เจ้ารักษา เจ้าก็ต้องรักษา ข้าก็ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ใครจะกล้าทำร้ายเจ้ากัน?”พระองค์เงียบไป จากนั้นก็มองออกไปนอกห้องโถง “ใครก็ได้เข้ามา”ประตูของห้องโถงข้างถูกเปิดออก และองครักษ์หลวงพร้อมดาบก็รุดเข้ามาซูซิงอู่ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะมีคำสั่งเช่นนี้ นางกำหมัดแน่นและหัวใจก็เย็นเยียบจนถึงขั้วนางไม่ได้ห่วงตัวเองแต่นางเจ็บปวดแทนเย่เสวียนถิงเห็นได้ชัดว่าพระสนมเจียวมีเจตนาร้ายเมื่อนางได้เจอหมอเทวดา แต่ฮ่องเต้กลับมองไม่เห็นไม่สิ บางทีพระองค์อาจเห็นมานานแล้ว แต่พระองค์มีส่วนช่วยส่งเสริมคนร้ายแน่นอนเป้าหมายไม่ใช่เพื่อแค่ให้ขาของเย่เสวียนถิงไม่อาจฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ความหวังของเขาถูกทำลายไปนานแล้ว แต่คนพวกนี้ฉากหน้าทำเป็นหวังดีต่อเขา หากแต่จริง ๆ ต้องการทำลายเขาไม่เหลือซากตอนนี้เองที่ซูซิงอู่ได้เห็นว่าเย่เสวียนถิงต้องเผชิญกับเรื่องราวเช่นไร...สถานการณ์ของเขาเหมือนหนี
“อ๊า!”จู่ ๆ หมอเทวดาหม่าก็ส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับขาแล้วล้มลงกับพื้นฮ่องเต้และกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ต่างตกตะลึงกับการกระทำอย่างกะทันหันของซูชิงอู่เจียวกุ้ยเฟยถึงกับตะโกนเสียงดัง "ใครก็ได้มานี่ ชายาเสวียนกำลังทำร้ายผู้คนอย่างบ้าคลั่ง! จับตัวนางไว้"นางกำนัลอาวุโสของเจียวกุ้ยเฟยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูบุกเข้ามาในห้องทันที นางเตรียมพร้อมจะลงมือกับซูชิงอู่ทว่าเย่เสวียนถิงกลับดึงซูชิงอู่เข้ามาในอ้อมแขนของเขา แล้วมองดูคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา“ข้าอยากเห็นนักว่าใครจะกล้าบังอาจแตะต้องชายาเสวียน!”เหล่านางกำนัลอาวุโสหยุดฝีเท้า พวกนางหันหน้าไปมองเจียวกุ้ยเฟยด้วยความลำบากใจเจียวกุ้ยเฟยโกรธมากพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า "อ๋องเสวียน เจ้าจะก่อกบฎใช่หรือไม่? ชายาเสวียนถืออาวุธตั้งใจจะแทงฝ่าบาท แต่เจ้ากลับยังกล้าปกป้องนางจากข้อกล่าวหานี้อีกหรือ?"เย่เสวียนถิงตอบโต้อย่างเย็นชา "ประการแรก ชายาเสวียนไม่ได้ถืออาวุธสังหาร ประการที่สอง ขณะนี้เป็นการประลองทักษะทางการแพทย์ ท่านโปรดอย่าได้รบกวนนาง หากมีผลกระทบต่อผลลัพธ์ เช่นนั้นแล้วท่านจะถูกตำหนิเอาได้""เช่นนี้หรือถือว่าเป็นการ
เขาไร้ซึ่งหนทางจะห้ามเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลนั้นได้นี่มันเกิดอะไรขึ้น?หมอหม่าไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับร่างกายของเขา ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังเจียวกุ้ยเฟยและฮ่องเต้ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าทั้งสอง ก่อนจะก้มหัวลงอย่างสิ้นหวังด้วยใจปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด"ได้โปรดฝ่าบาทและกุ้ยเฟย ทรงช่วยชีวิต… ช่วยชีวิตกระหม่อมด้วย!"เลือดสีแดงสดเจิ่งนองไปทั่วพื้นทำให้ผู้ที่ได้เห็นต่างพากันรู้สึกสะอิดสะเอียนฮ่องเต้ถึงกับบีบจมูกไม่อาจทนมองดูภาพตรงหน้านี้ได้เหล่าข้าราชบริพารต่างรีบเข้ามาขวางทางเดินของหมอเทวดาหม่าทันที เพื่อยับยั้งไม่ให้เขาสร้างมลทินใดเปรอะเปื้อนต่ออาภรณ์ของฮ่องเต้ใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เมื่อมองดูผู้ที่ได้ชื่อว่าหมอเทวดา ซึ่งขณะนี้เขาทั้งไร้ประโยชน์ไม่อาจแม้แต่จะหยุดเลือดจากบาดแผลของตัวเองได้ นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "หมอเทวดาหม่าเจ้าเป็นหมอ แต่ไม่อาจรักษาบาดแผลเล็ก ๆ นี้ได้กระนั้นหรือ?”หมอหม่ามีท่าทีกระอักกระอ่วนเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาจึงไม่อาจห้ามเลือดจากบาดแผลนั้นได้แม้จะใช้วิธีต่าง ๆ มากมายก็ตาม ซูชิงอู่เย้ยหยัน นางพูดอย่างเคร่งขรึม "ใ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้