กลุ่มกบฏหน้าถอดสีเช่นกัน เมื่อมองไปที่ดวงตาของเย่เสวียนถิงก็มีความไม่แน่ใจเล็กน้อย แม่ทัพกลุ่มกบฏกล่าวอีกครั้ง “เจ้าเห็นชัดเจนแล้วว่านี่คือองค์ชายสาม หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา เกรงว่าท่านอ๋องต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา!” เย่เสวียนถิงอยู่ที่นี่ น้ำเสียงของเขาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาอันเฉียบคมของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของเย่อวิ๋นถู “องค์ชายสามถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากตำหนัก เขาต้องอยู่ในตำหนัก ไม่ใช่ที่นี่ ฉะนั้น... สังหารเขาอย่างไร้ปรานี!” “พ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพเล็กรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้า คนเหล่านั้นไม่คาดคิดว่าเย่เสวียนถิงจะไม่สนใจชีวิตของเย่อวิ๋นถูเลย จิตใจของพวกเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ โดยไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร ดวงตาของแม่ทัพกบฏเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาออกแรงดาบยาวในมือและกำลังจะสังหารทุกสิ่ง... “หยุด!” ทันใดนั้น คนในฝูงชนด้านล่างก็ตะโกนทันที! การเคลื่อนไหวของทุกคนหยุดชั่วขณะเพราะเสียงนี้ เสียงนั้นรีบกล่าวว่า “พวกข้ารู้จักองค์ชายสามและสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาคือองค์ชายสามหรือไม่ หากท่านอ๋องปล่อยให้องค์ชาย
เส้นโลหิตบนหน้าผากของเย่อวิ๋นถูปูดโปน แววตาลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ เย่เสวียนถิงช่างอำมหิตนัก หน้าอกของเขากระเพื่อมแรงด้วยความโกรธแค้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หามีผู้ใดช่วยเขาได้แล้วไม่ ทว่าเขากลับมิอาจเอ่ยวาจา อีกทั้งมือยังโดนมัดอยู่และมีบาดแผลจากการถูกโบยก้น ทั่วทั้งร่างพิการไปแล้วถึงห้าส่วน การจะรอดพ้นเงื้อมมือของคนพวกนี้ได้ ยากเย็นพอ ๆ กับขึ้นสวรรค์ก็ไม่ปาน แต่อย่างไรเสียเย่อวิ๋นถูก็เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ในสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังเช่นนั้น จู่ ๆ เขาก็ฉวยโอกาสที่คนที่จับตัวเขามาเป็นเชลยเกิดใจลอยขึ้นมาแล้วกระแทกใส่อีกฝ่ายอย่างรุนแรง กบฏพลิกข้อมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เกิดแผลยาวลึกบนหัวไหล่ของเย่อวิ๋นถู จนเกือบสะบั้นลำคอของเขาแล้ว เย่อวิ๋นถูกระโจนตัวลงจากบันไดแล้วร่างกายของเขาก็ร่วงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง เมื่อแข้งขาที่แต่เดิมก็มิได้คล่องแคล่วว่องไวอันใดนักโดนเหวี่ยงกระแทกอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดบาดแผลขึ้นมาทันที! "อ๊าก!" หลังจากเขาตกหลังม้าเมื่อคราวก่อน ฮ่องเต้ก็ประทานโอสถรักษาสมานแผลชั้นยอดให้แก่ตน ถึงแม้ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะร้ายแรง แต่ความจริงแล้วกลับหาได้รุนแรงไม่แต่ก็ทำให้เ
เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็หันมามองอวิ๋นเซียงหรู อวิ๋นเซียงหรูพบว่าเขาไม่เข้าใจผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด หวังอวิ๋น... หวังอวิ๋น... แววตาของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนทันที "หรือว่านามของเจ้าก็ปลอมด้วยหรือ? ข้าอยู่ในเมืองหลวงมาได้สักพักแล้ว ยังมิเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนอย่างเจ้ามาก่อนเลย" ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปากแล้วยิ้มอ่อนโยน "ข้ามีเหตุผลที่ไม่สังหารองค์ชายสามด้วยมือตัวเอง แต่การที่จะล้มองครักษ์สักสองสามคนก็หาใช่เรื่องยากเย็นสำหรับข้าไม่... อีกทั้งการถอนพิษในตัวเจ้าก็เป็นแค่เรื่องง่าย ๆ ด้วย" นางชี้นิ้วไปที่ถ้วยชาของเขา "ยกตัวอย่างเช่น น้ำชาถ้วยที่เจ้าเพิ่งจะดื่มลงไปเมื่อสักครู่นี้ ข้าได้ใส่ยาถอนพิษเอาไว้แล้ว ยามนี้เจ้าก็จะไม่ถูกองค์ชายสามควบคุมอีกต่อไป" อวิ๋นเซียงหรูสีหน้าแปรเปลี่ยนแล้วชักมือที่แตะต้องถ้วยชากลับมาทันที เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว ซูชิงอู่แทบจะหัวเราะลั่น "เจ้ากลัวขนาดนั้นเชียว ข้ามิได้ทำร้ายเจ้าแล้วเจ้าหวาดกลัวอันใดกันเล่า?" ใบหน้าประดุจหยกขาวของอวิ๋นเซียงหรูเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยวาจาด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนอยู่บ้
อวิ๋นเซียงหรู "..." ซูอะไรนะ? ซูชิงอู่! วันนี้เขารู้สึกตกตะลึงมากพอแล้ว แต่กลับเทียบมิได้เลยกับยามนี้ เมื่อซูชิงอู่เห็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่โลกทัศน์แหลกสลายโดยสิ้นเชิง นางก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา "เจ้ากับข้าถูกองค์ชายสามหลอกด้วยกันทั้งคู่ อีกทั้งเจ้ากับข้าก็ขึ้นเรือโจรมานานแล้ว เกรงว่าคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ในเมื่อพวกเราอยู่ข้างเดียวกันแล้ว ข้าก็หามีอันใดต้องปิดบังอีกต่อไป พอถึงวันสอบ เจ้าก็จงไปสอบเถิด ข้ารับรองว่าการสอบครั้งนี้จะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแน่นอน" อวิ๋นเซียงหรูทราบว่าผู้คุมสอบครั้งนี้คือ องค์ชายใหญ่ มีใจความสำคัญมากมายแฝงอยู่ในวาจาของซูชิงอู่อยู่จริง ๆ การที่นางสามารถเอ่ยเรื่องเช่นนี้ด้วยความมั่นใจถึงเพียงนั้นได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม อวิ๋นเซียงหรูก้มหน้าและเอาแต่นิ่งเงียบ ราวกับว่าเขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่อยากจะเข้าไปพัวพันกับการแก่งแย่งอำนาจภายในเมืองหลวง ทว่าครู่ถัดมา ซูชิงอู่ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า "ข้าจะช่วยเจ้าล้างมลทินให้ตระกูลอวิ๋นและขจัดความคับข้องใจให้หมดสิ้นไป"
"ไยเจ้าต้องปีนกำแพงด้วย?" ซูชิงอู่รู้สึกผิดอยู่บ้าง นางจึงเอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า "ข้าแค่รู้สึกว่าหากนั่งชมจันทร์อยู่บนกำแพง... ก็จะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น" เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็กอดนางเอาไว้แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาทันที ซูชิงอู่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้าจึงคว้าท่อนแขนของเย่เสวียนถิงเอาไว้ทันที หัวใจของนางเต้นระรัวพลางมองทัศนียภาพโดยรอบที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางด้วยแววตาเป็นประกาย แน่นอนว่าบนหลังคาย่อมกว้างขวางพอ ราวกับว่าเข้าใกล้ดวงจันทร์ไปอีกก้าวหนึ่ง เย่เสวียนถิงถามว่า "คราวหน้าอยากชมจันทร์ ก็ขึ้นมาบนหลังคาสินะ" ซูชิงอู่ "..." นางรู้สึกว่าเย่เสวียนถิงจงใจล้อเลียนนาง แต่นางกลับไร้ซึ่งหลักฐาน เมื่อได้ยินคำโกหกอันมิได้เรื่องได้ราวที่นางสู้อุตส่าห์ปั้นแต่งขึ้นมาก็ให้รู้สึกละอายใจ นายไม่คิดว่าเย่เสวียนถิงจะเชื่อจริง ๆ หรอก เพราะฉะนั้นก่อนที่เรื่องราวจะยิ่งเลวร้าย ซูชิงอู่จึงตัดสินใจที่จะสารภาพความจริงและพูดอย่างละมุนละม่อม "เสวียนถิง ที่จริงแล้ว ข้า..." เย่เสวียนถิงพลันเอ่ยขึ้นมาว่า "เจ้ามิจำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ข้าฟังหรอก มีข้าอยู่ตรงนี
"ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ที่ไหนหรือท่านจะเป็นผู้ใดก็ตาม ท่านก็เป็นคนสำคัญที่สุดในใจของข้า ถึงขนาด... สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของข้าเองเสียด้วยซ้ำไป ท่านเข้าใจหรือไม่?" เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย เขาไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ซูชิงอู่กล่าววาจาเช่นนั้น ถ้าเป็นเพราะปลอบใจเขาล่ะก็ เช่นนั้นนางก็ทำสำเร็จแล้ว ความรู้สึกเป็นกังวลและไม่แน่ใจที่กำลังปั่นป่วนอยู่ข้างใน ทำให้เขาควบคุมตนเองไม่ค่อยได้ เขาเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่าขึ้นมาว่า "อาอู่ ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นอีก ข้าไม่แน่ใจว่าจะทำอันใดที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตนเองหรือไม่ อย่าทำให้ข้าเชื่อว่ามันเป็นความจริงเลย" ซูชิงอู่ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วยิ้มอ่อนโยน นางจุมพิตมุมปากของเย่เสวียนถิงพลางเอ่ยกระซิบว่า "นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านสามารถเชื่อทุกคำที่ข้าพูดได้" เย่เสวียนถิงกะพริบตา จากนั้นดวงตาสีดำสนิทที่ดูเหมือนซุกซ่อนดวงดารานับพันเอาไว้ก็วูบไหวชั่วขณะ เขาพลันควบคุมตัวเองมิได้แล้วดึงตัวซูชิงอู่เข้ามาในอ้อมแขนของตนเองอีกครั้ง เขาโอบเอวระหงและละมุนละไมของนางเอาไว้แน่น น้ำเสียงทุ้มและแหบพร่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความรู้
ดันพลั้งเผลอหลุดปากออกมาเสียได้…หากว่านางสามารถทำยาแก้ความรู้สึกเสียใจภายหลังได้ ตัวนางเองต้องกินก่อนเป็นคนแรกแน่นอน หากว่าร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงขึ้นมากหลังจากที่ได้แช่ยาสมุนไพรรักษามาเป็นเวลานาน หรือหากว่ายาพิษที่อยู่ในร่างเมื่อสามปีก่อนที่นางจะได้ย้อนกลับมายังคงหลงเหลืออยู่... สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงทำให้คนธรรมดาทั่วไปต้องนอนซมอยู่กับเตียงลุกไม่ขึ้นไม่สามก็ห้าวันเลยทีเดียว อวิ๋นซิงกับอวิ๋นจื่อต่างก็แลกสายตากัน เมื่อเห็นรอยแดงบนลำคอขาวผ่องของซูซิงอู่ ใบหน้าของพวกนางก็แดงก่ำ แก้มเห่อร้อน “เอ่อ... พระชายา นั่น...” ซูซิงอู่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนรักษาท่าทีให้สงบนิ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง ขณะที่ช่วยใส่สายรัดเอวและรองเท้า บ่าวรับใช้ตัวน้อยทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันเปี่ยมล้นจนทำให้หัวใจของพวกนางเต้นรัว “มีเรื่องอะไรเหรอ? บอกข้ามา” อวิ๋นจื่อบอก “พระชายาให้หม่อมฉันคอยจับตาฟังข่าวจากตำหนักขององค์ชายสาม หม่อมฉันเพิ่งได้ข่าวมาจากบ่าวรับใช้ว่าองค์ชายสามได้ตั้งรางวัลทองคำหนึ่งพันตำลึงให้หาชายชื่อหวังหยุน ภาพชายผู้นั้นแปะไปทั่วทุกตรอกซอกซอยทั่วเมืองหลวงเลยเพคะ”
เมื่อซูซิงอู่เข้าไปในพระราชวังอย่างเร่งร้อน ท่านหมอเทวดาก็กำลังสอบถามความกับเหล่าหมอหลวงในท้องพระโรง หยิงกงกงพานางเข้าไปที่ห้องโถงข้างที่เย่เสวียนถิงพักอยู่ชั่วคราว ทันทีที่เย่เสวียนถิงเปิดประตู เขาก็ดึงร่างของซูซิงอู่เข้าไปในห้องแล้วใช้หลังมือปิดประตูห้อง เขากวาดตามองทั่วร่างซูซิงอู่ ก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใย “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?” ซูซิงอู่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าไม่เป็นอันใด เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือขาของท่าน ทำไมจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงได้หาหมอมารักษาท่านกัน?” เย่เสวียนถิงหรุบตาต่ำ “มันก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะหมอเทวดาหรือไม่ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น” ซูซิงอู่กะพริบตาปริบ และนางก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จู่ ๆ นางก็รู้สึกเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจ ฮ่องเต้ก็สมกับที่เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านางพระองค์จะมีทีท่าใจดีเพียงใด พระองค์ยังพูดหยอกล้อเล่นหัวกับผู้เยาว์อย่างพวกตน แต่อย่างไรพระองค์ก็เป็นฮ่องเต้... จิตใจของเจ้าเหนือหัวนั้นยากแท้หยั่งถึง หากว่ามองเพียงแค่เปลือกนอกก็อาจจะพลาดพลั้ง